Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 19

ตอนที่ ๑๙

ความรัก

แสงเทียนทองอาบไล้องค์พระพุทธปฏิมาจนเรืองรองด้วยรัศมีอันเพริดแพร้วสุกใส ดวงเนตรสงบเย็นหลุบลงมองภิกษุสงฆ์ผู้ดำรงอยู่ในศีลธรรมดีงามทั้งสองรูปด้วยความปรานี โอษฐ์แย้มเปี่ยมเมตตาราวกับสามารถชโลมกล่อมเกลากมลสันดานให้บริสุทธิ์ได้ ควันธูปลอยเอื่อยขึ้น สู่ที่สูง ภิกษุสงฆ์ชราออกจากสมาธิก่อนภิกษุหนุ่มแล้วสวดแผ่เมตตาให้แก่

สรรพสัตว์ทั้ง หลายทั้งปวงในโลกที่ยังคงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร น้ำเสียงอันผ่องแผ้วพิสุทธิ์สดใสที่กังวานอยู่ในโบสถ์ราวกับเสียงสวรรค์ที่แม้แต่ทวยเทพเทวดาก็ยังต้องนบน้อมสักการะนั้น ช่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของภิกษุชรา ซึ่งนั่นนำพาให้ภิกษุหนุ่มเลื่อมใสในพระพี่เลี้ยงนัก

“เห็นอะไรบ้างหรือไม่ธนุธัมโม” ภิกษุชราเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสดใส ไม่สั่นพร่าและไม่ขุ่นมัวราวกับความชรานั้น ไม่ส่งผลอันใดเลย

“ไม่เห็นครับพระอาจารย์” ธนุหรือในปัจจุบันคือพระธนุธัมโมเอ่ยตอบอย่างสุภาพนอบน้อมพลางมองพระพี่เลี้ยง แสงเทียนสาดกระทบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของภิกษุชราและเนื้อหนังมังสาที่เหี่ยวย่น กระนั้น ดวงตากลับเปล่งกระกายมีชีวิตชีวาและริมฝี ปากแย้มยิ้ม เมตตาชวนให้คนมองสุขสงบใจ

“ไม่ฟุ้งซ่านเห็นภาพเพ้อเจ้อก็ดีแล้ว” ดวงตาแจ่มใสทอดมองภิกษุหนุ่มลึกล้ำ “ฉันบังเอิญได้ช่วยสัตว์โลกที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์คนหนึ่งละม้ายว่าเขาผูกพันอยู่กับเธอมิใช่น้อย”

พระธนุธัมโมรับฟังด้วยความสุขุม มีเพียงแววตาที่วูบไหวไปเพียงเล็กน้อยละม้ายระลอกน้ำเล็กๆ ก่อนจะค่อยสงบลง

ภิกษุชราจับสังเกตอาการของภิกษุหนุ่มด้วยความสงบเงียบ ก่อนจะเอ่ยปาก “เธอผูกพันกรรมอยู่กับเขา จงเพียรสร้างบุญแผ่กุศลให้แก่เขาเถอะ จักได้ผ่อนกรรมร้ายให้เบาขึ้น ”

“ครับพระอาจารย์” ธนุธัมโมรับคำเบาๆ เขาเพิ่งอุปสมบทเข้าสู่ร่มพระธรรมเพื่ออุทิศให้แก่โสมเมื่อเดือนที่แล้ว ความรุ่มร้อนจึงยังคงมีอยู่ ไม่อาจห้ามความสงสัยที่จะเอ่ยถามได้ “เขาคนนั้น คือคนที่ผมตั้ง ใจจะอุทิศส่วนกุศลให้ใช่ไหมครับ”

“ใช่แล้วทำไม ไม่ใช่แล้วทำไม” คำตอบของพระพี่เลี้ยงปิดปากภิกษุหนุ่มได้ชะงัด แต่กระนั้น ในจิตใจของเขากลับรุ่มร้อนขึ้น ด้วยรสแห่งอารมณ์ทั้ง หลาย “พระศาสดาตรัสว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โศกและทรมานใจ เธอชอบความทุกข์หรือ”

“ผมระงับมันไม่ได้” ภิกษุหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงขออภัย ละอายในตนที่ไม่สามารถดำรงความบริสุทธิ์แห่งสงฆ์ได้เท่าที่ควร อุปมาไปว่าเนื้อตัวของตนสกปรกไปพลันจนอยากจะขัดถูกเอาสิ่งสกปรกทั้งหมดออกจากกายโดยไว “ธนุออกบวชก็เพื่อผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิตคนหนึ่ง ตัวผม… ธนุธัมโม… จึงยังไม่อาจตัดอารมณ์ของธนุออกได้โดยเด็ดขาด”

“พระศาสดาได้ให้โอวาทเรื่องกิเลสสามประการอันได้แก่ โมหะ โทสะ และราคะ ว่ากิเลสสามตัวนี้ย่อมแผดเผาผู้ที่อยู่ภายใต้อำนาจของมัน โมหะมีโทษมากด้วยคลายช้า โทสะมีโทษมากแต่คลายเร็ว ราคะนั้น มีโทษน้อยแต่คลายช้า บุคคลซึ่งออกบวช แล้วประพฤติตนเป็นผู้ไม่มีเรือนเรียกว่าได้ชักกายออกจากกามราคะ แต่ถ้าใจยังหมกมุ่นพัวพันอยู่ในกามก็ไม่เรียกสำเร็จประโยชน์แห่งการบวช” ภิกษุชราเอ่ยสอนด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ธนุธัมโม… เธอชักกายออกจากกามแล้ว ก็จงพยายามชักใจออกจากกามด้วย”

“ผมพยายามอย่างมาก แต่… มันช่างยากเหลือเกิน” พระภิกษุหนุ่มสารภาพด้วยความอับอาย “ความรักมันอยู่กับผมมานานปี ยากจะสลัดมันทิ้ง ได้เพียงเวลาหนึ่งเดือน”

“เมื่อมีความรัก ดวงใจนั้น ย่อมตกเป็นทาสซึ่งไม่มีใครสามารถช่วยปลดปล่อยได้ นอกจากตัวเจ้าของเอง” พระพี่เลี้ยงยังคงสอนด้วยความใจเย็น “ในจักรวาลนี้ไม่มีไฟอะไรร้อนแรงและดับยากเท่าไฟรัก ความรักเป็นความเรียกร้องของหัวใจมนุษย์ ว่าไปแล้วการที่เราทำการใดก็ด้วยเหตุผลสองอย่างเท่านั้น หนึ่งเพราะหน้าที่ สองเพราะความเรียกร้อง

ของหัวใจ ประการแรกจะทำสำเร็จหรือไม่ มนุษย์ก็ไม่ค่อยเดือดร้อนเพราะคนส่วนมากไม่ได้รักหน้าที่เท่ากับความสุขส่วนตัว แต่สิ่งที่หัวใจเรียกร้องนี่ซิ ถ้าไม่สำเร็จ หรือไม่สามารถสนองได้ หัวใจจะร่ำร้องอยู่ตลอดเวลา มันจะทรมานไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ของมันหรือมนุษย์ผู้นั้น ตายจากไป”

พระธนุธัมโมหัวใจสะท้านเหมือนถูกน้ำเย็นลูบหัวใจก่อนจะรุ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผา รู้สึกว่าตนสกปรกนักจนไม่อาจทนสวมผ้าเหลืองให้มัวหมองได้อีก

“ศาสดาเคยตรัสว่าไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรักเพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน แลเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจไม่วันใดก็วันหนึ่ง”

“จะทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ได้ครับพระอาจารย์ ผมอยากตัดความทุกข์นี้ทิ้ง เต็มทีเพื่อให้จิตใจของผมบริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนผ้าเหลืองที่สวมอยู่ แต่จนบัดนี้ก็จนใจที่จะสลัดออก” ภิกษุหนุ่มถามเสียงแผ่ว

“มองให้เห็นทุกข์แล้วทำลายสาเหตุแห่งทุกข์นั้น เสีย”

“ครับพระอาจารย์” พระธนุธัมโมก้มลงกราบน้อมรับธรรมสั่งสอน ตั้งมั่นในใจว่าจะอุทิศความมานะทั้งหมดเพื่อละทิ้ง ความทุกข์ทั้งปวงให้ได้ เพื่อกุศลแก่บิดามารดา เพื่อกุศลแก่โสม และเพื่อกุศลแก่สัตว์โลกทั้งปวง

ราชันไพรสัณฑ์ใช้เส้นผมของโสมในการตามหาว่านางไปอยู่ที่ไหน แต่ความขุ่นมัวราวกับถูกบดบังด้วยเมฆหมอกหนาของน้ำมนต์ในขันทำให้ต้องทรงขมวดพระขนง เมื่อลองร่ายคาถาอีกหลายครั้งก็ยังไม่สามารถมองผ่านม่านหมอกหนาทึบไปได้ ทรงหนักพระทัยนักด้วยไม่ทราบว่าป่านฉะนี้สตรีที่ทรงปักหทัยหมายรักกำลังประสบเคราะห์กรรมอัน

ใดอยู่ ด้วยอาการป่วยที่ยังไม่ทุเลาดีนักกับนิสัยชอบหาเรื่องใส่ตัวยิ่งทำให้ทรงกลัดกลุ้มและร้อนรนเป็นห่วงสวัสดิภาพของนางจนยากจะอยู่เฉยแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ การถูกสถานการณ์ควบคุมเช่นนี้ทำให้ทรงกริ้วนักดลให้บรรยากาศของพระตำหนักสุริยันหนาวเย็นละม้ายอยู่ในฤดูเหมันต์

“ราชัน”

ผู้ที่เข้าเฝ้าราชันหน้ากากภูตได้โดยมิต้องมีพิธีรีตองในทุกครั้งเห็นจะมีเพียงสองคนหนึ่งคือคนที่หายตัวไปและทำให้ทรงร้อนรุ่มหทัยอยู่ขณะนี้ สองคือราชองครักษ์หิรัญผู้ไปมาเหมือนสายลม

ราชันไพรสัณฑ์โบกพระหัตถ์ให้ราชองครักษ์คนสนิทเขยิบเข้ามาใกล้เพื่อสนทนาได้สะดวก ครั้นลมโชยหอบเอากลิ่นเลือดต้องพระนาสิกก็ทรงรับสั่งถาม “เจ้าหายไปครานี้ เด็ดชีวิตใครก่อนมาหาข้าล่ะ”

ราชองครักษ์หนุ่มชะงักเพียงนิดก่อนกลบเกลื่อนเป็นปกติ

ราชันไรสัณฑ์ผู้กำลังว้าวุ่นพระทัยจึงไม่ทันสังเกตความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนี้ชายหนุ่มครุ่นคิดว่า

หากกราบทูลไปว่าตนได้สังหารราชองครักษ์โสมคนโปรดเสียแล้ว ราชันผู้ถูกมอมเมาด้วยมารร้ายไปชั่วขณะจะทรงกริ้วจนลืมสถานการณ์ใหญ่จึงได้คิดเก็บงำความจริงเอาไว้

“กำจัดภัยร้ายคนหนึ่งพระเจ้าค่ะ”

“แล้วไปเถอะ” ราชันหนุ่มปล่อยเรื่องเลยผ่านเพราะไม่เห็นสำคัญเท่าเรื่องของโสม “ข้าตามหาโสมไม่เจอ หากยังพอมีเวลาเหลือจากเรื่องใหญ่ที่ข้าให้เจ้าเร่งไปสืบหา ก็จงตามรอยโสมไปเถิด”

“ธรรม์เป็นเจ้าของสถานที่สองแห่งพระเจ้าค่ะ” ราชองครักษ์หนุ่มเบี่ยงความสนพระทัยของราชันไพรสัณฑ์ไปยังเรื่องที่สำคัญกว่าทันทีแล้วก็ได้ผลเมื่อทรงหันมาสดับอย่างเคร่งเครียด “หนึ่งคือร้านขายยาอันดับหนึ่งของเมือง สองคือบ่อนใหญ่ในย่านการพนันพระเจ้าค่ะ”

“ที่แล้วมาเขาคงใช้สองแห่งนี้เป็นแหล่งสร้างทุนสินะ” ทรงแค่นพระสุรเสียง “แล้วเจ้าติดตามสืบไปได้อย่างไร”

ราชองครักษ์หิรัญครุ่นคิดพียงชั่วครู่เดียวก่อนเผยยิ้มลึกลับภายใต้หน้ากากภูต ปัญหาทุกอย่างถูกจัดการได้อย่างลงตัวด้วยคำถามนี้แล้ว

“ท่านราชองครักษ์โสมเป็นผู้นำทางไปโดยไม่รู้ตัวพระเจ้าค่ะ”

“อย่างไรนะ”

“ท่านราชองครักษ์โสมทราบอยู่ก่อนแล้วว่าธรรม์เป็นเจ้าของที่ใดบ้างแต่ไม่ปริปาก ข้าพระพุทธเจ้าจึงไม่แน่ใจว่าควรกราบทูลเรื่องนี้หรือไม่” หิรัญเว้นวรรคเมื่อจับถึงบรรยากาศเย็นเยียบลงฉับพลันได้ “แต่เมื่อข้าพระพุทธเจ้าล่วงรู้แน่ชัดแล้วว่าท่านโสมมีความสัมพันธ์กับธรรม์อย่างแน่นแฟ้นเพียงใดจึงไม่มีเหตุผลที่จะลังเลมากราบทูลพระเจ้าค่ะ”

“โสมกับธรรม์มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นต่อกันหรือ” รับสั่งถามพระสุรเสียงแผ่วนุ่มนวล แต่ทำให้หิรัญต้องเกร็งตัวระแวดระวังตามสัญชาตญาณระวังภัย “เป็นความสัมพันธ์เช่นไร เล่ามาให้ข้าฟังทั้งหมด”

“ข้าพระพุทธเจ้าติดตามท่านโสมไปจนทันเห็นเหตุการณ์สำคัญทั้งหมดพระเจ้าค่ะ” ราชองครักษ์หนุ่มถอนลมหายใจอันเย็นเยียบออกจากปอด รับรู้ได้โดยพลันว่าทรงกริ้วหนักอย่างน่ากลัว “ธรรม์สารภาพรักกับท่านโสม ดูท่าทีแล้วละม้ายว่าทั้งสองมีใจให้แก่กันเป็นอย่างมาก แล้วภรรยาของธรรม์ก็เข้ามาวิวาทตบตีท่านโสมจนท่านยอมตัดใจเดินจากไป

แต่หลังจากนั้นไม่นานธรรม์ก็ติดตามท่านโสมไป ดูคล้ายว่าธรรม์จะทอดทิ้ง ภรรยาเพื่อท่านโสมเสียแล้ว”

“งั้นหรือ” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวลราวผิวสัมผัสของผ้าเนื้อนุ่มชั้นดี ความหนาวเย็นของพระตำหนักพูนทวีขึ้น ไม่ใช่ความหนาวที่ชวนตัวสั่น แต่เป็นความหนาวเย็นอันชวนวูบโหวงใจหาย หลอกหลอนใจผู้คนให้รู้สึกเหมือนกำลังตกนรกเย็น!

“ข้าพระพุทธเจ้าออกติดตามธรรม์ไปแต่ก็คลาดอย่างเช่นที่เคยเป็นมา เป็นเพราะความด้อยสามารถพระเจ้าค่ะ”

“ฝีมือของธรรม์หาผู้เทียบเทียมยาก แม้แต่ข้าเองก็ไม่ทราบแน่ว่าจะเอาชนะเขาได้หรือไม่” รับสั่งเรียบเรื่อยเสมือนเรื่องทั้งหลายไม่ได้กระทบกระเทือนพระทัยแม้สักน้อย “เท่าที่มองเห็นในตอนนี้ก็มีเพียงโสมเท่านั้น ที่สามารถประมือกับธรรม์ได้ด้วยฝีมือทัดเทียมกัน”

“แต่ตอนนี้ไม่แน่ว่าท่านโสมจะอยู่กับธรรม์” ราชองครักษ์หิรัญกราบทูลด้วยความระมัดระวัง “หากท่านโสมไม่กลับมา เกรงว่า…”

“โสมต้องกลับมา”

“แต่ท่านโสมและธรรม์รักกัน” หิรัญกราบทูลด้วยความเร่งร้อนแล้วรีบเปลี่ยนท่าทีเป็นปกติ คาดว่าราชันจะหมกมุ่นจนไม่ทันสังเกตอาการของตน “ทั้งสองคนรักกันแน่นอนพระเจ้าค่ะ ความรักย่อมสามารถเปลี่ยนคนได้ ข้าพระพุทธเจ้าไม่คิดว่าท่านโสมจะทรยศ แต่ก็ไม่คิดว่าท่านโสมจะหนีพ้นจากพลังอำนาจแห่งความรักได้เช่นกัน”

เช่นตัวข้าที่ไม่อาจหนีพ้นพลังอำนาจแห่งความรักที่มีต่อโสมได้! ไฉนข้าถึงโง่งมงายเช่นนี้… ทั้งที่เพิ่งรู้องค์ว่ารัก แต่กลับมีเวลาดื่มดํ่ากับมันเพียงน้อยเท่านั้น! ราชันไพรสัณฑ์ทรงรำพึงในพระทัย

“ถ้าหากท่านโสมอยู่กับธรรม์ ถ้าท่านโสมไม่กลับมา จะหาใครต่อกรกับเขาพระเจ้าค่ะ” หิรัญตอกย้ำความร้ายกาจเพื่อให้แน่ใจว่าจะทรงเอนเอียงคิดว่าท่านโสมไม่กลับมาเพราะไปอยู่กับธรรม์และหากเจอศพก็จะคิดว่าเป็นการทรยศหักหลังกันเอง ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตัวของเขา!

“โสมต้องกลับมาแน่… ข้ามั่นใจ”

ถึงจะพูดเช่นนั้นแต่ข้าจะมั่นใจได้อย่างไร? นางไม่เคยบอกว่าภักดีต่อข้า นางเพียงแค่บอกว่าจะทำเพื่อกณวรรธน์นคร ฉะนั้นการเลือกของนางย่อมขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของนางเอง!

พระหัตถ์ใหญ่กำแน่นแล้วก็รีบคลายออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ราชองครักษ์สังเกตเห็นถึงความเสียหายอันเกิดจากการควบคุมองค์เองไม่ได้ ทรงผ่อนพระปัสสาสะแผ่วเบาเรียกความเยือกเย็นกลับคืนมา

ข้ารักนางและจะเชื่อมั่นว่าไม่ว่าในสถานใดหรือในเวลาไหนก็ตามนางต้องกลับมา และขอเพียงนางกลับมา ข้าจะยินยอมทำทุกทางที่สามารถทำได้เพื่อให้นางไม่สามารถทำสิ่งใดได้อีกนอกจากอยู่ข้างกายข้า!

นลวรรณเดินช้าๆ เข้าไปในสวนดอกไม้หอมเพราะต้องแบกน้ำหนักครรภ์ด้วยพลางมองหาลูกเลี้ยงที่ตอนนี้คงไปแอบนอนหลับอยู่ที่ไหนสักแห่งในสวน เด็กชายเอริคในวัยสิบขวบน่ารักน่าเอ็นดูมากขึ้นกว่าเดิมในสายตาของเธอ

สุขภาพจิตของเด็กชายที่ถูกทำลายไปเพราะเรื่องน่าเศร้าในวัยเด็กได้ฟื้นฟูเพราะสภาพแวดล้อมที่ดีและความพร้อมของครอบครัวทำให้เขาดูคล้ายเด็กวัยเดียวกันขึ้น มาบ้าง ในที่สุดเธอก็พบว่าเด็กชายเอริคกำลังนอนหลับอุตุอยู่ที่ศาลาซึ่งหลังคาถูกปกคลุมไปด้วยดอกพวงแสด ร่างเล็กนอนแผ่ไปกับพื้นศาลาที่ถูกทำความสะอาดและขัดจนเป็นมันเงา ดวงตาเด็กชายหลับพริ้ม ริมฝีปากสีชมพูเม้มนิดๆ และคิ้วขมวดน้อยๆ ดูเหมือนจะไม่ได้ฝันดีมากนัก หญิงสาวเอื้อมมือไปแตะและเรียกชื่อเขาเบาๆ สักครู่หนึ่งเด็กชายก็ปรือตาขึ้น มองด้วยอาการมึนงง

“มัมมี๊เดินตากแดดมาทำไมครับ เดี๋ยวก็ไม่สบาย” เอริคขยี้ตาก่อนลุกขึ้นไปแตะข้อศอกของแม่เลี้ยงกึ่งบังคับให้นั่งสบายๆ “ถ้าจะตามหาผมให้เด็กมาตามก็ได้ หรือถ้าจะมาเองก็น่าจะให้ใครสักคนคอยเดินเป็นเพื่อน เผื่อหน้า

มืดหรือล้มผิดท่าขึ้น มาจะได้มีคนคอยช่วยทัน”

“เรานี่ชักจะเหมือนพ่อเข้าไปทุกทีแล้วนะเอริค” นลวรรณหยิกแก้มลูกเลี้ยงเบาๆ ด้วยความเอ็นดู คิดถึงสามีที่มักจะเป็นห่วงเธอเกินเหตุจนถึงขนาดไม่อยากให้อยู่คนเดียวแม้สักนาที ป่านนี้ก็คงกำลังนั่งเซ็นเอกสารในฐานะผู้บริหารที่ปฏิรูปโรงพยาบาลจนทันสมัยที่สุดในจังหวัดกาญจนบุรีอยู่ หากคำนวณดูแล้วคงอีกสักสิบนาทีจึงจะครบครึ่งชั่วโมงที่สามีจะโทรมาตรวจความเรียบร้อยของเธอ

“ผมถือเป็นคำชม” เอริคแกล้งยืนแล้วโค้งรับคำชมจึงโดนหยิกแก้มไปอีกข้างอย่างยากจะหนี “มัมมี๊ตามหาผมมีอะไรรึเปล่าครับ”

“ไม่มีอะไร มัมมี๊แค่สงสัยว่าเราหลบไปไหนทุกบ่ายโมง ที่แท้ก็หลบมานอน” นลวรรณพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ลูกเลี้ยงของเธออยู่ในวัยกำลังโตสินะ

“มัมมี๊ก็ควรนอนพักผ่อนตอนกลางวันบ้างนะครับ จะได้ไม่รู้สึกอ่อนเพลียมากนัก” เด็กชายกำชับราวกับตนเป็นผู้ใหญ่ ก่อนคุกเข่าลงแล้วเอาหูแนบท้องแม่เลี้ยงที่ใหญ่เกินกว่าอายุครรภ์สี่เดือน “น้องคงทำให้มัมมี๊เพลียใช่ไหมครับ”

“ถ้าจะฟังล่ะก็คงได้ยินแต่เสียงท้องร้องหรอกนะเอริค” หญิงสาวยิ้มขบขัน พ่อตัวเล็กเห่อน้องเหลือเกิน ชอบมาแนบหูฟัง มากอด มาหอมท้องเธอเหมือนจะฝากไปถึงน้องทุกครั้ง

“ผมว่ามัมมี๊เพิ่งกินข้าวไปเองนะ” เอริคพูดล้อเลียน ดวงตาคมโตสีดำเปล่งประกายพราว “มัมมี๊เข้าบ้านดีกว่าครับ ตอนบ่ายถึงอยู่ในร่มแต่แดดมันร้อน รอผมแป๊ปนึงนะครับ”

พูดจบเขาก็รีบวิ่งเข้าบ้านไปตามคนรับใช้ให้มาช่วยกางร่มพยุงแม่เลี้ยงที่กำลังตั้งครรภ์เข้าบ้านไปห้องหย่อนใจซึ่งเป็นห้องกระจกใสทั้งห้องทำให้มองเห็นสวนสวยชัดเจน เด็กชายสอดหมอนรองหลังแม่เลี้ยงที่ค่อยๆนั่งลงบนฟูกนุ่มก่อนหันไปขอของว่างจากคนรับใช้ที่รีบไปจัดการตามสั่งทันที

“มัมมี๊ ผมมีอะไรบางอย่างจะถาม” เด็กชายเอริคทิ้งตัวนอนกลิ้งเกลือกฟูกนุ่มอยู่ใกล้ๆ ตัวแม่เลี้ยง ท่าทางผ่อนคลายหลอกตาทุกคนได้ว่าคนพูดไม่จริงจังกับคำถามมากนัก “คนเราถ้าฝันถึงเรื่องราวบางอย่างทุกวันเหมือนกำลังดูละคร หมายความว่าสมองของผมทำงานผิดปกติหรือเปล่าครับ”

“ก็ใช่” นลวรรณตอบ ลูบครรภ์ที่ใหญ่โตเกินอายุครรภ์อย่างผ่อนคลาย “ทางวิทยาศาสตร์ก็อธิบายไว้ว่าความฝันเกิดจากความผิดปกติเพียงเล็กน้อยทางการทำงานของสมองทำให้เกิดภาพขณะหลับ ไม่มีอะไรน่ากังวล”

“ผมก็คิดอย่างนั้น” เด็กชายเปลี่ยนท่าเป็นนอนแผ่ หลับตานิ่ง “ความฝันของผมน่าสนใจมากและผมก็ทำได้เพียงมองดูเหตุการณ์โดยไม่มีส่วนร่วม”

“ฝันว่าอะไรล่ะ” นลวรรณสนใจแต่แสร้งทำเป็นไม่ใคร่สนใจมากนัก เธอรู้ว่าลูกเลี้ยงไม่ได้ดูผ่อนคลายเหมือนอย่างที่แสดงออก มีบางสิ่งในความฝันที่รบกวนเด็กชายอยู่ซึ่งเธอต้องรู้ให้ได้ว่าคืออะไร แต่ต้องรู้ด้วยวิธีละมุนละม่อม เด็กชายไม่ชอบการถูกคนอื่นจับได้ว่าโดนบางสิ่งรบกวนความเยือกเย็นของตัวเอง

“ฝันถึงเมืองหนึ่ง มีราชัน มีราชองครักษ์” เด็กชายหลับตาเล่าเสียงสบายๆ “แล้วก็มีทหารภูต”

นลวรรณสะดุดหู จ้องลูกเลี้ยงตาโตด้วยความตกตะลึง พอได้สติแล้วกำลังอ้าปากซักถามเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะอ่านหนังสือก็ดังขึ้น

เด็กชายเอริคผลุดลุกขึ้น เพื่อจะไปรับสายทันทีเพราะคำนวณไว้แล้วว่าใครโทรมา “Hello, daddy.” เสียงใสกรอกพูดกับปลายสายอย่างมั่นใจว่าต้องเป็นคนที่คิดไว้

“เอริค มัมมี๊อยู่ใกล้ๆ รึเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มของคุณเพชรเจือความรักใคร่ เขามองรูปครอบครัวอันได้แก่ตัวเขา เอริค และนลวรรณที่ใส่กรอบวางอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มนิดๆ ทุกวันนี้ครอบครัวของเขามีความสุขที่สุด เขามีเมียคอยเอาใจใส่ มีลูกที่น่ารัก ความรักอบอวลอยู่ในบ้านจนอุปสรรคและความทุกข์ที่เคยฝ่าฟันมากลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญอะไรมากไปกว่าเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องเกิดเพื่อได้ความรักทั้งหมดทั้งมวลมาครอบครอง

“แด๊ดดี้เอาแต่ถามหามัมมี๊นะครับ” เด็กชายแสร้งทำเสียงเรียบเพราะรู้ว่าหากทำเสียงน้อยใจบิดาจะจับได้ทันทีว่าแสร้งทำ

“งอนแด๊ดดีรึ้ไง” คุณเพชรเอนกายพิงเบาะเก้าอี้ยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายประกายรู้ทัน ทำไมเขาจะไม่รู้ทันลูกชายล่ะว่ากำลังหาทางกลั่นแกล้งเขาเพราะอะไร ก็เขาเลี้ยงมาเองกับมือเลยนี่นา

“แค่แด๊ดดี้ถามหามัมมี๊ก่อนเท่านั้นเอง ผมไม่กล้างอนหรอกครับ” เด็กชายตอบ มองแม่เลี้ยงที่หัวเราะไร้เสียงอย่างรู้ทันอยู่ไม่ไกล

“นั่นสิ… ถ้าเอริคงอนกับเรื่องนี้พอน้องคลอดออกมาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง” คุณเพชรพุ่งตรงเป้า ซึ่งทำให้เด็กชายที่อยู่ปลายสายต้องกลอกตาอย่างยอมจำนน ไม่ยอมแบกรับข้อกล่าวหาว่าเป็นพี่ขี้อิจฉาน้อง

“ก็ได้ครับ มัมมี๊นั่งอยู่ใกล้ๆ นี่เอง” เด็กชายบอกตัวเองว่ายอมถอยตอนนี้ก็ใช่ว่าวันข้างหน้าจะไม่มีโอกาส เด็กชายส่งหูโทรศัพท์ให้แม่เลี้ยงแล้วทิ้ง ตัวลงเอาหัวหนุนตัก ใบหน้าแนบท้องนูนโดยมือบางของแม่เลี้ยงสาวสวยคอยลูบหัวเบาๆ อย่างอ่อนโยน

“คิดถึงหนูวันจัง เป็นยังไงบ้างจ๊ะ” ชายหนุ่มพูดกับภรรยาด้วยเสียงอ่อนหวาน

“สบายดีเหมือนเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วค่ะ” นลวรรณหัวเราะน้อยๆหัวใจหวานชื่น “พี่เพชรกินข้าวกลางวันรึยัง”

“กินแล้วจ้ะ” ชายหนุ่มตอบ แต่ไม่บอกว่าข้าวกลางวันของเขาก็คือกาแฟหนึ่งแก้วกับขนมปังสองแผ่นเพราะขี้เกียจลงไปที่โรงอาหารของโรงพยาบาล

“วันว่าจะทำปิ่นโตให้พี่เพชรดีกว่า ไม่อย่างนั้น ข้าวกลางวันของพี่คงเป็นกาแฟหนึ่งแก้วกับขนมปังเกือบทุกวัน” นลวรรณพูดอย่างรู้ทัน

คุณเพชรยิ้มหวานยิ่งกว่าเดิมกับความเอาใจใส่ของภรรยา “วันนี้เอริคเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”

“เอริคไม่ดื้อค่ะ ยังทำตัวเหมือนพ่อแก่เหมือนเดิม” หญิงสาวเย้า

เด็กชายที่เหลือบตาขึ้นมองเมื่อถูกพูดถึง “แต่วันนี้มาเล่าเรื่องความฝันแปลกๆ ให้ฟังค่ะ ฝันถึงเมืองหนึ่ง มีราชัน มีราชองครักษ์ แล้วก็มีทหารภูต”

คุณเพชรชะงัก เคาะนิ้ว บนโต๊ะอย่างครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนบอกภรรยาสาวของตน “เรื่องนี้เอาไว้เราคุยกันตอนพี่กลับบ้านนะจ๊ะ เพราะคงต้องคุยกันยาวหน่อย”

“ค่ะ วันจะรอพี่กลับบ้านนะคะ”

“สักสี่โมงเย็นก็คงจัดการเอกสารเสร็จแล้ว คืนนี้ก็ไม่มีนัดผ่าตัดอะไร เย็นน้เจอกันนะจ๊ะ แม่เสน่ห์จันทร์ของพี่”

“แล้วเจอกันค่ะพ่อราชันหน้ากากภูต” นลวรรณหัวเราะคิกคัก

“มัมมี๊พูดว่าราชันหน้ากากภูตหรือครับ”

“ใช่จ้ะ” หญิงสาวหันมาบีบแก้มลูกเลี้ยงด้วยความเอ็นดูปนหมั่นเขี้ยว ก่อนจะชะงักไปเมื่อได้ยินสิ่งที่เด็กชายพูดในประโยคต่อมา “แปลกนะครับ ในฝันของผมก็มีราชันหน้ากากภูตเหมือนกัน!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!