Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 3

ตอนที่ ๓

เสน่ห์ลวง

โสม พยัคฆ์ดำรงนั่งบนแท่นเล็ก

นางกำนัลกำลังทยอยนำอาหารเช้ามาบริการ ขณะที่หญิงสาวลอบพินิจราชันผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งบัดนี้สวมหน้ากากภูตครึ่งหน้าเผยให้เห็นพระโอษฐ์รูปสวยสีระเรื่อ ก่อนถอดหน้ากากของตนออกด้วยความไม่คุ้นชิน เผยให้เห็นใบหน้าคมคายซ่อนความหวาน ดวงตาสีน้ำเงินที่พราวระยับละม้ายดวงดาวและรอยยิ้ม ที่ทำให้เหล่านางกำนัลซึ่งแอบมองอยู่ต้องหน้าแดงและมือสั่นไปตามกัน

“ให้ฉันทำเองเถอะ หากแม่หญิงถูกกับข้าวร้อนๆ ลวกมือเอาฉันคงทนไม่ได้” โสมบอกเสียงนุ่ม

นางกำนัลคนงามถึงกับอายม้วนต้วน แต่ครั้นตระหนักได้ว่าราชันหน้ากากภูตประทับอยู่ด้วยก็ตัวเย็นเฉียบด้วย

ความกลัวว่ากิริยาไม่งามของตนจะทำให้ทรงไม่พอพระทัย

ราชันไพรสัณฑ์ทอดพระเนตรความเจ้าชู้ของบุรุษที่อ้างว่าเป็นพระสหายของทูลกระหม่อมแม่ของพระองค์ด้วยความหมั่นไส้นิดๆ แต่การกระทำของโสมไม่ดูน่าเกลียดพอที่พระองค์จะหาเรื่องตำหนิได้

เมื่อสำรับกับข้าวถูกจัดวางเสร็จเรียบร้อยเหล่านางกำนัลก็พากันออกไป ทั้งสองคนต่างก็ทานอาหารของตนเงียบๆ

ใบหน้าของโสมฉาบไปด้วยอารมณ์รื่นเริงดวงตาเป็นประกายระยับ หากแต่ภายในใจนั้นกลับปั่นป่วนวุ่นวายไปด้วยคำถามและความพิศวง

คุณพระ! กณวรรธน์นครมีจริง! ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงยืนยันได้เลยว่าที่นี่ไม่ใช่จิตใต้สำนึกหรือความฟุ้งซ่าน!

โสม พยัคฆ์ดำรงกำลังคิดว่าเรื่องที่เธอกำลังเผชิญมันพิสดารเกินไป อัศจรรย์เกินไป ประวัติศาสตร์ที่เธอเรียนมาก็ยังไม่เคยมีจารึกว่ามีกณวรรธน์นครแต่อย่างใด แล้วนี่เธอกำลังอยู่ในภพไหนกันแน่ ภพที่เธอเคยอยู่กับภพนี้คือภพเดียวกันหรือไม่ เธอลอบถอนใจในอกเบาๆ

ความตายก็ผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง อยู่ในภพที่เรียกว่าภพวิญญาณมาแล้วก็ครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น หากจะหลุดเข้ามาอยู่อีกภพหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพิศวงอะไรมากมายนักกระมัง เมื่อคิดตกแล้วเธอจึงกินข้าวด้วยความสบายใจมากขึ้น

ครั้นราชันเสวยเสร็จ มหาดเล็กก็ส่งสัญญาณให้เหล่านางกำนัลเข้ามาเก็บสำรับ

“ท่านถูกลอบสังหารบ่อยไหม” เมื่อเหล่านางกำนัลทยอยเดินออกไปอย่างอิดออดจนหมดหญิงสาวจึงเอ่ยถาม

“ไม่บ่อยนัก” ราชันหนุ่มรับสั่งตอบ ยกน้ำใบเตยหอมขึ้นจิบ

“แล้วท่านเตรียมทำการสอบสวนเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อครู่หรือยัง”

“ไม่ใช่หน้าที่ของข้า”

ถามดีๆ จะตอบดีๆ ก็ไม่ได้

“ท่านจะเล่าสถานการณ์ในกณวรรธน์นครให้ฉันฟังได้ไหม” โสมเร่งเข้าเรื่อง “ฉันจะได้รู้ว่าสามารถทำอะไรให้เมืองนี้ได้บ้าง”

แม้ผู้ที่เดินทางผ่านบ่อจันทราได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแต่ราชันไพรสัณฑ์ยังไม่ปักพระทัยเชื่อว่าโสมจะเป็นพระสหายของทูลกระหม่อมแม่ของพระองค์จริง กระนั้น เมื่อโสมบอกว่ามีเจตนาดีต่อกณวรรธน์นคร พระองค์ก็อดที่จะมีความรู้สึกดีให้มากขึ้นกว่าเดิมไม่ได้

“ศึกนอกสงบ แต่ที่ประทุคือศึกใน ขั้วอำนาจในเมืองนี้แบ่งออกเป็นสามขั้ว ขั้วแรกคือข้า ขั้วที่สองคือข้าราชการบางพวก ขั้วที่สามอยู่ในเงามืดแต่คร่าชีวิตชาวเมืองไปหลายคน สร้างความหวาดกลัวแก่ชาวเมืองมาก ยามราตรีแทบจะไม่มีใครกล้าออกจากเรือนเพราะไม่อยากตายอย่างทรมานด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยม”

“ที่ว่าโหดเหี้ยมนักน่ะตายสภาพไหน”

“ถลกหนัง แขวนไส้ ทิ้ง ศพไว้ให้เดียรัจฉานกัดกิน”

“แล้วจะทำแบบนั้น ไปทำไม คงไม่มีใครนึกสนุกที่ได้ฆ่าถลกหนังคนเล่นๆ มั้ง”

“ไม่มีใครรู้เหตุผลที่แท้จริง แต่ผลกระทบเกิดกับทางการที่ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ อาจทำให้ประชาชนไม่ศรัทธาในราชการอีกและเป็นช่องโหว่ใหญ่ที่ทำให้ใครก็ตามที่อยากล้มล้างอำนาจของข้าทำสำเร็จได้ง่ายขึ้น ”

“โอย… ฉันจะบ้า” โสมรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ “แต่เอาเถอะ… ช่วยเล่าทีว่า ตัวการที่รู้แน่ชัดมีใครบ้าง แล้วเขามีความเคลื่อนไหวอะไรอยู่ มีจุดอ่อนตรงไหน ฉันจะฟังมันอย่างตั้งใจเลยเชียว!”

เมื่อราชันไพรสัณฑ์ทรงเล่าจบก็ปล่อยโสมให้เดินทางไปยังเรือนพักของเหล่าทหารภูตซึ่งราชันได้ประทานให้เธอหนึ่งหลังเช่นกัน การปลอมตัวจึงบังเกิดขึ้นอีกครั้ง เธอยกมือขึ้น แตะทรวงอกที่จัดการนำผ้ามารัดจนแบน

ราบเพื่อความแน่ใจก่อนเลื่อนไปลูบขลุ่ยที่ขอจากราชันมาเป็นเครื่องช่วยคลายเหงาแล้วก้าวตามเหล่าทหารภูตเข้าไปยัง ‘เรือนเริงรมย์’ สถานที่ที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้มาเยือน

เธอกวาดตามองไปรอบๆ เรือนไม้ชั้นเดียวสร้างอยู่กลางลำน้ำคลองอย่างพินิจเพื่อหาทางหนีทีไล่ เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าไปก็จะพบพื้นที่โถงมุงหลังคาเพื่อเป็นสถานที่ไว้จัดแสดงการละเล่นหรือการบรรเลงดนตรีให้แขกได้พักดื่มสุราและทานอาหาร ทุกโต๊ะจะมีสาวน้อยหน้าแฉล้มคอยเอาอกเอาใจให้ความสำราญ แสงตะเกียงและแสงคาคบไต้ไหววะวูบคราใดก็ทำให้บรรยากาศอวลแฝงไปด้วยอารมณ์อันลึกซึ้ง

เมื่อเดินผ่านห้องหับที่ปิดมิดชิดก็แว่วเสียงหัวร่อต่อกระซิกและเสียงครวญครางที่แทบจะทำให้เธอขนลุกซู่อีกด้วย

เหล่าทหารภูตได้รับการรับรองที่ห้องริมน้ำซึ่งเป็นห้องพิเศษ ทุกคนมีสีหน้าผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ขณะนั้นเองหญิงสาวนางหนึ่งตรงเข้ามารินน้ำข้าวหมักชั้นเยี่ยมใส่แก้วแล้วยื่นส่งให้พร้อมรอยยิ้มหวานยวนใจมีจริตจะก้านเกินวัยที่ไม่น่าจะเกินสิบหกปี

โสมรับจอกมาอย่างสุภาพโดยหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสมือของอีกฝ่าย

“ขอบใจ” โสมพูดเสียงทุ้มนุ่ม ทอดสายตาอ่อนโยนน่ามองจนหญิงบริการอายุน้อยถึงกับจ้องด้วยความตกตะลึง “ไม่ทราบว่าแม่หญิงจะให้เกียรติฉันบอกชื่อของแม่หญิงมาได้หรือไม่”

“อิฉันชื่อชงโคเจ้าค่ะ” นางชงโครู้สึกตื้นตัน น้อยนักที่นางจะพบบุรุษรูปงามที่ให้เกียรติเรียกเธออย่างสุภาพและถามชื่อของนางเช่นนี้เพราะส่วนใหญ่นางมักจะดูถูกปฏิบัติอย่างเหยียดหยาม

“แม่หญิงชงโค” โสม พยัคฆ์ดำรงยกสุราขึ้นจิบ ลิ้มรสความร้อนแรงและหอมหวานยิ่งด้วยความเพลิดเพลินใจ “วันนี้ฉันต้องรบกวนแม่หญิงแล้ว”

“ไม่เลยเจ้าค่ะ ชงโคยินดีที่จะรับใช้คุณท่าน” นางชงโคบอกพร้อมปรนนิบัติทั้งสุราและกับแกล้ม

โสมพึมพำขอบใจพร้อมยิ้ม อย่างอ่อนหวานให้เป็นกิริยาที่ทำให้นางประทับใจยิ่งนัก

เหล่าทหารภูตลอบสังเกตการณ์กระทำของท่านราชองครักษ์โสมด้วยความสนใจ ท่าทางราชองครักษ์ของ

ราชันไพรสัณฑ์ท่านนี้เจ้าเสน่ห์นัก สุภาพนุ่มนวลและให้เกียรติสตรี พวกเขาคิดว่าไม่นานชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นที่คลั่งไคล้ของสตรีทั้งเมืองเป็นแน่

แม่เล้าเข้ามาต้อนรับพินอบพิเทา

โสมกวาดตามองแม่เล้าอย่างสุภาพพบว่าเป็นผู้หญิงสวยแม้ว่าจะมีอายุแล้ว ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์อันงดงามและกลิ่นน้ำอบน้ำปรุงหอมระรื่นยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์มากขึ้น จริตก็นุ่มนวลและดูเย้ายวนเช่นกัน นางเอ่ยต้อนรับด้วยเสียงอ่อนหวาน ดวงตาหวานฉ่ำสบกับทุกคนจนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่เธอนานเป็นพิเศษ

“สวัสดี” โสมพูดยิ้มๆ ดวงตาสีน้ำเงินเปล่งกระกายระยับละม้ายดวงดาวนับร้อยนับพันบนท้องฟ้า ใบหน้าคมคายซ่อนความหวานเจิดจรัสท่ามกลางแสงเทียนสีทองวะวูบวะวาบ สร้างแสงเงาทาบทับร่างของหญิงสาวในคราบบุรุษให้สง่างามอย่างลึกลับยวนเสน่ห์ยิ่งนัก

“คุณท่านเป็นคนต่างเมือง เพิ่งมาเรือนเริงรมย์ของเราเป็นครั้งแรกหรือเจ้าคะ อิฉันไม่เคยทราบเลยว่ากณวรรธน์นครจะมีบุรุษรูปงามเช่นท่านอยู่ คราแรกคิดว่าได้เห็นเทพบุตรเสียแล้ว”

“พูดชมเกินไป” หญิงสาวไม่ตอบคำถามเพราะไม่ต้องการให้ใครรับรู้เรื่องของเธอมากนัก

“หวังว่าเรือนเริงรมย์ของเราจะทำให้คุณท่านพอใจนะเจ้าคะ เมื่อพวกท่านให้เกียรติมาเยือนเรือนเริงรมย์ อิฉันคงไม่มีอะไรที่จะแสดงความขอบคุณได้มากเท่าทิพย์ดนตรีจากนางสุวิมลแล้ว”

นางสุวิมลเป็นหญิงที่มีหน้าที่ขับกล่อมดนตรีเท่านั้น ไม่ได้ลงมาปรนนิบัติแขก กล่าวได้คือขายเสียงเพลงมิได้ขายเรือนร่าง นางมีความงามอ่อนหวานยิ่งนัก เสียดายเพียงแต่นางเก็บตัวและเย็นชาจนไม่มีใครสามารถชนะใจยอมให้นางยอมมอบกายถวายชีวิตให้ได้

ในขณะที่คนอื่นกำลังปล่อยใจสบาย แต่โสมกลับหลุบตาลงเก็บซ่อนความคิด เมื่อได้ยินชื่อสุวิมล เรื่องราวที่ราชันไพรสัณฑ์บอกเล่ายังก้องอยู่ในหู เห็นทีเธอจะต้องลงมือทำบางอย่างเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจจากหญิงนางนี้เพื่อจะใช้เธอเป็นสะพานไปถึงใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมโหดในคืนเดือนมืด ซึ่งห้องของนางสุวิมลมักจะเรืองรองด้วยแสงเทียนอ่อนๆ เสียงดนตรีและเสียงพูดคุยเบาๆ เกือบตลอดทั้งคืน

แม่เล้าใช้ให้คนไปตามนางสุวิมลมา ไม่นานนักจะเข้ตัวงามก็ถูกยกเข้ามาตั้ง

โสมระวังแววตาไม่ให้เป็นการจ้องมองอย่างเสียมารยาทเมื่อสตรีโฉมสะคราญนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ร่างเล็กสะโอดสะองในชุดผ้านุ่งสีเข้มและสไบสีชมพูเปิดเผยไหล่มนสีนวลยวนตา ผมดำขลับเกล้าขึ้นสูงรัดด้วยรัดเกล้าเงินสลัก

เมื่อแสงเทียนจับดวงหน้าเรียวสวยอ่อนหวานหากแฝงความเย็นชาให้ดูงดงาม ทั้ง คิ้ว ตา จมูกและริมฝี ปากต่างรับกันอย่างเหมาะเจาะ เมื่อนางนั่งลงเรียบร้อย นิ้วเล็กเรียวงามก็เริ่มบรรเลงเพลงในทันที

เสียงเพลงบทแรกสดใสราวกับนกที่เป็นอิสระกำลังโผผินท่ามกลางท้องฟ้ากว้างใหญ่ ระรื่นเริงระบำอย่างเสรีก่อนที่เมฆมืดดำจะเข้าปกคลุมท้องฟ้า กระแสฝนซัดกระหนํ่าจนเจ้านกน้อยอ่อนแรงและกำลังจะตาย มันบินฝ่าพายุฝนอย่างเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าจนกระทั่งหมดเรี่ยวแรงกำลังจะต้านทานและกำลังจะจมดิ่งลงในม่านฝน

เสียงขลุ่ยใสและกังวานดังสอดประสานขึ้น ในทันใดทำให้นางคนงามตื่นจากภวังค์อันทุกข์ทรมาน กระนั้นมือน้อยก็มิได้หยุดดีดเพียงแต่สอดประสานตามเสียงขลุ่ยชักพาราวกับนิ้วมือของนางต้องมนตร์ ทุกคนจับจ้องโสมด้วยความตื่นตะลึงเพราะไม่คิดว่าชายหนุ่มรูปงามจะเป่าขลุ่ยแทรกประสานไปกับเสียงจะเข้ที่พรายพรมไปตามนิ้ววิเศษของแม่หญิงคนงาม

ฉับพลันนั้นเองนกน้อยที่กำลังจะตายกลับมีเรี่ยวแรงฮึดสู้เฮือกสุดท้าย ตีปีกบินไปยังต้นไม้ใหญ่ที่เพียงพอจะเป็นที่พักพิงให้แก่มันได้ จนกระทั่งพายุฝนผ่านพ้นไป ท้องฟ้าสว่างกระจ่างใส ทุกชีวิตกำลังจะเริ่มต้นใหม่ เจ้านกน้อยสลัดขนที่เปียกชุ่มของมันจนแห้งแล้วกางปีกออกบินอีกครั้ง โดยมีสายตาของต้นไม้คอยมองส่งด้วยความปรารถนาดี

จะเข้และขลุ่ยสอดประสานกันจนถึงช่วงสุดท้ายก่อนที่ความเงียบสงบจะเคลื่อนเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้อง เหล่าทหารภูตมองท่านราชองค์รักษ์ที่เก็บขลุ่ยแล้วยกสุราขึ้น ดื่มอย่างสบายอารมณ์ไม่สนใจใครอย่างไม่เชื่อสายตา แม่เล้าเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน บทเพลงเมื่อครู่ไพเราะเสียจนสะกดทุกคนได้

บัดนี้นอกห้องที่รับรองเหล่าทหารภูตเต็มไปด้วยแขกเหรื่อของเรือนเริงรมย์ที่ยื่นหน้าออกมารับฟังบทเพลงสวรรค์ด้วยความตื่นตาตื่นใจ

เห็นทีบุรุษรูปงามท่านนี้มิใช่คนธรรมดาแน่แล้ว

นางสุวิมลจ้องมองโสมไม่วางตา นางไม่เคยถูกใครกล้าสอดเพลงขึ้นมากลางคันเช่นนี้ แต่บุรุษรูปงามแปลกหน้าท่านนี้กลับกล้าที่จะเปลี่ยนทำนองเพลงของนางให้ออกนอกทาง กระนั้น ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเสียงขลุ่ยของเขาที่แก้ทางเพลงของนางนั้น ทำให้นางรู้สึกถึงการปลดปล่อยมากกว่าทุกครั้งที่เล่นดนตรี แล้วห้วงความคิดของนางก็หยุดลงเมื่อได้ยินเสียงปรบมือดังสนั่นจากทั่วทุกทิศ บ่งบอกได้ว่าทุกคนประทับใจการบรรเลงดนตรีเมื่อครู่ยิ่งนัก

“คุณท่านรังเกียจหรือไม่ที่จะบอกชื่อแก่อิฉัน” เสียงหวานนุ่มอ่อนน้อมแต่เจือไปด้วยความเย่อหยิ่งเย็นชาเอ่ยขึ้น ดวงตาหวานโศกสีดำสนิทจ้องมองโสมไม่วางตา

“ฉันชื่อโสม” โสมตอบพร้อมรอยยิ้ม สุภาพอ่อนหวานและคำพูดให้เกียรติ “ฉันขอโทษที่เป่าขลุ่ยแทรกทำนองเพลงของแม่หญิง เป็นเพราะฉันทนเห็นแม่หญิงโศกเศร้าทุกข์ตรมต่อไปไม่ได้”

“อิฉันคงไม่กล้าตำหนิคุณท่าน” นางสุวิมลพูดเสียงเย็นชา คิดในใจว่าชายผู้นี้เรียกนางอย่างสุภาพนัก ท่าทางบุคลิกองอาจและมั่นใจคงเป็นคนใหญ่คนโตในวัง

“ผู้รู้สำเนียงย่อมตระหนักซึ้งถึงความงดงามแห่งดนตรี แม่หญิงเป็นผู้รู้สำเนียงเช่นกันกระมัง”

นางสุวิมลไม่คาดคิดว่าบุรุษรูปงามแปลกหน้าตรงหน้าจะหาญกล้าต่อว่านางทางอ้อมว่าใจแคบ ไม่เห็นแก่ความไพเราะของดนตรี

“พูดได้ดีเจ้าค่ะ” นางคนงามแห่งเรือนเริงรมย์พูดอย่างเย่อหยิ่ง มองพินิจโสมด้วยแววตาประเมินลึกซึ้ง “หากคุณท่านไม่รังเกียจที่จะร่วมบรรเลงดนตรีกับอิฉัน ขอคุณท่านสละเวลาในยามว่างให้อิฉันสักเล็กน้อยได้รึไม่เจ้าคะ”

โสมยิ้ม มุมปาก มือรูปสวยยกสุราขึ้น จิบสบายอารมณ์ ดวงตาหรี่ลงเป็นประกายละม้ายดวงดาวและทรงเสน่ห์จับตาผู้มอง

“นี่คือไมตรีของแม่หญิงใช่รึไม่” โสม พยัคฆ์ดำรงถามด้วยน้ำเสียงสัพยอกหยอกเย้า

ซึ่งนางคนงามนึกประหลาดใจบุรุษรูปงามเบื้องหน้าเธอมีบุคลิกที่ไม่ธรรมดา ชวนให้ผู้อื่นต้องชะตานัก

“ไฉนเลยคุณท่านต้องบีบคั้นให้อิฉันพูดในสิ่งที่เป็นการรังแกกันด้วยเจ้าคะ”

“หากมิได้มีไมตรีต่อกัน ฉันก็ไม่อยากให้เกียรติที่แม่หญิงเพียรรักษามามัวหมองได้”

“จะร่วมบรรเลงดนตรี เกี่ยวข้องอะไรต่อเกียรติของอิฉันเจ้าคะ”

“แม่หญิงจะให้ฉันร่วมบรรเลงดนตรีด้วยเพียงครั้งเดียวงั้นหรือ” โสมในคราบชายหนุ่มโต้ตอบอย่างมีนัย

พลันทุกเสียงก็เงียบกริบ

โสมมองนางคนงามด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์พราวระยับ กระตุกยิ้มมุมปากอย่างถือดี พวงแก้มนวลของนางสุวิมลระเรื่อแดงด้วยทั้งโกรธขึ้งและขัดเขิน เพราะนางไม่เคยเห็นใครร้ายกาจได้น่าหลงใหลเท่าบุรุษรูปงามผู้นี้มาก่อน

“บุรุษและสตรีพบกันหลายครั้ง แม้จะเพียงร่วมบรรเลงดนตรีด้วยกันย่อมต้องทำให้เกิดเสียงเล่าลืออันจะทำให้แม่หญิงมัวหมองได้”

โสมเห็นใจนางอยู่บ้าง จึงไม่คิดจะคาดคั้นให้ได้คำตอบออกจากริมฝีปากแดงระเรื่อที่ขบเม้มแน่นนั้น

“คุณท่านช่างเร่งรัดอิฉันนัก ไม่สงสารกันบ้างหรือเจ้าคะ”

“เพียงอยากให้แม่หญิงตัดสินใจให้ดีเท่านั้น ฉันไม่อยากเป็นชายโฉดที่ฉวยโอกาสยํ่ายีเกียรติแม่หญิงด้วยการนิ่งเฉยต่อคำครหาที่จะเกิดขึ้น ”

“ร้ายกาจนัก!” นางสุวิมลถึงกับทนไม่ได้ นางคลานเข่าผ่านหน้าแขกในห้องพิเศษนี้ไปยังทางออกด้วยท่าทางฮึดฮัดขัดใจจนแม่เล้าและใครต่อใครต้องประหลาดใจด้วยนางคนงามไม่เคยเสียมารยาทกับใครเช่นนี้มาก่อน นางลุกขึ้น เตรียมสาวเท้าเดินจากไปหากแต่ชะงักเท้าแล้วหันไปมองโสมที่ยกสุราขึ้น จิบด้วยท่าทางราวกับไม่อิหนังขังขอบสิ่งใดทั้ง สิ้น แสดงถึงความมั่นใจในตัวเองและความเย่อหยิ่งจองหอง บัดนี้นางปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสนใจเสน่ห์อันน่าชังนี้

“คุณท่านจะมาร่วมบรรเลงดนตรีร่วมกับอิฉันรึไม่ คงต้องขึ้น อยู่กับว่าคุณท่านมีไมตรีให้อิฉันมากน้อยแค่ไหนแล้วเจ้าค่ะ” พูดจบนางก็สะบัดหน้าแง่งอนอย่างที่ไม่เคยทำแล้วรีบก้าวเดินกลับห้องของนางอย่างรวดเร็ว ราวกับจะหนีเสียงหัวเราะชื่นอารมณ์ของโสมที่ก่อกวนจิตใจของนางโดยไว

โสม พยัคฆ์ดำรงไม่คิดว่าตนจะจีบสาวได้คล่องขนาดนี้ ถือว่าการที่คลุกคลีกับเพื่อนผู้ชายและได้เรียนรู้วิธีจีบสาวของพวกเขาเป็นประโยชน์อยู่บ้าง

นางสุวิมลคงคับอกคับใจเหลือจะกล่าวจึงถึงกับลืมตัวเสียมารยาทออกมา กระนั้นก็ยังต้องนับถือว่านางมีไหวพริบไม่ใช่น้อยที่สุดท้ายสามารถโยนเบี้ยมาให้เธอได้

“เอ่อ… ต้องขอโทษด้วยเจ้าค่ะที่วันนี้นางสุวิมลเสียมารยาทกับพวกท่าน” แม่เล้าเอ่ยอย่างเรียบร้อย ดวงตาของนางจับจ้องโสมที่หันไปรับสุราที่ชงโครินให้ด้วยความสนใจอย่างเปิดเผย “นางเป็นคนอาภัพ อิฉันหวังว่าคุณท่านจะให้ความเอ็นดูแก่นาง อย่าถือถือสานางเลยนะเจ้าคะ”

โสมเลือกที่จะไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มหวานจนนัยน์ตาสีน้ำเงินต้องแสงเทียนสีทองเป็นประกายวาววับงามจับตา

เมื่อไม่ได้คำตอบแม่เล้าก็ไม่ได้ซักไซ้ เพียงแต่ถอยออกจากห้องอย่างเงียบเชียบเท่านั้น

“เอ่อ… ท่านจะรับไมตรีของนางสุวิมลรึไม่ขอรับ” ทหารภูตนายหนึ่งเอ่ยถาม

“พวกท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ” โสมถามกลับ ดวงตาเจ้าเล่ห์แสนกล

“คิดว่าท่านคงมีไมตรีกับนางสุวิมลอยู่บ้างใช่หรือไม่ขอรับ” ทหารภูตนายหนึ่งพูดอย่างระมัดระวังหลังจากสหายทั้งหลายพยักพเยิดมอบหมายให้เขาตอบ

โสมกลับสร้างปริศนาด้วยการหัวเราะแทนคำตอบ

สิ่งใดที่แอบแฝง สิ่งนั้น ย่อมเป็นการยั่วยวนชวนชม สิ่งใดที่ได้ชื่อว่าเป็นความลับ สิ่งนั้น ย่อมเป็นเหตุเร้าความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์!

ดึกดื่นคํ่าคืนแล้ว พระตำหนักสุริยันอันเงียบเหงาปราศจากแสงเทียน ทุกสรรพสิ่งนิ่งสนิทในนิทรา หากแต่ราชันไพรสัณฑ์ยังไม่บรรทม เพราะทรงมีดำริถึงเกษมศานต์นคร… เมืองที่พระองค์ได้เสด็จประพาสเมื่อปีที่แล้ว แม่หญิงศรีศุภางค์ธิดาเจ้าเมืองกิตติ ผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนสมกับเป็นสตรีสูงศักดิ์ เหตุไฉนองค์ราชันจะไม่ล่วงรู้ว่าเจ้าเมืองกิตติจงใจให้แม่หญิงมาใกล้ชิด

แต่ขณะที่กณวรรธน์นครของพระองค์ยังคงวุ่นวายแล้วพระองค์จะทรงนึกถึงความสุขส่วนตัวกับแม่หญิงศรีศุภางค์ได้อย่างไร ราชันไพรสณฑ์จึงทรงทำได้เพียงแต่ประทานของขวัญแทนองค์ไปให้แม่หญิงเสมอ

เสียงเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยสามารถเรียกพระสติขององค์ราชันได้ แต่เพียงสดับเสียงฝี เท้าที่คุ้นเคยพระอิริยาบถก็ผ่อนคลายลง เงาร่างสูงกำยำในชุดห่มสีรัตติกาลขมุกขมัวก้าวเข้ามาหยุดอยู่ห่างไม่กี่ก้าวก่อนทรุดเข่าลงกับพื้น แล้วถวายบังคม

“เหนื่อยไหม”

“ไม่เหนื่อยพระเจ้าค่ะ” ราชองครักษ์หิรัญตอบเสียงฉะฉาน

“พูดกับข้าอย่างปกติเถอะ ข้าขี้เกียจฟังคำราชาศัพท์”

พระพักตร์ซึ่งถูกปกปิดด้วยหน้ากากภูตผินกลับมาทอดพระเนตรราชองครักษ์คนสนิท ก่อนประทานน้ำสะอาดให้หนึ่งแก้ว ยังความปลาบปลื้มยิ่งนัก

“ขอบพระทัย” หิรัญถอดหน้ากากภูตออก รับแก้วไปดื่มแก้กระหายจนหมดก่อนจะสวมหน้ากากกลับเหมือนเดิม

“หิรัญ” ราชันหน้ากากภูตรับสั่งเป็นเชิงเตือนให้เขาพูดจาธรรมดา

ราชองครักษ์หิรัญยิ้ม มุมปากเพียงนิด ก่อนเปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจัง แล้วทูลรายงาน หากเพียงกลิ่นสุราที่ปะทะจมูกเพียงวูบ องครักษ์หนุ่มก็ผุดลุกขึ้น ชักดาบออกจากฝักทันที ดวงตาคมกริบภายใต้หน้ากากภูตสีขาวเย็นชากวาดไปทั่วความมืด เห็นเงาร่างหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ แสงจันทร์ที่ลอดจากหน้าต่างสาดให้เห็นการเคลื่อนไหวเลือนราง จนกระทั่งผู้นั้น ถูกแสงจันทร์จับใบหน้า

ราชองครักษ์หิรัญตกตะลึงกับความงามที่หาได้ยากยิ่ง ทรงผมของเขาแปลกประหลาด ดวงหน้าคมคาย ดวงตาคู่สวยสีน้ำเงินราวกับไพลินน้ำงามพราวระยับละม้ายดวงดาว คิ้ว คม จมูกโด่ง พวงแก้มแดง และริมฝีปากอวบอิ่มรูปสวยสีแดงระเรื่อเด่นชัดบนผิวนวล เขามีความอ่อนหวานซ่อนความเข้มแข็งผสานกลมกลืนกันอย่างลงตัว ช่างเป็นสตรีแต่งกายอย่างบุรุษได้งดงามนัก

“อาวุธมีคมไม่ควรหันเข้าหาใครสุ่มสี่สุ่มห้านะ เก็บดาบไปเถอะ ฉันกลัวพลาด” โสม พยัคฆ์ดำรงในสภาพเมามายเล็กน้อยพูดเย้าแหย่

“เก็บดาบเถอะหิรัญ” ราชันหนุ่มรับสั่ง ราชองครักษ์ผู้เคร่งครัดในหน้าที่เก็บดาบทันที

“แม่หญิง… เอ่อ… เจ้า” ราชองครักษ์หนุ่มเอ่ยขึ้น อย่างลังเล ไม่ทราบจะเรียกคนตรงหน้าว่าอย่างไร

“ฉันเป็นชายชาตรีนะ” โสมรีบบอกด้วยความตกใจ

“รู้จักไว้สิหิรัญ ‘ท่าน’ คือผู้ร่วมงานของเจ้าชื่อโสม” ราชันหนุ่มทรงประชดประชันอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำ

หญิงสาวในคราบชายหนุ่มถึงกับเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง

“ยินดีที่จะได้ร่วมงานกันนะท่านหิรัญ” โสมยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายระยับน่ามอง

“ยินดีเช่นกัน” หิรัญพินิจโสมไม่วางตา

“เอาไว้เราไปทำความรู้จักกันด้วยสุราชั้น ดีที่เรือนเริงรมย์ดีรึไม่ อีกสามสี่วันไหม จะได้ไปพร้อมกันหลายๆ คน เป็นอันตกลงตามนี้”

หิรัญยังไม่ทันจะเอ่ยปากสิ่งใด เธอก็ชิงหันไปหาราชันไพรสัณฑ์ “แล้วท่านจะไปด้วยกันไหม”

ราชองครักษ์หิรัญตะลึงงัน ไม่คาดคิดว่าผู้ร่วมงานคนใหม่จะหาญกล้ากล่าวชวนราชันหน้ากากภูตด้วยคำของสามัญชนอย่างไม่เกรงกลัวพระอาญา

แต่ราชันทรงไม่พิโรธกลับรับสั่งโต้ตอบเป็นปกติ “ไม่ไป”

“ไม่เปิดหูเปิดตาบ้างล่ะ ฉันรู้มาว่าบางทีท่านก็ออกไปหาความสำราญเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

“ถ้าใช่แล้วทำไม”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านเปิดหน้าเปิดตาให้ใครต่อใครเห็นหมดแล้วสิ”

“ข้าปลอมตัวออกไป”

“อือ… ดีแล้ว” โสมพยักหน้า สิ่งที่ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งตรงกับคำของทหารพูด แสดงว่าพวกเขาไม่ได้โกหกว่าราชันปลอมองค์ยามออกจากวังจริงๆ

“บังอาจ! ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้วรึ!” ราชองครักษ์ผู้เคร่งครัดในหน้าที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ชายหนุ่มชักดาบเตรียมฟาดฟันใส่คนที่นั่งเหยียดขาสบายอารมณ์

แต่อีกฝ่ายกลับผุดลุกขึ้นหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว

“บังอาจนัก! เจ้าไม่สมควรหายใจอีกต่อไป!” ราชองครักษ์หิรัญตวาดลั่นเดือดดาล ลงดาบอย่างบ้าระห่ำจนโสมพลาดพลั้งเทกายล้มลงกลิ้งกับพื้น ขณะปลายหางตาเห็นเงาแสงสายหนึ่งใกล้เข้ามาในระดับสายตา

“เฮ้ย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!