ตอนที่ ๒๔
ตามนาง
ภายในห้องอันปิดทึบในเรือนหลังใหญ่ ธรรม์กำหมัดแน่นด้วยความโกรธปานนรกทั้งหมดมาอยู่ในใจเมื่อฟังความจากน้องชายว่าราชันไพรสัณฑ์พากองกำลังจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาในเมืองลับแลได้สำเร็จแล้วเข่นฆ่าผู้ติดตามมือดีที่ชายหนุ่มส่งให้ติดตามอารักขาน้องชายจนเหลือรอดเพียงคนเดียว เจ้าเด็กที่เทิดทูนเขาเป็นวีรบุรุษคนนั้น นอกจากจะพราก
ชีวิตของสตรีที่เขารักไปแล้วยังอาฆาตมาดร้ายน้องชายของเขาอีก เห็นทีนอกจากจะฆ่าเสียให้สิ้น แล้วยังต้องจองจำวิญญาณเอาไว้เป็นทาสรับใช้ตลอดกาลเสียกระมัง
โสมสังเกตสีหน้ามืดทะมึนของพี่ชายอย่างเงียบๆ หากแม้นธรรม์มีสติมากกว่านี้สักนิดก็จะทราบได้ว่าน้องชายยังมีบางอย่างที่สำคัญปกปิดเขาไว้ แน่นอนว่าโสมไม่ได้บอกว่าเหยื่อของเขาก็คือคนรักของพี่ชายนั่นเองและในตอนนี้คนรักคนนั้นก็อยู่ในกำมือของบุรุษที่พี่ชายฝากอาฆาตเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ผู้เป็นน้องชายหรุบตาลงต่ำอย่างเซื่องซึมนิดๆ หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ลังเลที่จะพูดจายั่วยุให้พี่ชายโกรธเสมือนเป็นการแก้แค้น หากแต่ตอนนี้พี่ชายคนเดิมที่เคยอดทนต่อความร้ายกาจของเขาไม่ทราบหายไปไหน ธรรม์เหมือนเป็นคนแปลกหน้าที่เลือดเย็นขึ้น ทุกวันเต็มไปด้วยความขมขื่นและความแค้นที่เข้มข้นจนแปลกไปจากคนปกติขึ้น ทุกที แต่หากคิดดูดีๆ แล้ว การที่พี่ชายซึ่งเคยได้รับทุกสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับกลับกลายเป็นคนจำพวกเดียวกับเขา มันก็สะใจดีไม่น้อย
“ทำไมราชันไพรสัณฑ์จึงหาเมืองลับแลเจอ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องบุกรุกเข้าไปที่นั่นอีก” ธรรม์เปรยถามน้องชายเสียงหนัก
“พี่หวังให้ข้าเป็นคนตอบคำถามยากๆ พวกนี้หรือ” โสมตอบเสียงเยาะ
“สำหรับเจ้า ข้ายังไม่รู้จะหวังให้เจ้าไม่สร้างปัญหาได้หรือไม่” ชายหนุ่มตอบแล้วจะลุกหนีก่อนที่จะทนไม่ไหวต้องลงมือกับน้องชายที่น่าเวทนาสงสารอยู่แล้วให้ย่ำแย่ลงไปอีก
“ข้าก็สงสัยตัวเองอยู่” โสมหัวเราะหยันตัวเอง “ยาพิษสาปจันทราของข้าได้ผลเป็นเลิศ พี่จะนำมันไปละลายในบ่อน้ำหรือเอาไปเป็นที่ต่อรองให้ใครมาเป็นทาสพี่ก็ได้ แต่ข้าขอเวลาสักพักเพื่อคิดยาแก้พิษก่อน หากมียาพิษแล้วไม่มียาแก้พิษเห็นจะไม่ดี”
“ป่านนี้ยานั่นไม่ถูกพวกทหารภูตนำกลับไปตรวจดูแล้วหรือ”
“เรื่องนั้น มันต้องใช้เวลานานกว่าจะแยกตัวยาทั้งหมดออกมาได้ และกว่าพวกมันจะคิดยาแก้พิษได้พวกเราก็อาจบรรลุจุดประสงค์ไปเรียบร้อยแล้ว”
“รู้อะไรหรือไม่” ชายหนุ่มลุกขึ้น เดินไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูหน้าห้องน้องชาย แล้วพูดโดยไม่หันมา “ชีวิตที่เกิดมาของเจ้า หากไม่เป็นตัวสร้างปัญหาแล้วก็จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะมันความสามารถเดียวของเจ้า!”
โสมลืมตาขึ้น มาด้วยความสบายกายสบายใจ เหม่อมองท้องฟ้าสดใส ปุยเมฆรูปต่างๆ เคลื่อนคล้อยลอยคล้ายกำลังจะเล่านิทานแห่งท้องนภา หญิงสาวค่อยๆ รับรู้ว่าตนกำลังนอนแผ่อยู่บนทุ่งดอกไม้ กลิ่นดิน กลิ่นหญ้า และกลิ่นหอมระรื่นชื่นใจแทบจะทำให้ที่นี่เหมือนสวรรค์ถ้าหากมีเทวดา นางฟ้าหรือวิมานอันวิจิตรตระการตา
เธอถอนใจด้วยความสุข สำรวจตัวเองพบว่าอยู่ในเสื้อ คอกลมสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงผ้าเนื้อหนาสีเขียวลายพรางเป็นชุดที่เธอมักสวมใส่เมื่อครั้งอยู่ที่บ้านพักทหารของพ่อพฤกษ์ หญิงสาวยิ้ม เมื่อคิดถึงความหลังก่อนพลิกหน้ามองสำรวจความงดงามรอบตัวอย่างอ้อยอิ่ง พลันพบบุคคลสามคนกำลังนั่งพูดคุยสนุกสนานกันอยู่ใต้ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล เธอลุกขึ้นนั่งทันทีและโดยไม่ต้องอาศัยความทรงจำเธอก็รู้ว่าทั้งสามคนที่บัดนี้หันมายิ้ม และกวักมือเรียกให้เข้ามานั่งด้วยกันนั้น คือใคร
“พ่อ แม่ พ่อพฤกษ์” โสมยิ้มระรื่นจนหน้าบาน ผุดลุกขึ้นวิ่งถลาเข้าไปกอดมารดาก่อนเป็นคนแรก ก่อนจะกอดบิดาเป็นคนต่อไป คนสุดท้ายเธอไม่ได้กอดแต่โถมตัวเข้าไปเล่นมวยปล้ำด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสุดท้ายก็เป็นเธอที่ถูกจับทุ่มกระเด็นออกไปนอนหงายเค้เก้อยู่นอกร่มไม้
“ยังอ่อนนักไอ้หนู กลับไปให้แม่ป้อนนมจนโตแล้วค่อยกลับมาใหม่” พฤกษ์หัวเราะฮาโดยทุกคนร่วมหัวเราะตาม ไม่ได้เป็นห่วงสักนิดว่าคนที่ถูกจับทุ่มกระเด็นนั่นเป็นลูกสาวที่ควรจะทะนุถนอมมากกว่า
“แม่จ๋า แม่ได้ยินพ่อพฤกษ์ท้าหนูแล้วใช่ไหม หนูต้องพึ่งแม่แล้วล่ะ” โสมคลานกระดืบๆ เข้าไปนอนหนุนตักออดอ้อนมารดา
“ป้อนนมมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ตอนนี้,.. ใหญ่เท่าฝาบ้านแล้วยังจะให้ป้อนนมอะไรอีกฮึ” รัตนวดีพูดหน้าทะเล้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าลูกสาวโตขึ้นมาเป็นผู้หญิงอย่างที่เป็นอยู่เพราะใครเป็นต้นแบบ
“ใหญ่ไปมั๊งแม่” โสมสะดุ้ง ยิ้มแหยๆ หันไปออดอ้อนบิดาแทน “พ่อจ๋า แม่ไม่เข้าข้างหนูเลยดูสิจ๊ะ หนูคงต้องพึ่งพ่อแล้วล่ะ”
“ถ้าป้อนนมแม่แล้วยังโตไม่พอ” แดนเนียลพูดพลางคิด “งั้น คงต้องป้อนนมสัตว์ที่ถึกและโตเร็วกว่าคนแล้วล่ะ”
“โห… แรง” หญิงสาวหัวเราะคิก สุดท้ายก็กลิ้งไปนอนหนุนตัก
บิดาบุญธรรมแบบหน้าเป็น “พ่อจ๋าก็ไม่เลี้ยง แม่จ๋าก็ไม่เลี้ยง ก็เหลือแต่พ่อพฤกษ์แล้วล่ะจ้ะ จะเลี้ยงหนูได้ไหมจ๊ะ”
“เห็นทีจะไม่ต้องลำบากเลี้ยงหรอก มีคนเขาอยากรับไปเลี้ยงอยู่แล้วนี่” พฤกษ์พูดยิ้ม ๆ
“ฮู๊ย! ที่ไหน? ไม่มี๊!” โสมปฏิเสธเสียงแหลมปรี๊ด ทำท่ากระบิดกระบวนมีจริตจกร้านเกินเหตุอย่างที่เรียกว่ากระแดะ “ไอ้หนูโสม ยังไม่นึกเกลียดผู้ชายคนไหนจนถึงขั้น จะจับมาทรมานเป็นสามีชั่วชีวิตจ้ะ”
“ก็มีคนเขาเต็มใจจะทรมานอยู่นะ” แดนเนียลพยักหน้าหงึกหงักหน้าตาย “สงสัยไอ้หนุ่มนั้น เป็นพวกมาโซคิสต์”
“ไอ้หนุ่มคนไหนจ๊ะพ่อ หนูยังไม่ได้วางแผนล่อลวงผู้ชายคนไหนเลยนะ” หญิงสาวหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ตรงไหนเป็นวิมานของพ่อพฤกษ์กับของพ่อแม่จ๊ะ แล้วหนูมีวิมานเป็นของตัวเองหรือเปล่า หรือเป็นนางฟ้ายาจก ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปอยู่วิมานพ่อพฤกษ์ที วิมานของพ่อกับแม่ที”
“ทำไมถึงคิดว่านี่เป็นสวรรค์ล่ะ” รัตนาวดีเลิกคิ้วถามลูกสาว
“ไม่ต้องบอกหนูก็รู้ว่าตอนนี้หนูเท่งทึงไปแล้วเรียบร้อยถึงได้มาอยู่กับเทวดานางฟ้าทั้งสามตนได้” โสมพูดพลางพยักหน้าให้กับความคิดของตัวเอง
“เขาไม่ยอมให้เราตายหรอก” พฤกษ์ลูบศีรษะบุตรบุญธรรมอย่างเวทนา “พยายามอย่าไปสร้างเวรสร้างกรรมอีกนะไอ้หนู เรารู้แล้วใช่ไหมว่าการไปพรากชีวิตใครด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์มันทำให้ต้องชดใช้กรรมแสนสาหัสขนาดไหน”
“พ่อพูดเรื่องอะไรเนี่ย หนูงงไปหมดแล้ว”
ทั้งสามเหมือนจะอ้าปากพูดอะไรออกมาแต่ก็พูดไม่ออก ได้แต่นั่งสีหน้าเศร้าหมองถอนหายใจ
ไม่มีใครก้าวก่ายวิบากกรรมของใครได้
“แต่หนูสัญญาจ้ะว่าจะพยายามไม่ไปก่อกรรมทำเข็ญอีก” เมื่อเห็นสีหน้าของบิดามารดาที่เคารพรักทุกคนหญิงสาวก็เอ่ยคำสัญญาออกมาทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก ทุกคนยิ้ม ออกมาด้วยความโล่งใจ และนั่นทำให้เธอพึงพอใจอย่างที่สุด “ให้หนูเล่าดีกว่าว่าที่ผ่านมาหนูทำอะไรบ้าง”
ทั้งสี่พูดคุยเล่าเรื่องราวต่างๆ กันอย่างสนุกสนานและผ่อนคลาย
โสมมีความสุขที่ได้อยู่กับบุคคลที่เธอรักมากที่สุดเช่นนี้หญิงสาวสลับไปออดอ้อนออเซาะพวกท่านตลอดเวลาให้สมกับที่ไม่ได้ทำมานาน จึงไม่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกเหมือนลืมอะไรหลายอย่างไป เพราะคิดว่าในเมื่อมีความสุขถึงขนาดนี้แล้วอะไรที่ลืมก็ช่างมันเถอะ จดจำแค่ความสุขก็พอ
“โสม”
คลื่นเสียงนี้ทำให้บรรยากาศรอบด้านสั่นไหวคล้ายระลอกคลื่น และทำให้โสมใจหาบวาบ หญิงสาวลุกขึ้นจากการนอนหนุนตักของแดนเนียลแล้วมองไปยังต้นเสียง ร่างสูงใหญ่กำยำในเสื้อ คลุมดำเหมือนภูตผียืนอยู่นอกร่มไม้ ใบหน้าที่ดุดันน่ากลัวให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจ้องเขม็งมายังเธออย่างน่าขนลุก เธอขยับตัวชิดพฤกษ์อย่างต้องการยึดความ
เข้มแข็งและแข็งแกร่งโดยไม่รู้ตัว ความทรงจำอันเลือนรางแล่นผ่านเข้ามาในหัว ว่าภูตที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือมัจจุราชที่มารับวิญญาณของเธอก่อนตาย
เมื่อพยายามคิดว่าเธอตายยังไงก็ปวดหัวระบมจนต้องร้องคราง จากหางตาเห็นมัจจุราชตนนั้น ขยับตัวคล้ายจะก้าวเข้ามาในร่มไม้แต่ก็ชะงักงันอยู่กับที่เหมือนไม่สามารถเข้ามาได้
“ไม่เป็นไร ทุกอย่างจะเรียบร้อย” แดนเนียลวางมือบนศีรษะลูกสาวที่เริ่มผ่อนคลายด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ ลดลง รัตนาวดีเข้ามากอดลูกสาว ประทับจูบซ้ายขวาด้วยอาลัย ส่วนพฤกษ์ทำเพียงขยี้ผมบุตรบุญธรรมด้วยสีหน้าติดยิ้ม ที่แปลความหมายไม่ได้เท่านั้น
“มาหาข้า” เสียงของมัจจุราชตนนั้น สั่งด้วยกังวานดุและพุ่งพล่าน
โสมมองร่างนั้น อย่างเป็นปรปักษ์ “เห็นทีจะไม่ล่ะ อยู่ที่นี่ฉันมีความสุขดีอยู่แล้ว”
“เจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ มากับข้าเดี๋ยวนี้!”
“ม่าย” หญิงสาวตอบยานคาง แถมยังทำสีหน้ากวนโมโห “จะยืนอยู่ตรงนั้นตลอดไปก็ได้นะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก แต่ฉันจะไม่ไปไหนแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะพังที่นี่ให้ราบคาบ!” ร่างในเสื้อคลุมดำตวาดกร้าวก้องฟ้า
โสมขนลุกเยือกด้วยจับได้ถึงกระแสความมุ่งมั่นจนเกือบเป็นคำสาบานในน้ำเสียงของคนพูด
“อย่าทำตัวเป็นอันธพาลหน่อยเลยไอ้หนุ่ม” พฤกษ์กระแอมอย่างรู้สึกขบขัน “พวกเราก็แค่เป็นห่วงลูก ไม่อยากให้เจ็บปวดเลยดึงมาที่นี่เสีย”
“ส่งนางมาให้ข้าเถิด” น้ำเสียงที่พลุ่งพล่านด้วยความร้อนใจเมื่อครู่อ่อนลงกลายเป็นอ้อนวอน
“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณจะดูแลลูกสาวผมได้” แดนเนียลทำน้ำเสียงและสีหน้าเข้ม
“ถ้าเธอไม่คิดจริงจังละก็อย่าคิดเลยว่าฉันจะปล่อยให้ลูกสาวไปกับเธอง่ายๆ” รัตนาวดีพูดพลางเลิกคิ้ว ท่าทางแสดงชัดว่ายังไม่ไว้ใจ
“ข้าจะดูแลนางอย่างดี ได้โปรดส่งนางมาให้ข้า”
“ถ้าได้ลูกสาวผมแล้วจะยกย่องเชิดชูเป็นเมียเพียงคนเดียวหรือเปล่า” แดนเนียลถามอีกด้วยน้ำเสียงจริงจัง จ้องหน้าชายร่างสูงตรงหน้าด้วยความคาดหวัง
“นางจะเป็นเมียเพียงคนเดียวในชีวิตของข้า” เจ้าของร่างสูงใหญ่ตอบอย่างหนักแน่น
“อะไรเนี่ย อย่าพูดตกลงกันเองสิ ฉันบอกว่าไม่ไปเข้าใจไหม” หญิงสาวพูดอย่างพื้นเสีย
“ข้ารักเจ้า มากับข้า”
“นรกสิ!”
“ไอ้หนูนี่ปากเน่า สมควรโดนเขกกบาล” พฤกษ์ดุโสมอย่างไม่จริงจัง ก่อนหันไปพูดกับชายผู้กำลังร้อนใจอยู่นอกร่มไม้ “เธอเองก็เป็นทหารใช่ไหม ด้วยเกียรติของชายชาติทหาร กล้าสาบานหรือเปล่าว่าจะดูแลลูกสาวฉัน”
“ด้วยเกียรติแห่งชายชาติทหาร ด้วยเกียรติแห่งราชัน ด้วยชีวิตของข้า ข้าสาบาน!”
“เอาเถอะ ถึงยังไงก็จะให้ลูกอยู่ที่นี่นานนักไม่ได้อยู่แล้ว” แดนเนียลกระแอมเรียกความสนใจ “พวกเราฝากลูกด้วยก็แล้วกัน”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไป” หญิงสาวโวยวายอย่างเดือดร้อนใจ
“มากับข้าเถิดโสม ที่ของเจ้าไม่ใช่ที่นี่” ร่างสูงพูดกล่อมด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้นุ่มนวล
“หนูไม่ไปนะพ่อ หนูจะอยู่ที่นี่” โสมร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ เธอรอมานานเท่าไหร่แล้วที่จะได้พบพวกท่าน พอมีโอกาสแล้วกลับถูกผลักไสออกไปให้เจ้ามัจจุราชเพี้ยนๆ นั่น เป็นแบบนี้แล้วเธอจะทนได้ยังไง
“ร้องไห้ทำเหมือนจะตาย” อดีตทหารทำเสียงเข้มทั้งที่ใจอ่อนจนแทบเป็นน้ำ เมื่อเห็นบุตรบุญธรรมที่เลี้ยงดูมาร้องไห้น้อยใจ
“เราไม่ได้จากไปไหนไกลสักหน่อย” รัตนาวดีจูงสามีเข้ามาช่วยกันปลอบลูกสาวที่ต้องนี้ร้องไห้โยเยเหมือนเด็ก
“พวกเราอยู่กับหนูตลอดเวลานั่นล่ะ” แดนเนียลลูบหัวลูบไหล่ปลอบ
“ไม่เอา” โสมยังยืนยัน ความรู้สึกที่เธอไม่มีวันลืมเลือนตอนมีชีวิตอยู่ก็คือความโดดเดี่ยวและความเจ็บปวดทรมานเท่านั้น เธอไม่อยากกลับเผชิญกับพวกมันอีก
“ฝากด้วยก็แล้วกัน” พฤกษ์ตัดบท เขาเลี้ยงดูโสมในช่วงวัยรุ่นมาทำไมจะไม่รู้ว่าโสมสามารถทำตัวเป็นไอ้ตัวแสบรั้นถ่วงเวลาไปได้นานแค่ไหน เขาส่งมือของบุตรบุญธรรมให้มือใหญ่ที่เอื้อมมารออยู่โดยมีพ่อแม่ที่แท้จริงของเจ้าตัวช่วยกันดันออกไป
ทันทีที่มือของโสมถูกมือใหญ่นั้นกุมไว้ก็ต้องสะท้านเฮือก รู้สึกเหมือนติดกับ หญิงสาวอยากจะดิ้นรนหนีแต่พบว่าไม่อาจทำอะไรได้นอกจากยืนนิ่งยอมให้เขารั้ง เข้าไปสู่อ้อมแขนแข็งแกร่ง เธอพบว่าทุกสิ่งมันผิดคาดไปหมด เขาไม่ได้น่ากลัวและดูโหดเหี้ยมอย่างที่เห็นเลย ตรงกันข้ามอกของเขาอบอุ่น ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย ช่วยประโลมใจและมีความ
อ่อนหวานบางอย่างที่ทำให้เธอยอมสยบ เมื่อเขาลูบไหล่ลูบหลังเธอความเป็นปรปักษ์ทั้งหมดของเธอถูกป้องปัดออกไปในตอนนั้นเอง
“ข้าได้ตัวเจ้าแล้ว” เสียงสั่นพร่าเปี่ยมไปด้วยอารมณ์นานัปการดังอยู่เหนือหัว “ถึงเวลาตื่นแล้วโสม”
หญิงถูกดันออกมาจากความอบอุ่นนั้น น่าแปลกใจที่ตอนแรกเธอบอกไม่อยากมากับเขา แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกเสียดายและผิดหวังที่ต้องแยกจากกัน
“มองดูตัวเองสิ”
โสมกระพริบตาอย่างมึนงงเพราะอยู่ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยนไป หญิงสาวพบว่ากำลังสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดกับกางเกงผ้าเนื้อบางสีเดียวกัน ไม่ใช่เสื้อยืดและกางเกงขายาวตัวเดิม สมองของเธอเฉื่อยชา มีกลิ่นขมๆ คล้ายยาหลายขนาน กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นธูปและกลิ่นน้ำอบตีกันในจมูก
“ลืมตาขึ้นสิยอดรัก เจ้ากำลังทำให้ข้าเป็นบ้าหากเจ้าไม่ลืมตาขึ้นเดี๋ยวนี้!”
หญิงสาวเหนื่อยล้าจนแทบจะไม่มีแรงลืมตา แต่เห็นแก่เสียงกระซิบสั่งกึ่งขอร้องของคนที่กระซิบอยู่ข้างหูจึงได้แต่พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น มือของเธอได้รับแรงบีบขึ้นมาทันที คาดว่าคงถูกใครสักคนกุมเอาไว้ และการบีบมือของเธอจนกระดูกแทบหักนี่น่าจะเป็นการพยายามให้กำลังใจ
เธอพยายามลืมตาอยู่ชั่วครู่ก่อนจะทำสำเร็จ ภาพตรงหน้าพร่ามัวจนแทบมองไม่เป็นภาพ และหัวสมองของเธอเหมือนถูกปั่นอยู่ในเครื่องปั่น เธอพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกสิ่งกลับว่างเปล่าจนน่าใจหาย ได้แต่ลืมตาค้างด้วยความตื่นตระหนกและสับสน
“ยอดรัก” สิ้นเสียงก็มีเงาทะมึนชะโงกง้ำเหนืออยู่ร่าง เธอตกใจจนต้องหลับตาปี๋ลงไปอีกครั้ง เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นใหม่
“เจ้าฟื้นแล้ว!”
“ใคร?” เสียงของเธอแหบจนเหมือนถูกครูดด้วยกระดาษทราย เธอไม่รู้จักสิ่งต่างๆ รอบตัวรวมถึงคนที่สวมหน้ากากน่ากลัวอยู่เบื้องหน้านี้
“คุณเป็นใคร”
“หมอ!” ชายสวมหน้ากากที่เธอไม่รู้จักหันไปตะโกนเรียกหาคนที่อยู่นอกห้องด้วยท่าทีร้อนรน
“คุณเป็นใคร?!” เธอถามอีกครั้ง ด้วยความหวาดกลัวเพราะถูกความอ่อนแอและความเปราะบางทางอารมณ์ทั้งหมดกดดัน การที่ใครสักคนหนึ่งตื่นขึ้นมาพร้อมกับความว่างเปล่ามันไม่ปกติ และความคิดที่ว่าตัวเองไม่ปกติมันกำลังทำลายเธอ “แล้วที่นี่ที่ไหน ฉันอยู่ที่ไหน”
“ไม่เป็นไรยอดรัก เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว” คนที่บอกว่าไม่เป็นไรไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองก็เสียงสั่นเช่นกัน
เธอไม่สนใจว่าเขากำลังปลอบประโลมด้วยการดึงเธอขึ้นมานั่งในอ้อมอกของเขาแล้วโอบกอดเอาไว้ เธอกำลังคิดโดยหวังว่าจะนึกอะไรออกบ้าง แต่ไม่เลย เธอไม่รู้อะไรสักอย่าง
ราชันไพรสัณฑ์ทอดพระเนตรความอ้างว้าง ว่างเปล่าและความหวาดกลัวในสายตาของโสมแล้วพลันรู้สึกสังหรณ์พระทัยไม่ดีขึ้นมาทันที ทรงโอบกอดนางเอาไว้อย่างระมัดระวังไม่ให้นางเจ็บโดยหวังว่าจะทำให้นางรู้สึกมั่นคงขึ้น มาได้บ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
“เจ็บที่ไหนหรือไม่” ทรงก้มลงถามคนที่นั่งตัวแข็งและเต็มไปด้วยความกลัว นางเงยหน้ามองพระองค์ด้วยแววตาสับสนแล้วเอ่ยคำถามที่ทำให้ทรงตระหนกยิ่งกว่าคำถามที่แล้วมา
“ฉันเป็นใคร”