ตอนที่ ๒๙
ละครสัตว์
เนื่องจากเวลาที่แล้วมาโสมถูกบังคับให้นอน เมื่อรู้สึกแจ่มใสจึงถือโอกาสมองสำรวจห้องที่พัก เธอพบว่าห้องถูกกั้น เป็นสัดส่วนด้วยฉากกั้น หลายบาน มีเตียงนอนเล่นตั้ง อยู่ริมหน้าต่างบานใหญ่ อีกเตียงหนึ่งตั้ง อยู่ใกล้เตียงของเธอแต่เป็นเตียงเล็กกว่า หากเทียบกับเตียงที่เธอนอนอยู่แล้วเรียกได้ว่าเตียงนั้น ทั้งเล็กและหรูน้อยกว่ามาก
ทรงยกเตียงใหญ่ให้เธอหรือ แต่ทรงเคยรับสั่งว่าเธอเป็นเมียนี่นา แล้วทำไมถึงมีเตียงสองเตียงในห้อง ความคิดของหญิงสาวสะดุดลงเมื่อมีเงาดำมาถึงข้างเตียงของเธออย่างเงียบเชียบ เธอมองราชันไพรสัณฑ์พลางคิดว่าราชันเหมือนหนังสืออาถรรพ์ที่เธออยากจะอ่านให้หมดแต่ก็กลัวที่จะอ่าน บ่อยครั้งที่คิดว่าทรงอ่อนโยนและอ่อนหวาน แต่ก็มีบางครั้ง อย่างเช่นครั้ง นีที้่เธอรู้สึกว่าทรงน่ากลัวเกินไป
“ไปดูละครสัตว์กันดีหรือไม่” รับสั่งชวนดื้อๆ
“ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย”
“อาจมีคนทะเลาะกันด้วยนะ ข้าให้เจ้าไปนั่งดูอย่างใกล้ชิดเลยสนใจไหม”
“เดี้ยงเป็นคนพิการแบบนี้แล้วฉันจะไปยังไงล่ะ” โสมพูดอย่างเล่นตัวเพราะสัมผัสได้ว่าราชันไพรสัณฑ์กระตือรือร้นเป็นพิเศษจนน่าขวาง
“ข้าจะอุ้มออกไปเอง แต่เจ้าต้องแต่งตัวให้เหมาะสมกว่านีh”
“จะให้ฉันแต่งยังไง” หญิงสาวก้มลงมองตัวเองในชุดผ้าฝ้ายกับกางเกงขายาวแล้วก็เห็นด้วยกับพระองค์
“แต่งอย่างข้านี่ล่ะ มิดชิดดี” ทรงโอบพยุงร่างโสมขึ้นเปลื้องผ้าอย่างสุภาพและระมัดระวัง รู้สึกพึงพระทัยที่ในตอนนี้แม้นางจะขัดเขินกับการที่ต้องเปลือยเปล่าและเปราะบางอยู่ภายใต้พระหัตถ์ของพระองค์ แต่นางก็ไม่ปฏิเสธพระองค์อีก
“ฉันยังไม่ได้เช็ดตัวเลย หน้าก็ยังไม่ได้ล้าง ฟันก็ยังไม่ได้แปรง ขอทำเองก่อนได้ไหม”
“ข้าทำให้” แล้วก็ทรงทำให้อย่างที่รับสั่งจริงๆ จนโสมอ่อนใจ ให้ความร่วมมือในทุกเรื่องแม้กระทั่งการแต่งตัว “สวมหน้ากากเอาไว้เสียหน่อยนะโสม ข้าไม่อยากให้ใครเห็นเจ้า”
“หน้ากากแบบไหน” หญิงสาวหรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจ ยิ่งเมื่อทรงลุกไปด้านหลังฉากแล้วกลับออกมาอีกครั้ง พร้อมหน้ากากภูตครึ่งหน้าบนพระพักตร์และในพระหัตถ์ก็มีหน้ากากภูตเต็มหน้าก็ยิ่งแคลงใจ “ท่านไม่เคยบอกเลยว่ามีหน้ากากครึ่งหน้าอีกอันหนึ่ง แต่ที่จะให้ฉันสวมน่ะ คงไม่ได้หมายถึงหน้ากากน่ากลัวที่ท่านใส่อยู่เป็นประจำนั่นหรอกนะ”
“เจ้าจะปลอดภัยหากสวมหน้ากากนี้” ทรงไม่แปลกพระทัยที่นางไม่ชอบหน้ากากภูตเพราะไม่เคยมีใครชอบมัน “จะไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไรและจะไม่มีใครกล้ามองเจ้าตรงๆ”
“ฉันว่านี่มันหน้ากากล่อเป้าต่างหาก เล็งได้ไม่ผิดตัวเลยล่ะ”
ราชันไพรสัณฑ์อึ้งตะลึงไปก่อนทรงพระสรวลเสียงดังลั่นด้วยความขบขันกับแง่มุมความคิดของโสม ช่วงเวลาที่หญิงสาวไม่ระวังตัวราชันหนุ่มก็สวมหน้ากากลงบนใบหน้าของเธออย่างรวดเร็ว เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะอุทานด้วยความตกใจเมื่อหน้ากากภูตค่อยๆ ขยับจนเข้ากับรูปหน้าของเธอจนแม้จะไม่มีสายรัดก็ไม่มีวันหลุดออกจากหน้าไปได้
อันที่จริงเรียกว่ามันแนบสนิทไปกับหน้าของเธอจนเหมือนผิวหนังชั้นที่สองเลยต่างหาก!
“ท่านมันตัวร้าย” โสมคำรามฮึ่มฮั่ม ตีพาหากำยำที่แข็งแกร่งเสียจนเป็นเธอเองที่เจ็บมือ
“มีแรงทำร้ายข้าแล้วหรือแมวเหมียว” ทรงพระสรวลหยอกเย้าประคองมือข้างที่ตีพระองค์ขึ้น มาจุมพิตเบาๆ ราวกับสามารถขับไล่ความเจ็บปวดได้
“ใครเป็นแมวเหมียว!” หญิงสาวหน้าแดงกํ่า แยกไม่ออกว่าเคืองหรือเขิน
“น่ารักดีออกนะ” ราชันไพรสัณฑ์แย้มพระโอษฐ์หวานจนคนที่มองตาพร่าลืมวิธีพูดไปชั่วขณะและได้แต่จ้องมองอย่างโง่งม จนกระทั่งราชันหนุ่มอุ้มขึ้นประทับพระอุระอย่างแผ่วเบาและระมัดระวังราวกับเธอเป็นแก้วบางๆ ที่แตกหักง่ายเธอจึงได้สติแล้วรำพันกับตัวเองในใจ
ห้ามยิ้มบ่อยเด็ดขาด… รอยยิ้มนั่นทำเธอถึงตายได้เลยนะ
หญิงสาวถอนใจอย่างยอมแพ้แล้วซุกหน้าลงกับพระอุระกว้างเพื่อพักใจตัวเอง เมื่อถึงหน้าพระตำหนักค่อยเงยหน้าขึ้น มาอีกครั้งแล้วก็ต้องผงะเมื่อเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ทัดเทียมกับราชันไพรสัณฑ์ยืนอยู่ตรงหน้า เขาสวมหน้ากากสีขาววาดหน้าตาเย็นชา ทันใดนั้น เองมีภาพหนึ่งแล่นเข้ามาในความทรงจำ ความรุนแรงของความรู้สึกทำให้เธอสะดุ้งโหยง ไขว่คว้าเอาพระวรองค์ของราชันหนุ่มอย่างต้องการยึดเป็นที่พึ่งทันที
“เจ้ารังเกียจการนั่งบนม้าตัวเดียวกับข้าหรือไม่” ราชันไพรสัณฑ์อุ้มโสมผ่านหน้าทหารภูตที่เข้ามารุมล้อม
“ไม่หรอก” โสมเออออตาม เกร็งมือที่เกาะเกี่ยวพระองค์ไว้แน่นเมื่อเห็นชายฉกรรจ์สวมหน้ากากเริ่มตีวงเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
“พวกเขาเป็นทหารของข้า เรียกว่าทหารภูต” รับสั่งอธิบายเบาๆ เมื่อเห็นท่าทีไม่ไว้วางใจของนาง “เจ้าเองก็ดำรงตำแหน่งเป็นทหารภูตราชองครักษ์และเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารเสือ”
“โอ้โห… ตำแหน่งดูใหญ่โต” หญิงสาวค่อยไว้ใจทหารภูตที่อยู่รอบข้างมากขึ้น แต่ก็ไม่วางใจเสียทีเดียว เธอจ้องพวกเขาเขม็งด้วยความระแวงว่าจะเข้ามาใกล้ แต่พวกเขากลับไม่ขยับเข้ามาอีกและเอาแต่ก้มหน้าลงหรือมองสำรวจอาณาบริเวณโดยรอบ ไม่มองหน้าเธอหรือราชันแม้สักนิด “ว่าแต่กองกำลังทหารเสือนี่เป็นยังไงหรือ”
ราชันไพรสัณฑ์ทรงอุ้มร่างของโสมขึ้น ไปนั่งบนหลังม้าศึกสีดำตัวใหญ่แล้วโหนองค์ขึ้น นั่งซ้อนหลังอย่างระมัดระวังไม่ให้คนที่นั่งอยู่คนไถลตกจากหลังม้า พระพาหาข้างหนึ่งรวบเอาเอวบางเข้ามาชิดองค์โดยระวังไม่ให้สัมผัสโดนบาดแผลของนาง เมื่อนางนั่งสบายและปลอดภัยแล้วจึงกระตุ้นให้ม้าเดินก่อนรับสั่งตอบ
“เอาไว้ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า” ขณะรับสั่งทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างไม่น่าไว้ใจ โชคร้ายที่หญิงสาวเอาแต่จ้องทหารภูตอยู่จึงไม่ได้เห็น กว่าจะรู้ตัวก็โดนแกล้งไปเสียแล้ว!
“ที่นี่หรือนี่ท่านบอกว่ามีละครสัตว์”
“ที่นี่ล่ะ”
“โถงว่าราชการนี่หรือ”
“ไม่ผิดแน่”
“…”
โถงว่าราชการของราชันไพรสัณฑ์ต่างจากภาพที่โสมจินตนาการเอาไว้มาก เสาและผนังไม่ได้ประดับประดาด้วยอัญมณีหรือแร่ทองคำ ไม่มีการวาดลายสวยงามแต่อย่างใด มีเพียงพื้นหินหยาบให้เหล่าข้าราชการ
ได้นั่งหมอบกราบและมีพระเก้าอี้ศิลาไม่มีพนักพิงตั้งอยู่ต่อหน้าข้าราชบริพาร หญิงสาวคิดว่าพื้นหินและพระเก้าอีศิ้ลาไม่เป็นการสะดวกแม้แต่น้อยเพราะเมื่อใดที่อากาศเย็นก็เหมือนนั่งบนก้อนน้ำแข็งหรือเมื่อใดอากาศร้อนก็จะเหมือนนั่งอยู่บนหินเหล็กไฟ
ราชันไพรสัณฑ์พระองค์นี้ช่างมีพรสวรรค์ในการทรมานคนจริงๆ!
แต่ราชันไพรสัณฑ์กลับไม่ยอมให้เธอต้องนั่งทรมาน พระองค์ให้ทหารยกแท่นนั่งมาตั้ง หลังม่านและยังเอาผ้านวมนุ่มมารอง เอาหมอนอิงมาให้และมีน้ำ มีขนมกับผลไม้ให้กิน มือบางลูบผ้านวมและหมอน สัมผัสได้ว่ามันทั้งนุ่มและเป็นผ้าเนื้อดี เธอปลดหน้ากากภูตลงชั่วคราวเมื่อกินขนมเสน่ห์จันทร์ที่ทั้งหอมและหวานกำลังดี น้ำดื่มก็สะอาดและชื่นใจ
เรียกได้ว่าทรงเลือกเฟ้นแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้ เธอจึงได้แต่ทอดถอนใจอย่างพ่ายแพ้ให้แก่ความดีพระองค์
นอกจากทรงมีพรสวรรค์ในการทรมานคนแล้ว ยังมีพรสวรรค์ในการเอาใจผู้หญิงอีกด้วย!
“เจ้าไพร” โสมยื่นมือไปสะกิดพระอังสาแล้วเอ่ยพระนามที่ทำให้ราชันไพรสัณฑ์พอพระทัย เธอจึงต้องรับมือกับรอยแย้มพระโอษฐ์หวานชื่นที่มีพลังอานุภาพใหญ่หลวงจนหัวใจดวงน้อยแกว่งไกว
“ข้าชอบที่เจ้าเรียกข้าอย่างนั้นนะ แม่หนูน้อย”
เหล่าทหารภูตที่เริ่มกระจายกำลังอารักขาอยู่หลังม่านซึ่งกางกั้น ไว้รอบห้องแทบสะดุดฝุ่นบนพื้น จนหน้าคว่ำ ครั้นได้สติก็รีบเข้าไปประจำที่ของตัวเอง แต่แอบแตะมือกันให้ทหารภูตที่อารักขาอยู่ใกล้บริเวณซึ่งสองพระองค์ประทับอยู่เงี่ยหูฟังให้ละเอียดแล้วกลับมาเล่าสู่กันฟัง
โอกาสแบบนี้มีมากเสียเมื่อใดกันล่ะ!
“เรียกจนหวานแหววเสียไม่มี” เธอพูดงึมงัมแล้วหยิบขนมเสน่ห์จันทร์ชิ้นหนึ่งยื่นให้พระองค์ “อุตส่าห์เอาขนมอร่อยๆ มาให้ก็กินด้วยกันสิ”
ราชันหนุ่มยิ้มหวานอีกคราหนึ่งจนมือบางเกือบสั่นก่อนที่จะทรงโน้มองค์ลงเสวยขนมจากมือของเธอไปเคี้ยวตุ้ยๆ ราวกับเด็กชายตัวเล็กๆ จนเธอรู้สึกคันยิบๆ ที่หัวใจกระทั่งทนไม่ได้ต้องเมินหน้าหนี
“ขออีกหนึ่งชิ้นได้หรือไม่ แม่คนงาม” ทรงทอดพระสุรเสียงอ่อนหวานเสียจนโสมขนลุกซู่
“ตอนแรกเรียกแม่หนูน้อย ตอนนี้เรียกแม่คนงาม” หญิงสาวพึมพำแก้เก้อแล้วหยิบอีกหนึ่งชิ้นป้อนส่งๆ ไป “ไม่ต้องมาทำเสียงอ่อนเสียงหวานอีกนะเจ้าไพร ฟังแล้วขนลุกอ่ะ”
ราชันหน้ากากภูตหัวเราะในพระศอพลางเคี้ยวขนมด้วยความเกษมสำราญ ไม่ทรงทราบมาก่อนว่าขนมเสน่ห์จันทร์จะอร่อยได้ถึงเพียงนี้ทั้งที่เคยกินมาแล้วหลายครั้ง คงเป็นเพราะครั้งนี้นางเป็นคนป้อนกระมังจึงหวานหอมมากกว่าปกติ
“พวกเขานั่งรอกันนานแล้ว ยังไม่ออกไปอีกหรือ” หญิงสาวสวมหน้ากากภูตกลับดังเดิมก่อนถามเพื่อขับไล่ความเงียบที่ชวนคันหัวใจ เมื่อมองออกไปนอกม่านผ้าโปร่งแสงเห็นข้าราชการหัวหงอกหัวดำทุกคนต่างก็ก้มลงหมอบกราบบนพื้นหินเย็นเฉียบโดยไม่ปริปากบ่น
“ก็ได้… รีบให้เสร็จจะได้พาเจ้าไปเที่ยว” พระหัตถ์ใหญ่ลูบกกระหม่อมของนางเบาๆ แล้วลุกขึ้น “นั่งนิ่งๆ อย่าดิ้น นะจ๊ะหนู”
โสมหน้าแดงกํ่าพลางมองค้อนพระปฤษฎางค์ของราชันไพรสัณฑ์ที่แหวกม่านออกไปว่าราชการ โชคดีนักที่สวมหน้ากากอยู่มิเช่นนั้น คงต้องขายหน้ามากกว่านี้หญิงสาวเหลือบมองทหารภูตที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยความระแวงแคลงใจว่าพวกเขาได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่หรือไม่ แต่ในเมื่อพวกเขายืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกจนเหมือนรูปปั้นหินเธอจึงโล่งใจ หารู้ไม่ว่าพวกเขากำลังเกร็งกันสุดชีวิตเพื่อที่จะไม่หัวเราะออกมาต่างหาก!
“วันนี้มีเรื่องอะไรมาทารุณข้าล่ะ”
พรืด!
โสมหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวไม่คิดว่าพระองค์จะเริ่มการประชุมด้วยรับสั่งเช่นนี้ ราชันหนุ่มหันมาทางเธอนิดหนึ่ง แย้มพระโอษฐ์ละไมประดุจเทวดาทั้งที่สวมหน้ากากภูตครึ่งหน้าดูดุดัน ความจริงแล้วพอพระองค์ทรงหน้ากากภูตครึ่งหน้าเธอก็เห็นแย้มพระโอฐละไมตลอดเวลาจนน่าสงสัยว่าทรงทำเพราะความเคยชินเท่านั้น
“ขอเดชะฯ ที่นาให้ผลผลิตต่ำลงพระเจ้าค่ะ” ท่านวิกรมผู้เป็นเจ้ากระทรวงการเกษตรชิงทูลก่อนคนอื่น
“ให้ข้าไปดูยุ้งฉางที่บ้านของเจ้าหรือไม่” รับสั่งราวกับรู้สาเหตุและได้เตรียมวิธีแก้ไขเอาไว้แล้ว เชื่อได้ว่าพรุ่งนี้ข้าวจะไม่ขลาดแคลนอีกต่อไป
“สินค้าในตลาดลดลงและคุณภาพตํ่าลงพระเจ้าค่ะ” ท่านอรรณพกราบบังคมทูลด้วยน้ำเสียงที่โสมคิดว่าฟังดูเย่อหยิ่งและท้าทายพระราชอำนาจของราชัน
“สั่งให้กิจการของหลวงเร่งเพิ่มคุณภาพการผลิตให้สูงกว่าตลาดทั่วไปและขายในราคาเท่าตลาดจนกว่าเจ้าของกิจการอื่นจะปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้ทัดเทียมเราจนชาวบ้านพอใจ” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงสบายๆ แน่นอนว่าไม่ทรงคาดหวังกำไรจากกิจการนี้มากไปกว่าให้เกิดการแข่งขันทางการตลาด
“ขอเดชะฯ อหิวาตกโรคระบาดพระเจ้าค่ะ” ท่านวุฒิพงศ์ผู้เป็นเจ้ากระทรวงสาธารณสุขกราบบังคมทูลเสียงเบา
โสมยังไม่เคยเห็นเขาจึงมองหาต้นเสียงแล้วพบชายวัยกลางคนร่างสมบูรณ์อ้วนท้วมก้มศีรษะล้านนั่งอยู่มุมนอกสุด
“ระบาดอย่างหนักด้วยไม่ใช่หรือ ข้ายังไม่แก่จนเลอะเลือนจึงจำได้ว่าเคยสั่งให้ท่านไปเตรียมการป้องกันล่วงหน้าแล้ว แต่ท่านไม่ได้นำพาเลยนี่ ท่านวุฒิพงศ์” รับสั่งพระสุรเสียงเย็นเฉียบทั้งที่ยังแย้มพระโอฐละไม
ทำให้คนที่รู้ตัวว่าทำผิดตัวสั่น
“ข้าจะให้หมอหลวงออกไปทำการรักษาและสอนวิธีการดูแลคนป่วยโรคนี้กับชาวบ้านข้างนอก ส่วนท่านจงให้เจ้าหน้าที่ในความรับผิดชอบออกไปแจกประกาศสุขบัญญัติการป้องกันโรคนี้ให้ทุกหลังคาเรือน ให้ความรู้กับชาวบ้านเรื่องการต้มน้ำ ก่อนนำมาอุปโภคบริโภค ค่าใช้จ่ายเรื่องหยูกยาและการดำเนินการทั้งหลายนี้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ออก และหากการแพร่ระบาดของโรคนี้ไม่ลดลงข้าจะหาคนมีความสามารถมาทำหน้าที่แทนท่าน” รับสั่งเสร็จก็หันไปหาเจ้ากระทรวงมหาดไทยทันที “ท่านติณภพมีอะไรจะรายงานเรื่องที่ชาวบ้านมาร้องทุกข์เพราะถูกเจ้าหน้าที่ข่มเหงรังแกไหม”
“ตอนนี้ผู้กระทำความผิดถูกจับกุมตัวได้แล้ว รอการลงอาญาพระเจ้าค่ะ” ท่านติณภพกราบบังคมทูลอย่างซื่อสัตย์
“อา… ต่อไปก็กระทรวงยุติธรรมสินะ บอกข้าทีสิว่าข้าควรไว้วางใจการทำงานของตุลาการมากน้อยเพียงไรรึท่านกรวิก ในเมื่อราษฎรต่างก็ร้องสาปแช่งความยุติธรรมของพวกท่าน” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเหี้ยมเกรียม แย้มพระโอฐละมุนละไมมากขึ้น ดูขัดกันและให้ความรู้สึกชวนขนหัวลุก
“ผู้เสียผลประโยชน์ย่อมพร้อมจะกล่าวหาตุลาการว่าอยุติธรรมพระเจ้าค่ะ” ท่านกรวิกเป็นชายรูปร่างสูงโปร่ง แม้จะเข้าวัยกลางคนแล้วแต่ก็ดูภูมิฐาน
“เท่าที่ข้ารู้มามีแต่ลูกผู้ดีมีเงินเป็นผู้ได้ประโยชน์ทั้งนั้น เลยนี่ ส่วนชาวบ้านน่ะเสียประโยชน์ทั้งนั้น” ทรงแย้มพระสรวลกึกก้อง
โสมไม่ได้อุปปาทานไปเองว่าฟังละม้ายเสียงของภูตผีที่กำลังเยาะเย้ยให้แก่วิญญาณที่เข้ามาสังเวยชีวิตให้ “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะใช้ความยุติธรรมของข้าปลดท่านออกจากตำแหน่ง และในระหว่างที่ยังไม่มีผู้รั้งตำแหน่งนี้แทนท่าน ข้าจะ
ให้ผู้ตรวจการทหารภูตของข้าไปควบคุมดูแลการทำงานของตุลาการที่เหลือเอง”
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพิจารณาใหม่ด้วยพระเจ้าค่ะ!” เสียงคัดค้านประสานดังขึ้นทันที
เช่นนี้ไม่เท่ากับว่ากระทรวงยุติธรรมถูกทหารภูตควบคุมหรอกหรือ!
“พวกเจ้ากล้าสงสัยในการตัดสินใจของข้ารึ” พระสุรเสียงแผ่วเบานุ่มนวลแต่ฟังแล้วอันตรายยิ่งนัก
“ท่านกรวิกเป็นข้าราชการอาวุโสที่ทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองมาตั้งแต่รัชสมัยราชันอคิราภ์ การที่พระองค์ปลดท่านออกไม่เท่ากับว่าทรงเป็นราชันที่อกตัญญูไม่รู้คุณ…” ท่านอรรณพเงยหน้าขึ้น แย้งเสียงแข็งแต่ก็พูดไม่จบประโยคที่ตนต้องการ เป็นเพราะใบมีดปอกผลไม้เล็กบางและคมกริบเล่มหนึ่งแล่นออกมาจากหลังม่านบาดแก้มของเขาจนเลือดอาบหน้าไปข้างหนึ่ง
“ระวังน้ำเสียงและกิริยามารยาทของท่านด้วย พระมเหสีไม่มีความอดทนมากนัก” รับสั่งพลางสรวลราวกับเป็นเรื่องชวนหรรษา แต่ข้าราชการทุกคนตกตะลึงจนตัวแข็ง ผู้ที่คิดหนักที่สุดก็คือท่านกรวิกเพราะเขาตั้งใจจะกราบทูลเรื่อง ‘ข้อเสนอ’ ที่ตกลงกับธรรม์เอาไว้ แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีคงต้องกลับไปประเมินสถานการณ์เสียใหม่
แต่ราชันไพรสัณฑ์ทรงแต่งตั้งพระมเหสีตั้งแต่เมื่อใด!