Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 30

Jan Son Ngow
BC

ตอนที่ ๓๐

แกล้ง

“ขอเดชะฯ การแต่งตั้ง พระมเหสีไม่ใช่เรื่องเล็ก ขอทรงพิจารณามอบให้พวกเราเลือกสรรสตรีเหนือสตรีเป็นพระนางคู่พระบารมีให้พระองค์ด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”

C

เมื่อหายจากอาการตกตะลึงเหล่าข้าราชการก็รีบแย่งกันกราบทูลเซ็งแซ่ ไม่มีใครคาดมาก่อนว่าราชันผู้ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียเกี่ยวกับสตรีจะแต่งตั้ง พระมเหสีของพระองค์อย่างเงียบเชียบทั้งที่ไม่มีวี่แววมาก่อน

ความหวังทั้งหมดกำลังพังทลายอยู่ตรงหน้านี้แล้ว จะอยู่เฉยได้อย่างไร

พวกเขาบางคนมีความคิดจะให้บุตรธิดาของตนเป็นพระสนมหรือพระมเหสีของราชันไพรสัณฑ์มานานแล้ว บางคนยอมเข้าร่วมการก่อกบฏอย่างลับๆ เพื่อบีบบังคับให้ราชันจนหนทางยอมทำตามขอเรียกร้องของตน พวกเขารู้ตัวว่าไม่มีบารมีพอจะปกครองแผ่นดิน ความหวังสูงสุด จึงมีเพียงทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้อาศัยพึ่งพิงพระบารมีเท่านั้น !

“เจ้ากำลังพูดว่าสตรีที่พวกเจ้าเลือกคือสตรีเหนือสตรี แต่สตรีที่ข้าเลือกคือสตรีที่มีอยู่ดาษดื่นอย่างนั้นหรือ” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งเนิบๆ พระสุระเสียงไม่บ่งบอกพระอารมณ์ใด “สรุปคือเจ้าสามารถ แต่ข้าไร้สามารถ”

“หามิได้พระเจ้าค่ะ!”

“ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นฉันที่ไร้ความสามารถสินะ” โสมอดรนทนไม่ได้ที่อยู่ๆ ก็ถูกโยนเข้าไปในตำแหน่งที่ให้ทุกคนมาถือสิทธิ์ใดไม่ทราบวิจารณ์เธอเสียหาย เธอคิดว่าจะได้ยินเสียงตอบจากพวกเข้าแต่กลับกลายเป็นว่าทั้งห้องเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่การปฏิเสธตามมารยาทซึ่งนั่นทำให้เธอนึกฉุน

“พวกเขาสงสัยในตัวเจ้าก็เท่ากับสงสัยในตัวข้า” ราชันไพรสัณฑ์แย้มพระสรวลเล็กน้อย “ไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวของเจ้าหรอก”

“เอาเถอะ… ฉันไม่รบกวนพวกท่านแล้วและหวังว่าพวกท่านคงไม่รบกวนฉันอีกเหมือนกันเพราะบังเอิญว่าฉันไม่มีมีดเหลือพอสำหรับพวกท่านทุกคน แต่ไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันเชื่อว่าหากจำเป็นแล้วฉันก็ยังพอหยิบจับอย่างอื่นมาใช้การแทนได้”

ราชันหน้ากากภูตทรงพระสรวลจนพระอุระกะเพื่อมอย่างเห็นได้ชัดว่าพอพระทัยมากเพียงใด หลังจากนั้นความใดที่พวกเขาหารือกันหญิงสาวก็ไม่ใส่ใจฟังอีกเพราะเอาแต่ครุ่นคิดเรื่องที่พวกเขาร่วมมือกันกล่าวหาว่าเธอเป็นผู้หญิงไร้ความสามารถโดยไม่พอเหตุทั้ง ยังไม่ยอมรับเธออีก

เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน… นี่เธอโมโหที่พวกเขาไม่ยอมรับว่าเธอเป็นมเหสีของราชันไพรสัณฑ์อย่างนั้นหรือ ไม่จริงหรอกน่ะ เธอก็แค่ต้องการเป็นที่ยอมรับเพียงเพราะมันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนเท่านั้น!

เมื่อหาข้ออ้างให้แก่ตัวเองจนพอใจแล้วหญิงสาวก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย เมื่อราชันไพรสัณฑ์ว่าราชการเสร็จสิ้น แล้ว หญิงสาวค่อยชะโงกมองเหล่าข้าราชการที่นั่งหมอบกราบอยู่ หนึ่งในนั้นยังคงนั่งหน้าอาบเลือดไปข้างหนึ่ง

“ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้านั่งนิ่งๆ ไม่เป็น” ราชันหน้ากากภูตแหวกม่านเข้ามาหาเธอด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์ “ข้าชอบมีดบินของเจ้า”

“ฉันทำให้ข้าราชบริพารของท่านเลือดอาบหน้าไปข้างหนึ่งเลยนะ” หญิงสาวพูดหยั่งเชิงเพราะไม่แน่ใจว่าราชันหนุ่มจะพอพระทัยในสิ่งที่เธอทำลงไปจริง

“เจ้าทำให้ฝันของข้าเป็นจริงเชียวนะ” ราชันหน้ากากภูตประทับนั่งกระแซะร่างของหญิงสาวอย่างแนบเนียนก่อนยกพระสุธารสขึ้นดื่ม

“ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่เกรงใจล่ะ” เธอบอกขณะรวบรวมพลังกายพลังใจเพื่อลุกขึ้นยืน แรกเริ่มที่โสมลุกขึ้นยืนด้วยสองขาของตัวเองได้ราชันไพรสัณฑ์ถึงกับทรงสำลักพระสุธารส ครั้นเมื่อนางก้าวเดินออกไปนอกม่านซึ่งเหล่าข้าราชการทั้งหลายเริ่มยืดกายขึ้น นั่งกระซิบกระซาบกันพระองค์ก็ต้องรีบวางแก้วพระสุธารสลงก่อนที่จะเผลอทำมันตก

นางเดินเองได้แล้วทั้งที่เพิ่งฟื้นจากความตายอย่างปาฏิหาริย์มาเมื่อไม่นาน!

เหล่าข้าราชการต่างเงยหน้าขึ้น มองเมื่อทางหางตาเหลือบเห็นว่ามีร่างหนึ่งก้าวออกมาจากหลังม่าน แล้วพวกเขาก็ได้พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ที่เผลอมองใบหน้านั้น ทุกคนครางฮือแล้วรีบทรุดลงหมอบกรานกับพื้น ตัวสั่นเทา เหงื่อออกโทรมกายอย่างรวดเร็วสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวกับเป็นไข้และหัวใจวาบโหวงเหมือนถูกดึงดูดออกจากร่าง

พวกเขาจ้องมองหน้ากากภูตตรงๆ โดยไม่ทันคาดการณ์!

ท่านกรวิกมีอาวุโสในการรับมือกับความคาดไม่ถึงมานานดังนั้นจึงไม่มองอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าตั้งแต่แรกและรอดพ้นจากคำสาปของหน้ากากภูตมาได้เพียงคนเดียว หนุ่มใหญ่นั่งหมอบกราบลงกับพื้น แล้วก้มหน้าลงอย่างครุ่นคิด ดวงตาอันคมกริบเห็นจากหางตาว่าบุคคลที่ก้าวเข้ามาใหม่นั้น ไม่น่าจะใช่ราชันไพรสัณฑ์แต่กลับสวมหน้ากากภูตอาถรรพ์นั้น อยู่

ผู้ที่จ้องมองหน้ากากภูตตรงๆ ได้มีน้อยนัก ผู้ที่สามารถสัมผัสหน้ากากภูตได้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย แต่ผู้ที่สวมหน้ากากภูตได้นั้นนอกจากราชันไพรสัณฑ์แล้วไม่มีใครอื่นอีก แล้วเขาคนนี้คือใคร!

“เงยหน้าขึ้น มามองกันหน่อยสิ” โสมเอ่ยเมื่อเห็นว่าทั้ง หัวหงอกหัวดำรวมทั้ง คนที่โดนฤทธิ์มีดบินของเธอต่างก็นั่งหมอบกราบอย่างผิดปกติกันทุกคน

“จำไม่ได้หรือว่าพวกเขามองหน้าเจ้าไม่ได้ เท่าที่เขาเผลอมองเจ้าไปก็ต้องป่วยไข้ไปอีกหลายเพลาแล้ว” ราชันไพรสัณฑ์ปราดออกไปโอบประคองร่างที่ยังยืนโงนเงนอยู่ด้วยทั้ง ยินดี เป็นห่วงและขบขัน

“อ้าว! ฉันลืมไป หมายความว่าฉันทำให้พวกท่านต้องป่วยไข้หรือ

นี่ ขอโทษที ไม่ได้ตั้ง ใจจริงๆ นะ” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพยแบบไม่จริงใจ “ถ้าเป็นแบบนี้คนที่ถูกมีดของฉันบาดปากไปก็ต้องลำบากกว่าคนอื่นน่ะสิ”

“บาดแก้มหรอกนะ” ทรงกระซิบบอกพลางกลั้ว พระสรวลในลำพระศอเบาๆ

“แปลว่าครั้งนี้ฉันพลาดไป ถ้าอย่างนั้น เอาไว้ฉันจะแก้ตัวใหม่อีกครั้งนะท่าน” หญิงสาวจงใจพูดกับชายหนุ่มที่นั่งตัวแข็งเกร็งด้วยความโมโหจนเลือดทะลักออกจากบาดแผลมากกว่าเดิม “อย่างไรตอนพูดครั้งหน้าก็ช่วยเงยหน้าขึ้น สักนิด ฉันจะได้เล็งที่ปากของท่านไม่พลาดอีก”

“ตอบพระมเหสีสิท่านอรรณพ” ราชันไพรสัณฑ์กลั้นพระสรวลขณะทวงถาม

“พระเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มกัดฟันขานรับ เขาโกรธจนเกร็งไปทั้งตัวแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะตระหนักดีว่าสตรีที่สามารถสวมหน้ากากภูตได้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา

“ไปกันเถิด ข้าจะพาเจ้าไปเยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้า” ราชันหนุ่มประคองร่างที่โอนเอนเข้าหาพระองค์ด้วยความไว้วางใจกลับเข้าไปหลังม่าน ทิ้ง ให้ทุกคนต้องทุรนทุรายด้วยพิษคำสาปอยู่ที่โถงว่าราชการโดยไม่ใส่พระทัยว่าจะเป็นใครที่หอบหิ้วพวกเขากลับเรือน

โสมนั่งอิงแอบราชันไพรสัณฑ์ด้วยความสบายอกสบายใจ

อุปาทานไปว่าทิวทัศน์สองข้างทางสวยสดงดงามยิ่งกว่าครั้งแรกที่เห็น ท้องฟ้าสีสดใสอย่างที่รับสั่งจริงๆ ไม่มีแม้แต่เมฆก้อนเดียว แต่อากาศกลับไม่ร้อนจัด ต้นไม้ใหญ่สองข้างทางสูงใหญ่ร่มรื่น เสียงนกตัวเล็กตัวใหญ่ร้องประชันกันเหมือนเสียงดนตรีที่ไพเราะเสนาะหูยิ่งกว่าเสียงใด สายลมเย็นลูบไล้ผิวกายชวนให้แช่มชื่นและกระชุ่มกระชวยจนเธออยากลงไปยืนเท้าเปล่าบนพื้นหญ้าซึมซับไอเย็นและไอดินพลางยืดเส้นยืดสายให้หายเมื่อยขบ

“เมื่อครู่ตอนเจ้าลุกขึ้น ยืนและเดินตัวปลิวไปนั่นข้าตกใจมากรู้หรือไม่” ราชันหน้ากากภูตรับสั่งเบาๆ อย่างผ่อนคลายและพอพระทัยเมื่อโสมผ่อนคลายในการปกป้องของพระองค์

“ฉันพยายามรวบรวมกำลังอย่างที่สุดเลยนะ” โสมพูดเป็นเชิงโอ่แต่กลับทรงพระสรวลแทนการชมเชยเสียได้

“ความพยายามทั้ง หมดทุ่มเทเพื่อจะออกไปแกล้งให้เจ้าพวกนั้นป่วยไข้และให้ทนฟังเจ้าเยาะเย้ยถากถางสินะ” อ้อมพระพาหารัดร่างนางแน่นขึ้น เป็นเชิงสัพยอก “แม่จอมแสบ ตัวป่วน วายร้าย”

“ฉันเป็นทั้ง หมดนั่นและเป็นยิ่งกว่านั้น” หญิงสาวยืดอกยอมรับก่อนเอ่ยถามถึงเรื่องที่สงสัยมาตั้ง แต่อยู่ในโถงว่าราชการ “ทำไมท่านไม่หาฟูกหรือเก้าอี้มานั่งในโถงว่าราชการล่ะ ทนนั่งอยู่บนหินที่ทั้งแข็งแถมบางครั้ง เย็นบางครั้งร้อนทำไม”

“ข้าต้องการตระหนักตลอดเวลาว่าตำแหน่งหน้าที่ไม่ได้ทำให้ใครมีความเป็นอยู่ดีขึ้น กลับกันมันเป็นภาระที่ต้องแบกรับเพราะเราต้องทำงานอย่างหนักเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนอื่น” ถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้โสมขนลุกทั่วร่าง

ราชันหน้ากากภูตพระองค์นี้ไม่เคยมีทรัพย์สินหรูหราฟู่ฟ่า ข้าวของเครื่องใช้ล้วนเป็นวัสดุที่คงทนเน้นการใช้งานไม่ใช่ของเลอค่ามีราคา เพชรนิลจินดาก็ไม่เคยเห็นพระองค์ใช้ เครื่องประดับเพียงชิ้นเดียวของพระองค์เห็นจะเป็นรัดเกล้าทองคำฝังนิลแบบเรียบบนพระเศียรเท่านั้น

“อีกอย่างหนึ่ง หากเจ้าพวกนั้น รู้สึกลำบากกายตอนหาเรื่องวุ่นวายมาให้ข้าแก้ไขก็จะได้รีบๆพูด แล้วก็รีบๆจบ”

ทั้งที่พระองค์สามารถหาพระเก้าอี้ที่นุ่มสบายได้กลับเลือกเก้าอี้ศิลาที่ทำให้ทรงลำบากเช่นเดียวกับข้าราชบริพารไปเสีย… เรื่องนี้บอกอะไรกับเธอได้มากเช่นกัน

“เจ้าจะงีบหลับไปก่อนก็ได้ ถึงที่เมื่อไหร่ข้าจะเรียกเอง”

“ท่านจะพาฉันไปไหน” ตอนแรกเธอไม่ได้รู้สึกง่วง แต่พอพระองค์รับสั่งให้นอนงีบเธอก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้น มาทันใดจนต้องเอนตัวอิงแอบแล้วเอียงหน้าซุกซบหามุมที่อบอุ่นสบาย

“ไป______________เยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชากองกำลังทหารเสือของเจ้าอย่างไรล่ะ”

รับสั่งตอบด้วยพระสุรเสียงนุ่มละมุนแนบหูของเธอละม้ายการสะกดจิตกล่อมให้เธอเข้าสู่ห้วงนิทรา “นอนงีบสักเล็กน้อยนะคนดี วันนี้เจ้ากระโดดโลดเต้นเยอะเกินกว่าที่ข้าคิดว่าเจ้าจะทำได้ไปมากแล้ว”

ความง่วงงุนตรงเข้าจู่โจมทันที่แล้วสติก็วูบไปก่อนที่เธอจะรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในความฝันอันแสนสุข เป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยบุพชาติงดงามละลานตา หญิงสาววิ่งแข่งกับนกอินทรีย์บนฟ้าพลางส่งเสียงหัวเราะด้วยความเบิกบาน เงยหน้าขึ้น มองฟ้ากว้างด้วยความรู้สึกอันเป็นอิสรเสรี เธออ้าแขนออกกว้างเพื่อโอบกอดสายลมราวกับมันเป็นเพื่อนสนิท เงี่ยหูฟังเสียงกระซิบของมันด้วยอารมณ์แจ่มใส ครั้นได้ยินเสียงเรียกจึงหันหน้าไปมองยังต้นเสียงพลันต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด

สตรีในชุดโบราณนุ่งห่มสไบทองงดงามเอนตัวอิงหมอนอยู่บนแท่นนั่ง ใบหน้าของนางเหมือนเธอราวกับพิมพ์เดียวกัน สิ่งที่แตกต่างคือแววตาอันลึกล้ำแฝงความเหนื่อยหน่ายของนางให้ความรู้สึกเหนือธรรมชาติยิ่งนัก นางกวักมือเรียกและน่าแปลกที่เธอก้าวเข้าไปหาอย่างไร้ข้อแม้

‘ข้าเบื่อพวกมนุษย์เหลือเกินโสมเอ๋ย พวกเจ้าไม่เคยพอเลยใช่หรือไม่’

โสมกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่ทราบจะพูดอะไร เพราะหญิงสาวยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ด้วยซ้ำ

‘แรกเริ่มที่ข้าบันดารโลกของพวกเจ้าขึ้นมา ก็เพื่อพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามและรักสงบ แต่พวกเจ้าไม่เคยพอใจในสิ่งที่มี เอาแต่แสวงหาสิ่งสมมติจนละเลยความดี แต่ข้ายังเมตตาพวกเจ้ามาหลายยุคสมัยด้วยหวังว่าพวกเจ้าจะยังสามารถกลับตัวกลับใจได้ แต่ยิ่งข้าเฝ้าดูพวกเจ้าใช้ชีวิตมากขึ้นเท่าใด ข้าก็ยิ่งเหนื่อยหน่ายและระอาพวกเจ้านัก ปัญหาที่พวกเจ้าเป็นผู้ก่อขึ้น นั้น ต่อจากนี้ก็จงจัดการเอาเองเถิด การเกิดดับของพวกเจ้าก็ขอให้พวกเจ้ากำหนดกันตามชอบใจ ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีก’

โสมใจหายวาบกับถ้อยคำที่นางแถลง แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไรแต่สัญชาตญาณของเธอบ่งบอกว่าเกี่ยวพันกับความอยู่รอดของทุกคน เธอพยายามจะอ้าปากเจรจาแต่เสียงกลับไม่รอดพ้นจากลำคอ ภาพทิวทัศน์อันดงามบิดเบือนไปเหมือนถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกควันหนาทึบและเธอกำลังถูกดูดดึงเข้าไปในนั้น

“ตื่นได้แล้วแม่หนู”

โสมสะดุ้งตื่นด้วยหัวใจที่วูบโหวง รีบตรวจสอบตัวเองทันทีตามความเคยชินพบว่าตนกำลังถูกราชันไพรสัณฑ์อุ้มไว้ด้วยพระพาหาที่มั่นคงและหน้ากากภูตบนหน้าของเธอถูกถอดออกแล้ว รอบข้างคือทหารภูตซึ่งยืนอารักขาอย่างแน่นหนา และพวกเขากำลังยืนอยู่ในโรงเรือนโปร่งเหมือนโรงเลี้ยงสัตว์

“ที่นี่ที่ไหน” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงแผ่วหวิวจนราชันหนุ่มจับได้ถึงความผิดปกติ

“เจ้าเหนื่อยแล้วหรือ กลับไปพักผ่อนดีหรือไม่”

“เปล่า… ฉันแค่กำลังสับสนความฝันกับความจริงน่ะ เอาไว้ฉันจะเล่าให้ฟังนะ” เธอเอ่ยตัดบทแล้วเก็บความกังวลใจเอาไว้ให้ลึกสุดโดยปลอบใจตัวเองว่ามันอาจเป็นเพียงความฝันที่ไม่มีความหมายใดเป็นพิเศษก็ได้ “ปล่อยให้ฉันยืนเองเถอะ”

“ไหวแน่นะ” ทรงเป็นกังวล เมื่อแน่พระทัยแล้วว่านางแข็งแรงจนยืนเองได้แล้วจึงค่อยจับจูงมือบางเข้าไปในโรงเรือนโดยไว

“ท่านพาฉันมาที่นี่ทำไม ไหนบอกว่าจะพามาเยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชากองทหารเสือของฉันไงล่ะ” โสมหันซ้ายหันขวามองความว่างเปล่าอย่างไม่เข้าใจ พอสายตาไปสะดุดที่ร่างสูงใหญ่ดำเมี่ยมแถมผมเผ้ายังรุงรังร่างหนึ่งก็แอบกลืนน้ำลาย เอ่ยถามด้วยความหวั่นใจ “อย่าบอกนะว่านายร่างหมีตัวดำนั่นคือผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน”

“ไม่ใช่” ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลเสียงดัง ยิ่งเห็นนางผ่อนลมหายใจออกจากอกอย่างเห็นได้ชัดก็ยิ่งขบขัน “นั่นคือนายพรานต่างหาก”

“แล้วคนอื่นล่ะอยู่ไหน”

“อยู่รอบตัวเจ้า” ทรงรับสั่งตอบก่อนจะถอยออกห่างไปยืนอยู่ไกลๆด้วยการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

“ไม่เห็นจะมี” โสมเริ่มร้อนใจที่ราชันหนุ่มถอยหนี ยิ่งเห็นพระโอษฐ์รูปสวยยิ้มหวานก็ยิ่งสังหรณ์ร้าย

“เดี๋ยวก็มีแล้ว”

เสียงคำรามของเสือดังลั่นโรงเรือนทำเอาใจดวงน้อยสั่นสะท้าน ความว่างเปล่าตรงหน้าละม้ายมีบางอย่างเคลื่อนไหว แต่ก่อนที่หญิงสาวจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เสือโคร่งตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็กระโจนเข้ามาหาเธอจากความว่างเปล่า ร่างอันแข็งแกร่งทรงพลังค้ำอยู่เหนือร่างและฝ่าเท้าใหญ่อันหนักอึ้ง ของมันทาบทับอยู่กับแขนทั้งสองข้างของเธอ ใบหน้าใหญ่โตและเขี้ยวใหญ่แหลมคมจ่ออยู่ห่างใบหน้าของเธอชนิดลมหายใจรดใบหน้า

“ว๊าก!” โสมร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด ขาทั้งสองข้างของเธอยกขึ้นถีบร่างใหญ่โตของเสือโคร่งด้วยแรงมหาศาลที่อาจเรียกได้ว่าแรงหนีตายเฮือกสุดท้ายจนร่างนั้นกระเด็นหวือออกไปเหมือนแผ่นกระดาษ ทำให้ทุกคนที่มองอยู่เบิกตาโตแทบถลนออกจากเบ้า

สามารถถีบเสือโคร่งตัวโตขนาดนั้นกระเด็นไปได้เชียวหรือ! แน่ใจหรือว่านั่นคือคนป่วยที่เพิ่งรอดตายมา!

ราชันไพรสัณฑ์ยังอดตะลึงพรึงเพริดไปไม่ได้ เมื่อทอดพระเนตรเห็นโสมผุดลุกขึ้น ยืนจังก้าต่อหน้าเสือโคร่งตัวใหญ่เหมือนจะกระโจนเข้าไปต่อสู้ก็พลันพระทัยหายวาบ ขนาดความจำเลอะเลือนแล้วมายืนต่อหน้าเสือร้ายนางยังห้าวหาญถึงเพียงนี้ไม่อยากจินตนาการเลยว่าหลังจากนี้ไป พระองค์จะถูกนางแก้แค้นคืนอย่างสาสมเพียงใด

“เสือโว้ย! อีตาหัวถั่วงอกมัวแต่ยืนบื้ออะไรอยู่ เข้ามาช่วยกันหน่อยเซ่!”

โสมแหกปากดังลั่นเป็นที่ขบขันของเหล่าทหารภูต โดยเฉพาะใจความที่มุ่งหมายสื่อถึงราชันไพรสัณฑ์นั้น แทบจะทำให้พวกเขาตายเพราะการหัวเราะ

จะมีก็แต่ราชันหนุ่มเท่านั้น ที่เอะพระทัย นางจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเอ่ยเรียกพระองค์ด้วยนามที่โสมในอดีตย่อมรู้

แต่โสมในปัจจุบันย่อมไม่รู้ นอกจากความทรงจำของนางเริ่มกลับคืนมาทีละน้อยแล้ว!

แต่ถึงกระนั้น ราชันไพรสัณฑ์ก็อดที่จะทรงพระสรวลอย่างที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘หัวเราะงอหงาย’ ไม่ได้ นางทำท่าล่อเสือเหมือนกำลังล่อแมวตัวเล็กๆ ก่อนที่จะผงะแล้วหันหลังโกยแน่บโดยมีสมิงหนุ่มอีกหลายตนปรากฏร่างวิ่งไล่กวดพากันรุมตะครุบท่ามกลางเสียงแหกปากร้องโวยวายของนาง

“อย่าเหยียบสิโว้ย! อย่าเลีย! ฉันไม่อร่อยหรอก กลิ่นไม่ดีด้วย ไม่ได้อาบน้ำ เต็มคราบมาหลายวันแล้ว!”

ดูเหมือนว่ายิ่งนางโวยวายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเสียงหัวเราะดังมากขึ้นเป็นทวีคูณ ราชันไพรสัณฑ์ทอดพระเนตรเห็นนางนอนแผ่หราให้สมิงตัวโตรุมกลุ้มกันชะเลียก็เห็นพระทัยอยู่บ้างและทรงไม่สามารถหัวเราะไปได้มากกว่านี้อีกแล้วจึงพยายามเสนอความช่วยเหลือให้แก่นาง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พระองค์ต้องการให้แน่พระทัยเสียก่อนว่าจะปลอดภัยหากช่วยนาง

ออกมา

“มันไม่กัดเจ้าเลยใช่หรือไม่โสม”

“ไม่กัด แต่หนักและเปียก!” โสมโหวกเหวก ตอนแรกหญิงสาวนึกว่าถูกอีตาราชันไพรสัณฑ์ลวงมาให้เสือฆ่าเสียแล้ว ลองใครมาโดนอย่างเธอก็ต้องคิดแบบนี้ทั้งนั้น แต่ปรากฏว่าเจ้าเสือตัวใหญ่ตัวโตพวกนี้นอกจากจะไม่ทำร้ายเธอแล้ว ยังออกจะชะเลีย ประจบออดอ้อนและเชื่องเสียยิ่งกว่าแมวบ้าน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่แก้แค้นพระองค์ที่ทำให้เธอใจหายใจควํ่าหรอกนะ!

“เสือพวกนี้คือเสือสมิง เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าอย่างไรล่ะ” ทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างพยายามใจดีสู้แม่เสือโสม “พวกมันเชื่องเช่นนี้แต่กับเจ้าเท่านั้น ข้าจึงให้ทุกคนออกไปรอด้านนอกหมด”

“นั่นไม่ใช่ประเด็น!” หญิงสาวแหว แล้วก็ต้องรีบหุบปากลงเมื่อเจอลิ้นเปียกๆ เลียลงมาครึ่งปากครึ่งจมูก “ประเด็นคือท่านหลอกให้ฉันตกใจแทบหัวใจวายตาย แล้วก็ทำให้ฉันกลายเป็นมนุษย์น้ำลายต่างหาก!”

เกิดเสียงหัวเราะขึ้น อีกครั้งจากทุกคนที่จับตามองอยู่ โสมแสนจะฮึดฮัดขัดใจ พยายามดันร่างใหญ่มหึมาของเสือสมิงออกไปจากตัวแต่พบว่ายากพอๆ กับเคลื่อนขุนเขาเพราะพละกำลังมหาศาลที่เธอใช้ตอนถีบเสือสมิงตัวหนึ่งจนกระเด็นไปนั้น ไม่ทราบหายไปไหนหมด เธอส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือแต่ราชันไพรสัณฑ์ยังทอดพระเนตรเธออยู่ที่เดิม

ไม่ง้อก็ได้! ในเมื่อเจ้าพวกนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาเธอก็ต้องสั่งพวกมันได้สิ!

“ตั้งแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง! ปฏิบัติ!” สิ้นเสียงตวาดสั่งทุกคนก็ได้เห็นภาพที่ตลกขบขันที่สุดในชีวิตเมื่อเหล่าเสือสมิงที่แสนจะน่าเกรงขามกระโจนออกจากร่างของโสมทันทีแล้วพากันลุกลี้ลุกลนตั้งแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งเหมือนทหาร หน้าตรงเชิด อกตั้ง หางไม่กระดิก ทั้งยังเรียงตามลำดับความสูงเสียด้วย

ช่างเป็นทหารเสือที่มีระเบียบวินัยน่ายกย่องเหลือเกิน!

หญิงสาวยันตัวขึ้น ยืนพลางเอาแขนเสื้อ เช็ดหน้าที่เปียกไปด้วยน้ำลายเสือสมิงก่อนที่จะทำหน้าเข้ม ขว้างค้อนใส่ราชันไพรสัณฑ์ที่พยายามแย้มพระโอษฐ์ประจบเธออยู่ห่างๆ หญิงสาวคาดโทษราชันหนุ่มเอาไว้ในใจก่อนจะหันไปเดินตรวจตราความเรียบร้อยของทหารเสือด้วยมาดของทหารผู้บังคับบัญชา เจ้าพวกนี้เก่งกล้าทีเดียว สมาธิเข้มแข็ง ไม่มีวอกแวกหันซ้ายขวา ถ้าไม่เห็นว่านัยน์ตามีแววก็คงคิดว่าเป็นรูปปั้นเสือศิลาไปแล้ว

แต่เธอสามารถสั่งการพวกมันได้มากแค่ไหนกันหนอ เพราะถึงแม้พวกมันจะเป็นเสือสมิงที่แสนรู้แต่ก็ยังเป็นสัตว์หน้าขนอยู่ดี

อย่างนี้ต้องทดสอบ

“เจ้าไพร” หญิงสาวหันไปยิ้ม หวานจนตาเยิ้ม อย่างที่ทำให้ราชันหนุ่มไหวองค์อย่างทรงสังหรณ์ร้าย “ยืนนิ่งๆ อย่าดิ้นนะจ๊ะ”

ราชันไพรสัณฑ์ลอบร้องผิดท่าอยู่ในพระทัย ทอดพระเนตรแววตาของนางก็ทรงทราบแล้วว่างานนี้พระองค์ถูกแก้แค้นคืนอย่างเร็วทันใจจริงๆ หากพระองค์หนีออกจากที่นี่ก็จะเป็นวิธีที่ออกจะเสียศักดิ์ศรีไปสักนิด แต่ถ้าทรงทำตามที่นางสั่งก็จะเป็นการบอกให้ทุกคนรู้ว่าทรงเกรงใจนางมากอย่างชัดแจ้งเกินไปหน่อย สรุปแล้ววิธีใดที่สมควรเลือกกันแน่หนอ

โสมไม่ปล่อยให้ราชันไพรสัณฑ์ทรงเป็นกังวลนานเกินไปนักเพราะหญิงสาวเดินไปหยุดอยู่ที่หัวแถวทหารเสือ ดวงตาสบจ้องราชันผู้เป็นเหยื่อด้วยประกายแวววาว รวบรวมกำลังเพื่อที่จะยกมือขึ้น ชี้เป้าหมายให้แก่ทหารได้อย่างเข้มแข็งและสง่างามมากที่สุด

“ตะครุบเอาไว้ให้มั่น กรีดเสื้อให้ขาดแล้วเลียให้ทั่วหน้า หากเขาขัดขืนให้พวกเจ้าทับเขาไว้กับพื้น! ปฏิบัติ!”

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!