Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 18

ตอนที่ ๑๘

ในกำมือ

โสมเจ็บแก้มที่ถูกตบไม่เท่ากับความเจ็บที่หัวใจ

เสียงกรีดร้องโวยวายของผู้หญิงคนนั้น ดังหึ่งๆ อยู่ในหูฟังดูเหมือนหล่อนพยายามจะเข้ามาทำร้ายเธออีกหนแต่คงจะถูกใครสักคนกันออกไป เธอยกมือขึ้นลูบบนอกอันปวดร้าว ก้าวออกจากโลกแห่งความฝันสู่โลกแห่งความจริงในนาทีนั้นเอง เธอกะพริบตาเพื่อขับไล่หยาดน้ำตาให้ไหลกลับสู่เบ้าตาไปก่อนจะหันไปดูสถานการณ์ตรงหน้า

ผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนนั้น ถูกธรรม์ผลักออกไปจนล้มนั่งกับพื้น ดวงตาเจ็บช้ำ เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาจ้องสามีของตนชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเบนมายังเธอแล้วถลึงตาใส่จนเธอสะดุ้ง เธอเห็นความเจ็บปวด ความตรอมตรม ความอาฆาตมาดร้ายและความโกรธเกรี้ยวของหล่อน ยิ่งมองก็ยิ่งเจ็บปวดและรู้สึกผิดมากที่ตนเป็นต้นเหตุ

“เสียสติไปแล้วหรือไร!” ธรรม์ตะคอกด้วยความโกรธ วินาทีที่เห็นโสมถูกทำร้ายเขาแสนจะเจ็บใจและเจ็บปวดแทนนาง หากแม้นเจ็บแทนกันได้เขาไม่ลังเลที่จะเจ็บแทนนาง

“เป็นเพราะพี่กับเขาทำให้น้องเป็นอย่างนี้!” นางอรดีร่ำไห้อย่างคุมแค้น ตอนที่คนของเธอซึ่งได้วางเอาไว้เป็นสายรายงานข่าวของสามีมาบอกว่าสามีอยู่กับเจ้าราชองครักษ์โสมนั่นเธอก็ร้อนใจและโกรธเกรี้ยวเหลือจะกล่าวจนต้องเร่งเดินทางมา ครั้นเห็นสามีคุกเข่าอยู่บนพื้นต่อหน้ามัน ทั้งยังประคองมือมันราวกับสิ่งล้ำค่า ความโกรธและความขมขื่นก็ล้น

ทะลักจนไม่สนใจสิ่งใดนอกจากศัตรูหัวใจที่อยู่เบื้องหน้า

“เจ้า! หากมีรสนิยมวิปลาสเช่นนี้เหตุใดจึงไม่มองหาบุรุษที่ยังไม่มีภรรยา ทำไมเจ้าจะต้องจำเพาะเลือกสามีของข้า เจ้ามีหัวใจสงสารข้าบ้างหรือไม่!” นางชี้นิ้วด่าอย่างเจ็บช้ำใจ “หากสามีของข้าต้องการมีอนุ ข้ายังพอจะยอมทนได้ แต่นี่เจ้าเป็นบุรุษแท้ๆ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีวันยอม!”

หญิงสาวรับฟังถ้อยคำเหล่านั้น ด้วยหัวใจปวดร้าว ใบหน้าซีดขาวทำให้เห็นรอยฝ่ามือแดงบนข้างแก้มเด่นชัด

ชายหนุ่มเห็นความเจ็บปวดในแววตาของนางแล้วใจหนาวสะท้านราวกับมีน้ำแข็งมาจับ

“ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่เคยลงมือทำร้ายเจ้า แต่หนนี้เจ้าทำเกินไป อย่าได้มาโทษว่าข้าโหดร้ายกับเจ้า!” ธรรม์โกรธจนหน้ามืด เงื้อมือขึ้นสูงเพื่อที่จะตบผู้หญิงที่เชิดหน้าอย่างท้าทายเสียให้เลือดกบปากเพื่อสาสมกับที่ทำให้นางที่เขารักบาดเจ็บ หากมือที่เงื้อง่ากลับถูกคว้าเอาไว้ที่กลางอากาศด้วยมือของโสม ทำให้เขาหันไปมองด้วยความไม่เข้าใจ

“นางเป็นภรรยาของท่าน” โสมพูดเสียงเรียบกลบเกลื่อนความเจ็บปวด “ส่วนฉันไม่เกี่ยวข้องกับท่านแม้ในทางใด”

“อย่าพูดอย่างนั้น” ชายหนุ่มพลิกมือจับมือบางนั้นเอาไว้แน่นเพราะแววตาเจ็บปวดแต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของนางทำให้เขาหวาดหวั่น

“เจ้าพูดจากใจจริงหรือพูดเพียงเพื่อให้ตัวเองดูน่าสงสารล่ะ” นางอรดีหัวเราะด้วยน้ำเสียงที่แม้กระทั่งตัวเองยังระคายหู

“ฉันพูดจริง” โสมกล้ำกลืนความชอกช้ำพลิกข้อมือออกจากการเกาะกุมของมือใหญ่ได้โดยง่าย ดวงตาจับไปที่นางอรดีด้วยแววตาจริงจัง “ฉันขอโทษ ได้โปรดอภัยให้ฉัน”

“ไม่ใช่ความผิดของ… ท่าน” เขากัดลิ้น ยั้งเอาไว้ได้ทันก่อนที่จะเผลอทำผิดสัญญาด้วยการเปิดเผยความลับของนาง “มันเป็นความผิดของข้ามาตั้งแต่แรกเริ่ม หากไม่ใช่เพราะข้ารักท่านและมุ่งมั่นจะยึดครองท่านให้ได้ ท่านคงไม่ต้องมาพบเจอเรื่องร้ายนี้”

“ออกหน้ารับแทนกันขนาดนี้จะให้น้องซาบซึ้งด้วยไหมเจ้าคะ” นางอรดีแข็งใจลุกขึ้นยืนโงนเงน คนอ่อนแอเมื่อถูกบีบคั้น ก็จะมีความกล้ามากขึ้น “พี่ทารุณน้องมาตลอด แต่น้องอดทนเพราะรักพี่เหลือเกินและวาดหวังว่าสักวันหนึ่งพี่จะเห็นใจในรักของน้อง แต่พี่ไม่เพียงไม่เห็นใจยังเหยียบยํ่าหัวใจของน้องราวกับของไร้ค่า ทั้งหันไปเทิดทูนทะนุถนอมมัน! ทำไมต้องทำร้ายจิตใจกันครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ด้วย!”

พูดจบนางก็ร้องไห้โฮน้ำตานองหน้าอย่างน่าเวทนา

ธรรม์เม้มปากแน่นเมื่อเห็นว่าโสมยืนตัวแข็งทื่อ หน้าซีดเผือดและแววตาเลื่อนลอยแทบจะเหมือนคนที่แตกสลายไปแล้ว

โสมลุกขึ้นอย่างอ่อนแรง เบี่ยงตัวหนีเมื่อธรรม์ปราดเข้ามาจะประคองทำให้เขาชะงักงันไป มือใหญ่ทั้งคู่ทิ้งตกลง

ข้างลำตัวแล้วกำแน่นปานจะบีบกระดูกตัวเอง

เป็นเพราะข้าทำให้นางต้องเจ็บปวด หากข้าหักใจไม่รับนางอรดีเป็นภรรยาตามการฝากฝังเสียตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน วันนี้ข้าและนางก็ไม่ต้องมาเจ็บปวดกันเช่นนี้!

“เรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง เราทั้งคู่ทำร้ายนาง เราควรหยุดมันได้แล้ว” เธอพูดด้วยเสียงหนักแน่น มองสีหน้าที่ราวกับกำลังตกอยู่ในอเวจีของเขาด้วยสายตาแน่วแน่ “หากคำรักของท่านเป็นจริงแม้เพียงสักเสี้ยวหนึ่ง ก็ขอให้ท่านรักฉันด้วยการปลดปล่อยฉันออกจากความผิดบาปทั้งปวงด้วยเถิด”

ร่างของธรรม์เย็นวูบและสั่นหนาวราวกับถูกน้ำเย็นสาดซัดก่อนที่จะร้อนหมกไหม้ราวกับถูกไฟสุม ดวงตาของเขาเห็นเพียงภาพแผ่นหลังของหญิงที่เขารักเดินจากไปก่อนที่จะเห็นแต่ความมืดมนที่แสนอ้างว้างและปวดร้าว

นางอรดีเม้มปากแน่นเมื่อเห็นสามียืนนิ่งงันไปราวกับสูญเสียหัวใจไปพร้อมกับบุรุษผู้นั้น นางแตะไหล่ของเขาแล้วก็ต้องหวีดร้องเมื่อถูกปัดออกอย่างแรง ชายหนุ่มไม่พูดและไม่ลงมืออะไรไปมากกว่านั้น ท่าทางของเขาละม้ายคนหมดอาลัยตายอยาก นางอรดีกุมมือของตนที่ขึ้นรอยแดงเป็นปื้น เจ็บแค้นใจที่สามีไม่มีความรักให้จนต้องร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง

และต้องยอมปล่อยให้เขาใช้มนตร์ย่อจักรวาลจากนางไปตลอดกาล นางรู้ว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร นางก็จะไม่มีวันได้เขากลับมา!

นางอรดีร้องไห้โหยหวน โศกเศร้าเสียจนต้องทรุดลงกับพื้น ไม่สนใจว่าหลังจากนั้นทุกคนจะทยอยเข้ามาดูและมองนางด้วยความสมเพชเวทนาเพียงใด สำหรับนางแล้วสามีเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของนาง เมื่อสูญเสียเขาไปนางก็ไม่เหลืออะไรในชีวิตนี้อีก นางผิดหรือที่รักเขามาก ผิดหรือที่จะยื้อ เขาไว้ นางทำผิดอะไรทำไมถึงต้องเผชิญกับวิบากกรรมนี้

ข้าจะไม่ยอมจบลงเพียงเท่านี้ ในเมื่อข้าไม่ได้เขา ก็จะไม่มีใครได้เขาไป!

นางฝากอาฆาตทั้ง ที่นำ้ กลบตา

โสมเดินออกมาจากที่นั่นราวกับคนตาบอด ถึงแม้จะดูเหมือนว่าดวงตาของหญิงสาวจับจ้องไปเบื้องหน้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเธอมองไม่เห็นอะไรเนื่องจากม่านน้ำตาที่เอ่อคลอได้บดบังการมองเห็นของเธอไปเสียสิ้น เธอกระเซอะกระเซิงคลำทางไปอย่างไม่รู้ทิศ สะดุดล้มไปเสียหลายครั้งแต่ก็ยังไม่หยุดเดินไปสู่ความมืดมนเบื้องหน้า จนกระทั่งสะดุดอะไรบางอย่างใต้เท้าเข้าจึงเซล้มลงบนแอ่งน้ำ พลังทั้งหมดที่ยังให้เธอเดินจากมาได้ก็หมดลง เธอได้แต่พลิกตัวขึ้น แล้วเบิกตาที่ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา มองไปรอบตัวอย่างเลื่อนลอย

เธอมาทำอะไรที่นี่ และที่นี่คือที่ไหน

หญิงสาวหลับตาลงรํ่าไห้เพียงคนเดียวอย่างเงียบเชียบ รักแรกในชีวิตของเธอพังทลายไม่เป็นท่าเพราะดันไปหลงรักคนที่เขามีภรรยาอยู่แล้ว เรื่องนี้เธอไม่โทษธรรม์เพียงคนเดียว แต่โทษตัวเองด้วย เธอคาดไว้แล้วว่าหากดึงดันจะรักเขาสักวันหนึ่งก็ต้องพบปัญหานี้ แต่ก็แสร้งหลอกตัวเองว่าวันนั้นคงจะยังมาไม่ถึง ปล่อยให้ทุกอย่างลุกลามบานปลาย

จนกระทั่งมันพังทลาย หลงเหลือไว้เพียงซากปรักหักพังของความรักอันเป็นบาปและเศษซากหัวใจที่แหลกสลายของเธอ!

หญิงสาวอยากจะหัวเราะสมเพชตัวเองแต่ก็หัวเราะไม่ออก ทำได้มากสุดเพียงแค่นเสียงออกมาเบาๆ ครั้นยกมือขึ้น เพื่อจะลูบหน้าจึงได้รู้ว่าได้กำมือเอาไว้แน่นทั้งสองข้าง เธอมองกำปั้นทั้งสองของตนนิ่งๆ ไม่ทราบอะไรดลใจให้เธอคิดถึงทารกยามแรกเกิด มือทั้งสองข้างของทารกก็กำออกมาแบบนี้และส่งเสียงกรีดร้องเมื่อลมหายใจเริ่มต้นขึ้น หรือว่าการที่เด็กทารกกำมือออกมาจากครรภ์มารดาคือสัญลักษณ์ว่าได้เกิดมาเพื่อหน่วงเหนี่ยวยึดถือ การกรีดร้องเมื่อลมหายใจได้เริ่มต้นขึ้นนั้น ก็คือความเศร้าโศกที่จะได้เกิดมา หาใช่ความยินดีไม่ เพราะสิ่งที่ต้อนรับชีวิตนี้ไม่ใช่มีเพียงความสุขที่คาดหวัง หากแต่เป็นกรรมเก่าที่นำติดตัวมาเพื่อชดใช้พร้อมกับกรรมใหม่ที่จะได้กระทำต่อไป ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้นจาก

วัฏสงสาร ตราบนั้น ก็ไม่อาจพบความสงบที่แท้จริงได้!

“ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านราชองครักษ์โสมคุ้นเคยกับธรรม์เป็นอย่างดี”

น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้น ในห้วงแห่งความทุกข์ทำให้โสมรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ผลุดลุกขึ้นด้วยระวังภัย ครั้นเห็นบุรุษในชุดทหารภูตลักษณะท่าทางละม้ายคนคุ้นเคยจึงลดเกราะป้องกันตัวลงด้วยไว้วางใจและเริ่มมองสำรวจจนพบว่าตนอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง

“ท่านหิรัญนี่เอง” โสมผ่อนลมหายใจโล่งอก

“ท่านรู้หรือไม่ว่าช่วงนี้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างลับๆเพราะการที่ธรรม์ปรากฏตัวในเมือง” ราชองครักษ์หิรัญก้าวเข้ามายืนตรงหน้าโสมตัวเย็นวาบเมื่อสังหรณ์ว่าหิรัญลอบติดตามเธอมาและได้ล่วงรู้ของความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับธรรม์แล้ว

เธอตื่นตัวด้วยความระวังเต็มที่แต่ไม่กระโตกกระตากแสดงออกมาให้อีกฝ่ายจับความรู้สึกได้ว่าระแวงแคลงใจในตัวเขา

“ราชันไม่เคยบอกอะไรฉันเลยนอกจากเรื่องที่จะให้ฉันไปทำ”

“ข้ากำลังทำภารกิจสำคัญอยู่ในขณะนี้หากทำสำเร็จก็จะเป็นการกำจัดคนที่เป็นภัยร้ายต่อราชัน” ราชองครักษ์หิรัญพูดเสียงเยียบเย็น บรรยากาศรอบกายเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งขึ้นมาทันใด

“เป้าหมายเป็นใครล่ะ ฉันช่วยอะไรท่านได้บ้าง” หญิงสาวหนาวเยือกไปถึงดวงใจ เธอไม่เคยเจอหิรัญในบุคลิกแบบนี้เลย เขาดูเหมือนมือสังหารเลือดเย็นมากกว่าราชองครักษ์เสียอีก ดังนั้น เธอจึงเกือบจะก้าวถอยหลังออกห่างเมื่อเขาก้าวเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

“เขาไม่ใช่คนที่เข้าใกล้ได้ง่ายนัก ดังนั้นจึงต้องอาศัยโอกาสที่หาได้ยากยิ่งเพื่อลงมือสังหารเขา” ชายหนุ่มบอกด้วยเสียงเยียบเย็นที่ทำให้คนฟังหนาวไปถึงกระดูก “และข้าก็สบโอกาสนั้นแล้ว”

“หืม?” โสมเหงื่อออกทั้งที่อากาศหนาว หญิงสาวรู้สึกถึงแรงบางอย่างกระตุกร่างเธอเบาๆ พลันอากาศก็ร้อนราวกับอยู่ในเพลิงนรก เธอมองราชองครักษ์หนุ่มถอยหลังห่างจากเธอสองก้าวแล้วโค้งคำนับพร้อมประทับดาบเปื้อนเลือดแนบอกด้วยความมึนงง ในหัวมีเพียงเสียงอื้ออึงเหมือนมีคนตีโหม่งอยู่ในนั้น

“ขออภัยที่ข้าจำต้องสังหารท่าน” ราชองครักษ์หิรัญเช็ดคราบเลือดลงบนผ้าที่เตรียมไว้จนสะอาดแล้วเก็บเข้าฝัก “จงภูมิใจที่ได้สละชีพเพื่อราชันเถิด”

“สละชีพ?” โสมพึมพำเสียงแหบ ความรู้สึกชาหนึบที่ช่วงกลางลำตัวทำให้เธอเพิ่งรู้สึกตัวว่าฝ่ามือข้างหนึ่งอุดอยู่ที่หน้าท้องซึ่งเลือดกำลังไหลซึมออกมามากขึ้นเรื่อยๆ โสมรู้สึกเหมือนธรณีใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเธอไม่สามารถพยุงร่างไว้ได้และต้องทรุดลงไปนอนแทบพื้น ในที่สุดเธอเบิกตามองผู้ชายที่เคยรฝึกทหารร่วมกันและเคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะถูกทรยศ

“ลาก่อน” ราชองครักษ์หิรัญเอ่ยลา ถอยหลังเพียงก้าวเดียวก็หายตัวไปในโพรงอุโมงค์มืดแห่งมนต์ย่อจักรวาล

หญิงสาวขดตัวบิดเกร็งด้วยความเจ็บปวดที่เสียดแทงไปทั่วท้องกำลังกลืนกินทั่วทั้งร่าง หูเริ่มดับจนไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงหัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ ของตัวเอง ลมหายใจเข้าแสบร้อนดังไฟ แต่ลมหายใจออกกลับเย็นยะเยือก ดวงตาพร่าลาย น้ำตารินไหล ปวดร้าวไปทั่วทุกรูขุมขนในร่างกายจนแทบจะอยากเรียกร้องหาความตายให้มาถึงโดยเร็ว ร่างของเธอกระตุกอย่างแรงคล้ายจะเกิดอาการชักเพราะเสียเลือดมาก

หิรัญลงมือรวดเร็วและเลือดเย็น เขาทำแบบนี้กับเธอทำไม ความสัมพันธ์อันดีที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้เขาคิดว่าเธอเป็นเพื่อนเลยหรือ ทำไมถึงได้หันดาบใส่เธอได้อย่างเยือกเย็นขนาดนั้น เธอร่ำไห้อย่างไร้เสียง กลางป่าเช่นนี้เธอคงไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตรอด หิรัญปล่อยให้เธอตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่กลางป่าโดยไม่มีใครรู้ เขาโหดร้ายกับเธอเกินไปแล้ว

เธอคิดว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้หิรัญไม่มีทางกล้าสังหารเธอโดยไม่มีใครหนุนหลังและคนที่หนุนหลังเขาได้ก็เห็นจะมีเพียงคนเดียว

ราชันไพรสัณฑ์!

หรือพระองค์จะล่วงรู้แล้วว่าเธอไม่ได้กราบทูลเรื่องบ่อนและร้านขายยาของธรรม์จึงคิดว่าเธอทรยศหลอกลวง พระองค์ทรงคุมแค้นที่เธอหลอกลวงมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ไมตรีที่ผ่านมาก็เพียงแค่ทำให้เธอตายใจสินะ เธอควรจะรู้ว่าพระองค์เป็นราชันที่ใครจะมาล้อเล่นด้วยไม่ได้

ความตายของเธอคือผลตอบแทนจากการที่เธอหลอกลวงให้พระองค์เป็นเหมือนตัวตลก ทรงมีพระทัยเหี้ยมเกรียมนัก!

หญิงสาวหลับตาอย่างยอมแพ้ต่อทุกสิ่งในโลกแม้แต่ความตาย เธอเหนื่อย เจ็บปวด ทรมาน ท้อแท้และสิ้นหวังที่จะมีชีวิต วันนี้เธอได้สูญสิ้นทุกอย่าง ทั้งความไว้วางใจ มิตรภาพ ความซื่อสัตย์ ไมตรีจิต และสุดท้ายที่กำลังจะเสียไปเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดคือ ชีวิตของเธอเอง

“โอ๊ะโอ๋… ดูสิว่าข้าเจอใคร” เสียงแหบห้าวดังขึ้น มีเงามืดทะมึนตระหง่านง้ำเหนือร่างของโสม ดวงตาอันพร่ามัวมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน จนกระทั่งเงานั้น ทรุดลงใกล้ๆ แล้วก้มลงต่ำจนแทบชิดใบหน้า

ดวงตาของเขาละม้ายดวงตาของใครบางคน แต่แววตากลับไม่เหมือนกันเลยแม้แต่ส่วนเดียว “นี่ใช่ท่านราชองครักษ์โสมหรือไม่”

โสมไม่มีความสามารถจะตอบอะไรได้เพราะลมหายใจตีบตันและร่างกายถูกถ่วงหนักจากบางสิ่งที่มองไม่เห็น ดวงตาของเธอเคว้งคว้างและค่อยๆ มืดลงคล้ายจะจมลงไปในกระแสธารเย็นเฉียบที่มืดมิด สำนึกรู้เบาบางว่าถูกบีบปากกรอกยาบางอย่างลงคอของเธอ

“อย่าเพิ่งชิงตายไปเสียก่อนนะท่านราชองครักษ์ ท่านมาเจอข้าในเวลานี้นับเป็นโชคดีของท่านแล้วรู้หรือไม่”

น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมของเขาดังอึงอลอยู่ในหัวของเธอ “ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรกับท่าน ข้าจะไม่มีวันยอมให้ท่านตายง่ายๆ แน่”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่เปี่ยมไปด้วยความสะใจและความมาดร้ายราวกับคนเสียสตินั้น โสมไม่อยากจะรับรู้สิ่งใดในโลกอันแสนทารุณนี้อีกแล้ว ร่างของเธอถูกอุ้มขึ้นพาดบ่าของใครบางคนเพื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่เธอต้องอยู่เพื่อชดใช้กรรม ฉับพลันน้ำเสียงอันสุขสงบปราศจากมลทินทั้ง ปวงก็ดังขึ้น ราวกับมาจากที่อันห่างไกลดลให้หัวใจอันทุกข์ตรมหมองไหม้ของเธอบรรเทาพิษร้ายลง หญิงสาวได้ปลดปลงและยอมแพ้ให้แก่เวรกรรมสุดแต่เขาจะนำทางกระทั่งหมดสติลงไม่ทุรนทุรายอีกต่อไป

‘กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระโณ ยังกัมมังกะริสสามิ กัลยาณังวาปาปะกังวา ตัสสะทายาโทภะวิสสามิ’

‘เรามีกรรมเป็นของตน เราเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิดมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!