Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 32

ตอนที่ ๓๒

สิ่งลํ้าค่า

โสมนอนกลิ้ง อยู่บนแท่นนอนปูผ้านวมอุ่นนุ่มอย่างสบายอกสบายใจ วันนี้หญิงสาวได้อาบน้ำ สระผมจนตัวหอมฟุ้งทำให้เบิกบานใจมากและส่งผลให้รู้สึกว่าร่างกายกระชุ่มกระชวยไม่อ่อนแรงเท่าเก่า แต่ก็มีอาการเพลียอยู่บ้างเพราะวันนี้เธอออกลายกลั่นแกล้งใครต่อใครเสียจนหัวหมุนไปตามกัน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งสรงน้ำเสร็จและกำลังออกมาจากหลังฉากกั้น

หญิงสาวเกือบร้องเสียงหลงเมื่อราชันไพรสัณฑ์สวมเพียงพระสนับเพลาสีดำผืนบาง อวดพระอังสากว้าง พระพาหาลํ่าสันที่ขยับจนเห็นการเคลื่อนไหวของกล้ามพระมังสาดั่งคลื่นทะเลสาดซัด เธอหยุดสายตาตัวเองไม่ได้เพราะมันเอาแต่จะเลื่อนไปมองพระอุระกำยำ แผงกล้ามพระนาภีงดงาม พระโสณีสอบ จนกระทั่งพระเพลายาวแข็งแกร่งดุจเสาศิลา

“เจ้าหิวหรือยัง” รับสั่งถามนั้น ทำให้โสมละสายตาขึ้น ไปมองพระโอษฐ์ที่ฉาบไว้ด้วยความอ่อนหวานและพระมัสสุเขียวครึ้มที่ขึ้นอยู่เต็มพระหนุ

คุณพระ… เขาเหมือนพ่อคนเถื่อนสุดเซ็กซี่เป็นบ้า!

“โสม” รับสั่งเรียกด้วยความขบขันเมื่อเห็นว่านางจ้องมองพระองค์ด้วยแววตาเช่นนั้น “ถ้าเจ้ามองข้าปานจะกลืนกินเช่นนั้น แล้วอิ่มท้องได้ ข้าจะอุทิศตัวให้เจ้า”

“ท่านหนังเหนียวจะตาย เคี้ยวไม่ลงหรอก” หญิงสาวแก้มแดงด้วยความอายที่ถูกจับได้ ยิ่งพระองค์ขยับเข้าใกล้เธอมากขึ้น เท่าไหร่หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงมากเท่านั้น “ไปใส่เสื้อเถอะ เห็นใจคนป่วยบ้างสิ ฉันเห็นแล้วใจสั่นนะ”

“ข้าทำให้เจ้าหวั่นไหวถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ทรงประทับนั่งข้างเตียงของหญิงสาว กุมมือบางขึ้นแนบพระอุระแล้วบังคับให้ลูบไปตามกล้ามพระมังสา

“นี่ท่านยั่วฉันเหรอ” โสมอ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่เอ่ยห้ามการกระทำอุกอาจนั้น

“ข้าทำสำเร็จหรือเปล่า” ราชันไพรสัณฑ์ขยับเข้าไปประชิดกายนางอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลจนกระทั่งกลิ่นอายหอมระรินจากกายนุ่มนิ่มโชยต้องพระนาสิก ใบหน้าของนางมีเลือดฝาดและเปี่ยมไปด้วยความอ่อนหวาน ดวงตาของนางเหมือนท้องทะเลลึกที่เย็นฉํ่าจนพระองค์อาจจมลงไปได้อย่าง่ายดาย “เจ้าหอมเหลือเกิน สวยเหลือเกิน”

“อะแฮ่ม!” เธอแกล้งกระแอมเพื่อกู้สถานการณ์ของตัวเอง “หิวข้าวแล้วล่ะ”

“ไม่แน่จริงนี่นาคนเก่ง” ทรงพระสรวลอย่างเจ้าเล่ห์ ยอมปล่อยให้นางได้หายใจหายคอบ้าง ทรงไม่รีบร้อนที่จะก่อกวนนางเพราะคืนนี้ยังอีกยาวไกล มีเวลาเหลือเฟือที่จะทรงยั่วเย้าให้นางลำบากเป็นการเอาคืนการกลั่นแกล้งแสนน่ารักของนางที่โรงเลี้ยงเสือ

“ไปใส่เสื้อ แล้วกินข้าวกัน” หญิงสาวสั่งและถลึงตาใส่ให้ดูน่ากลัว “ไม่อย่างนั้น ท่านได้เห็นเลือดแน่!”

เลือดกำเดาของฉันไงล่ะ!

โสมคลานลงจากเตียงแล้วไปนั่งรออาหารที่แท่นนั่งใกล้หน้าต่าง ไม่นานนักราชันไพรสัณฑ์ก็กลับเข้ามาพร้อมสำรับอาหารที่ล้วนแต่ยั่วน้ำลายนัก ครั้นเมื่อราชันหนุ่มทอดพระเนตรเห็นว่าเธอนั่งอยู่ริมหน้าต่างที่มีลมหนาวโกรกก็ทรงหยิบผ้าคลุมไหล่ผืนอุ่นมาห่มให้อย่างอ่อนโยนทำให้หัวใจของเธอหวามไหวอยู่ลึกๆ ทรงจัดสำรับแล้วตักข้าวสวยอุ่นๆ เม็ดเรียวร่วนสีเหลืองนวลมีกลิ่นหอมน่าทานใส่จานหนึ่ง หญิงสาวยื่นมือออกไปเพื่อจะรับจานข้าวมาแต่ราชันหนุ่มกลับเบี่ยงจานข้าวหนีอย่างนุ่มนวล

“ข้าจะป้อนเจ้าเอง” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงอ่อนหวานเอาใจ

“ขอบคุณนะแต่ฉันเกรงใจ พอดีว่ามีแรงกินเองได้แล้วน่ะ” โสมบอกพลางหัวเราะแห้งๆ

“ลองจับช้อนขึ้น มาสิ” รับสั่งอย่างใจเย็นแล้วทอดพระเนตรคนที่บอกว่ามีแรงกินเองได้แล้วจับช้อนขึ้น มาด้วยนิ้ว มือที่อ่อนแรงและสั่นระริก

“ให้ข้าป้อนจะดีกว่า”

โสมทำหน้าเซ็งขณะวางช้อนลงแล้วมองนิ้วมือของตัวเองด้วยความขัดใจ หญิงสาวขยับแขนและขาได้เกือบเป็นอิสระแต่กลับขยับนิ้วมือได้ไม่ดีเลย ไม่ทราบว่าความเสียหายนี้เกิดจากการที่สุขภาพยังไม่ฟื้นคืนดีนักหรือว่าเป็นผลกระทบโดยตรงจากการถูกทำร้าย แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ทำให้เธอหงุดหงิดที่ไม่อาจจัดการตัวเองได้ตามปกติและไม่ทราบว่าจะสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้เมื่อใด บางทีเธออาจจะต้องกลายเป็นคนพิการแบบนี้ไปชั่วชีวิตก็ได้

“ใจเย็นๆ เถอะโสม อาการของเจ้ามันต้องใช้เวลา ขอเพียงเจ้ากินยารักษาและบำรุงสุขภาพให้ดี บางทีอาจจะหาย หรือถ้าไม่หายก็ฝึกใช้งานมันบ่อยๆ เดี๋ยวมันก็กลับเป็นปกติเหมือนเดิมเอง” ทรงปลอบอย่างรู้ใจคนป่วยก่อนที่จะยื่นช้อนป้อนข้าวให้ “กินข้าวก่อนนะเด็กดี จะได้มีแรงไปดื้อ ไปซนวันพรุ่งนี้”

“พูดยังกับเห็นฉันเป็นเด็กๆ” หญิงสาวรับข้าวเข้าปากอย่างจำยอม แต่หลังจากนั้น กลับวางมาดชี้นิ้วสั่งให้ราชันตักนั่นตักนี่ให้กิน

ราชันไพรสัณฑ์แย้มพระโอฐเป็นรอยยิ้ม ตลอดระยะเวลาที่ป้อนข้าวนาง พระองค์ทอดพระเนตรเห็นนางนั่งเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ แล้วก็นึกเอ็นดูนักเพราะนางช่างดูไร้พิษสงเหลือเกิน เมื่อนางเริ่มชี้นิ้วสั่งพระองค์รอยแย้มพระโอฐก็ยิ่งกว้างขึ้น ด้วยความขบขันและรักใคร่ ทรงดีพระทัยที่นางเริ่มให้ความไว้วางใจและวางตัวสนิทสนมกับพระองค์มากขึ้น

“นี่ฉันก็กินอิ่มอยู่คนเดียวสิเนี่ย” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อกินจนอิ่มแล้วจึงเอะใจว่าราชันหนุ่มยังไม่ได้เสวยเลย แถมกับข้าวก็ถูกเธอกินจนเกือบหมด “ท่านให้คนยกสำรับใหม่มาเถอะ อย่ามากินของฉันเชียวนะ”

“ถ้าข้าไม่ช่วยกิน เจ้าจะกินที่เหลือจนหมดสำรับได้แน่ใช่ไหม” ราชันทรงเอ่ยถามหญิงสาวยิ้มๆ

“หมดสิ!” หญิงสาวส่งเสียงรับแข็งขัน

“ดีมาก เพราะข้างนอกนั่นยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีอะไรกิน ข้าไม่อยากให้พวกเรากินทิ้งกินขว้าง” รับสั่งเบาๆ ขณะตักข้าวที่บัดนี้เริ่มเย็นชืดใส่จานเดียวกับที่นางใช้ “แต่จริงๆ แล้วถ้าข้าจะกินของเจ้าก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่ เจ้าไม่ได้เป็นโรคติดต่อนอกจากความหัวรั้น ที่เป็นอยู่มิใช่หรือ”

“ถ้าจะมีใครสักคนหัวรั้นก็ต้องเป็นท่าน” เธอมองราชันหน้ากากภูตตักกับข้าวที่เธอกินเหลือมาเสวยด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ แต่ที่ชัดที่สุดคือซาบซึ้งใจที่ทรงมีพระดำริถึงประชาชนในปกครองเสมอ “ถ้าท่านจะกินสำรับเดียวกันกับฉันก็น่าจะเหลือกับข้าวไว้มากกว่านี้สักหน่อย นี่ท่านเล่นยัดทะนานทั้งข้าวทั้งกับให้ฉันกินหมด แล้วตัวเองก็ต้องมานั่งกินชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เหลืออยู่ ทรมานตัวเองเล่นไปทำไม”

“ไม่ได้ทรมานเลยสักนิด ข้าเคยกินเพียงข้าวตังชืดๆ ตอนที่ออกลาดตระเวนในป่ากับเหล่าทหารภูตด้วยซ้ำ” รับสั่งเป็นเรื่องขบขัน แต่คนฟังยังไม่สบายใจ

“นั่นเป็นเพราะท่านไม่มีทางเลือก แต่นี่ท่านมีทางเลือกนี่นา”

“ข้าเลือกแล้วอย่างไรเล่า” ทรงตักเศษเนื้อบริเวณหัวปลาขึ้นมาบนจาน “เจ้าเพิ่งหายป่วยจึงต้องกินให้มากๆ แต่ข้ายังแข็งแรงดีจึงขอกินเพียงให้มีชีวิตอยู่ก็พอ”

เมื่อได้ยินคำตอบแล้วหัวใจพยศดวงนี้พลันศิโรราบให้ทุกสิ่งที่ราชันไพรสัณฑ์กระทำส่งผลให้ลำคอของเธอตีบตันและนัยน์ตาร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้เพราะเธอรู้สึกราวกับว่าได้รับสิ่งมีค่าที่ไม่แน่ใจว่าตนคู่ควรได้รับหรือเปล่า!

“นั่นเจ้าเป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือ” ราชันไพรสัณฑ์วางจานข้าวลงทันทีที่เห็นนางนั่งตาแดงกํ่ามองพระองค์คล้ายจะรํ่าไห้ออกมา

“ไม่ได้เจ็บตรงไหนหรอก” หญิงสาวระงับน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา เพราะรู้สึกว่าพระองค์ทรงไม่สบายพระทัยนักที่เห็นน้ำตาของเธอ “ลมมันโกรกตานิดหน่อยก็เลยระคายเคืองแต่ประเดี๋ยวฉันจะนั่งหันหลังให้หน้าต่างแล้ว ท่านกินต่อเถอะ กินให้หมดเลยนะ”

ราชันไพรสัณฑ์ทรงไม่เชื่อสิ่งที่โสมพูดแต่ในเมื่อนางต้องการให้พระองค์เชื่อเช่นนั้น พระองค์ก็จะทำให้นางคิดว่าพระองค์เชื่อด้วยไม่ไต่ถามอีกและการเสวยพระกระยาหารต่อจนหมดอย่างที่นางขอ

“วันนี้ท่านพาฉันไปเที่ยวเล่นทั้งวัน คืนนี้ท่านต้องทำงานทั้งคืนจนถึงเช้าหรือเปล่า” โสมเลียบเคียงถามขณะราชันหนุ่มกำลังเก็บจานสำรับ

“อาจจะทำเสร็จเร็วกว่านั้น”

รับสั่งตอบให้นางสบายใจก็อาจแปลว่าจะทรงงานต่อตลอดทั้งคืนจริงๆ สินะ

“งานพวกนั้น เร่งมากไหม” หญิงสาวยื่นมือเข้าช่วยพระองค์เก็บจาน

“ก็ยังไม่มีอะไรเร่งด่วนนัก แต่หากทิ้งไว้มันก็จะสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ”

“ท่านคิดว่าฉันยังไม่หายดีและจำเป็นต้องพักผ่อนมากๆ แต่ฉันจะป่วยมากกว่าหากต้องนอนอยู่เฉยๆ เพราะฉะนั้น ขอให้ฉันช่วยงานท่านบ้างได้หรือเปล่า”

“งานเล็กๆ น้อยๆ ก็พอมีบ้าง” ราชันหน้ากากภูตรับสั่งแบ่งรับแบ่งสู้เพราะทรงรู้อยู่แก่พระทัยว่าการอยู่นิ่งเฉยจะทำให้นางป่วยมากขึ้น แต่ก็ไม่อยากให้นางทำงานหนักจึงได้แต่หางานสบายๆ ให้นางทำ “ถ้าเจ้าต้องการก็ให้เริ่มทำวันพรุ่งนี้”

“ความจริงแล้วฉันต้องการให้ท่านพักผ่อนเต็มที่ในคืนนี้แล้วพรุ่งนี้เราจะมาช่วยกันสะสางทั้งงานเก่าและงานใหม่” โสมแก้มแดงเรื่อเมื่อพยายามพูดประโยคต่อไป “มีงานเดียวเท่านั้น ที่ฉันอนุญาตให้ท่านทำได้ในคืนนี้”

“เจ้า ‘อนุญาต’ ข้าหรือคนเก่ง” ทรงพระสรวลเสียงดังด้วยความขบขันและพอพระทัย เนื่องจากนานมากเหลือเกินที่จะมีใครขวัญกล้ามากพอที่จะ ‘อนุญาต’ ให้พระองค์ทำอะไร แต่เนื่องจากนางอยู่ในฐานะที่พิเศษกว่าคนอื่น พระองค์จะทรงอนุญาตให้นางลงความเห็นในเรื่องนี้ได้ก็แล้วกัน “ยอมก็ได้จ้ะ ถ้าข้าไม่ยอมเจ้าแล้วจะยอมใครที่ไหนได้อีก”

“ยอมให้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน” หญิงสาวอยากจะยื่นมือไปหยิกพระปรางด้วยความมันเขี้ยวนัก

“ยอมตลอดชีวิตก็ยังได้” ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปคลึงฝ่ามืออ่อนแอของนางอย่างหยอกเย้า “เจ้าจะอนุญาตให้ข้าทำอะไรหรือ”

“ท่าน… ยังไม่ได้ทายาให้ฉันเลย” โสมกลั้นใจพูดออกไปด้วยหน้าแดงกํ่าแล้วกลบเกลื่อนด้วยการมองไปทางอื่นเพื่อปกป้องตัวเองจากความเขินอาย “มันช่วยไม่ได้นี่นา ถ้าฉันเป็นคนทาเองก็ไม่รู้ว่าต้องทาตรงไหนบ้าง แล้วอีกอย่างเวลาที่ท่านทายาให้ฉัน… มือของท่านก็ทำให้ฉันรู้สึกดี”

“แค่นี้หรอกหรือ” ราชันไพรสัณฑ์ไม่อาจห้ามหัวใจให้สงบเสงี่ยมได้เพราะความนัยที่นางสื่อแทบจะทำให้พระวรกายรํ่าร้องคึกคะนอง

ทางด้านหญิงสาวนั้น ไม่กล้าหันไปมองสักนิดว่าราชันไพรสัณฑ์มีปฏิกิริยาอย่างไร หากพระองค์ทรงตกพระทัยก็คงต้องระวังพระทัยเอาไว้ให้ดีเพราะเธอกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อพูดในสิ่งที่จะทำให้พระองค์ตกพระทัยยิ่งกว่า

“คืนนี้ฉันต้องการท่าน” โสมหลุดปากออกไปแล้วก็ยังตกใจความก๋ากั่นตัวเองแทบเป็นลมสิ้นสติแต่หญิงสาวไม่อาจเป็นลมไปก่อนได้แน่หากยังไม่พูดต่อให้จบ “บนเตียงของฉัน!”

คุณเพชรโอบประคองนลวรรณซึ่งบัดนี้ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีเข้านอน หญิงสาวขยับกายนอนหามุมสบายบนเตียงด้วยท่าทีอุ้ยอ้ายอย่างน่ารักจนกระทั่งชายหนุ่มฉวยเอาหมอนข้างใบนุ่มไปวางหนุนหลังให้ เธอจึงหยุดถอนใจด้วยความสุขสบาย

“พี่เพชรไปดูเอริคหน่อยสิคะ พักนี้อาแต่นอนงีบทั้งวัน” หญิงสาวบอกสามีเบาๆ ขณะซุกหน้าลงบนหมอนนุ่ม

“เอริคนอนงีบแทนแม่หรือเปล่าเพราะแม่เขาไม่ค่อยจะยอมนอนงีบเลย” ชายหนุ่มก้มลงจุมพิตข้างแก้มภรรยาด้วยแสนรัก

“ก็ลูกดิ้น บ่อยนี่คะ แล้วก็ดิ้นแรงด้วย วันเลยนอนไม่ค่อยหลับ” เธอหลุดปากสารภาพก่อนจะเหลือบเห็นสีหน้าเป็นกังวลของสามีจึงรีบเอ่ยปลอบ “ลูกแข็งแรงไงคะ ถ้าคลอดแล้วสงสัยจะเป็นตัวซนให้พี่เพชรปราบแน่ๆ”

“ก็ซนตั้ง แต่อยู่ในท้องแบบนี้ คลอดออกมาคงต้องเริ่มอบรมให้เข้มงวดหน่อยละจ้ะ” เขายิ้ม เพื่อคลายความกังวลของภรรยา “นอนไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวพี่ไปดูเอริคให้”

“จุ๊บก่อนสิ” นลวรรณยกแขนขึ้น เชิญชวนสามีพลางออดอ้อนนัยน์ตาพราว “จุ๊บหนึ่งทีวันจะไม่ฝันร้าย จุ๊บสองทีวันจะหลับสบาย”

“ถ้าจุ๊บหลายๆ ทีล่ะจ๊ะ” คุณเพชรยิ้มหวานทั้งรักและเอ็นดูภรรยาก่อนจะโน้มลงไปเอาจมูกคลอเคลียพวงแก้มนุ่มนิ่มหอมละมุนเป็นเชิงหยอกเย้า

“วันจะมีความสุขที่สุดไงคะ” หญิงสาวหลับตาพริ้มพลางยิ้มเอียงอายแล้วเอียงแก้มรับปลายจมูกโด่งของสามี

ชายหนุ่มยิ้ม อยู่แนบริมฝีปากของภรรยาแล้วมอบจุมพิตก่อนนอนให้อย่างตั้งอกตั้ง ใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งหญิงสาวถอนใจด้วยความสุขแสนมัวเมาและง่วงงุนเขาจึงยอมละริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่งด้วยความเสียดาย อยู่ดูแลห่มผ้าเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะหลับออย่างเป็นสุขก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไปเคาะประตูห้องของลูกชาย

“มีอะไรครับแด๊ดดี้” เอริคเดินมาเปิดประตูด้วยท่าทางงัวเงีย หลังจากปล่อยให้บิดารอชั่วครู่หนึ่ง ดูจากสภาพก็รู้ว่าเด็กชายเพิ่งลุกขึ้น มาจากเตียง

“เรามีอะไรต้องคุยกัน” คุณเพชรยิ้ม ขันบุตรชายที่เชิญเขาให้เข้าห้องอย่างงุนงง เขาต้องเปิดไฟในห้องให้สว่างแล้วเดินไปนั่งที่ปลายเตียง “มัมมี๊เขาบอกว่านายเอาแต่นอนงีบทั้ง วันจริงหรือเปล่า”

“ครับ” เอริคตอบอุบอิบก่อนจะเลื้อยกลับขึ้นไปบนเตียงด้วยท่าทางพร้อมที่จะนอนทุกเมื่อ

“ไม่สบายหรือเปล่า” ผู้เป็นบิดาดึงตัวลูกชายให้ลุกจากเตียงด้วยความตั้ง ใจจะตรวจอาการเบื้องต้นของบุตรชาย

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ” เด็กชายบอกปฏิเสธ แต่ก็ยอมให้บิดาตรวจนั่นตรวจนี่ตามร่างกายของเขาและเขาก็ให้ความร่วมมือด้วยการตอบคำถามของบิดาโดยไม่อิดเอื้อน “ผมก็แค่… อยากนอนเท่านั้นเองครับ”

“เป็น NARCOLEPSY[1]หรือเปล่า โรคง่วงน่ะ”

“เปล่าครับ” เด็กชายเริ่มคิดหนักเพราะบิดาเป็นกังวลจริงจัง “ผมไม่ได้มีอาการง่วงนอนอย่างฉับพลัน ไม่มีอาการร่างกายเป็นอัมพาตขณะหลับ ไม่มีอาการมึนชาหรือหลงลืมระหว่างตื่นและไม่มีภาวะอารมณ์ไม่คงที่”

“แล้วมีความฝันที่เหมือนจริงหรือเปล่า” คุณเพชรภูมิใจอยู่ลึกๆ ที่บุตรชายใฝ่หาความรู้จนมีความรู้เรื่องการแพทย์มากเกินกว่าเด็กอายุสิบปีจะมีได้ แต่ก็แคลงใจที่บุตรชายหลงลืมอีกหนึ่งอาการของผู้ป่วยโรคนี้ไปเหมือนกับจงใจ

“คือว่า… ครับ” เด็กชายสารภาพอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะรู้ว่าตนไม่เคยโกหกหรือปิดบังบิดาได้เลยสักครั้ง “ผมมีความฝันที่เหมือนจริงมาก ยังรับรู้ได้ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด การสัมผัส และทุกอย่างในความฝันเป็นเหตุเป็นผลกันมาก เพียงแต่ผมไม่มีอำนาจในการตัดสินใจทำได้แค่มองและรับรู้ผ่านใครบางคนเท่านั้นเอง”

“เล่าให้ฟังได้ไหม” คุณเพชรยังคงมีรอยยิ้ม ทีชวนให้คนมองสบายใจอยู่บนใบหน้า

“ผมมองเห็นบ้านเมืองที่คล้ายจะมีวิวัฒนาการย้อนหลังจากยุคปัจจุบันของเราไปสักสองสามร้อยปี เห็นสถานการณ์ไม่สงบเหมือนจะมีการก่อกบฏอย่างเงียบๆ จากพวกข้าราชการบางกลุ่ม เห็นกองทหารที่น่าเกรงขามสวมหน้ากากจนเหมือนภูตผี เห็นการใช้ไสยศาสตร์และดาบในการต่อสู้กัน” เด็กชายเล่าพลางรำลึก “แต่ก็มีบางคนที่ปฏิวัติความล้าหลังด้วยการออกแบบให้สร้างปืนแบบสมัยใหม่ มีการเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าแบบสมัยใหม่ด้วยครับ”

“รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร”

“เป็นทหารราชองครักษ์อยู่เคียงข้างราชันครับ แต่… ไม่ค่อยจะทำตัวเหมือนเป็นข้าราชบริพารสักเท่าไหร่ วันๆ เอาแต่หาเรื่องใส่ตัวเองแล้วก็กวนโมโหคนรอบข้างไม่เว้นแม้แต่ราชัน” เอริคเล่าด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด

“ดูเหมือนเขาจะเป็นตัวกวนนะ แล้วราชันก็คงโปรดเขาอยู่เหมือนกันถึงได้ปล่อยให้เขาเหิมเกริมได้”

“ราชันมีตุผลบางอย่างที่ไม่ลงโทษเขาครับ” เด็กชายแก้มแดงเรื่อขึ้นนิดหน่อย “แล้วอีกอย่างเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย กลับกันเขาทำให้ราชันมีความสุขมากกว่าเมื่อก่อน จน… เอ่อ… ราชันเก็บเขาไว้ข้างกายไม่ให้ห่างไปไหน”

“ราชันหลงรักราชองครักษ์อย่างนั้น หรือ”

“เขาก็น่ารักดีนะครับ” เด็กชายหลุดปากก่อนจะเหลือบเห็นแววตาเต้นระริกของบิดาที่ดูเหมือนจะอ่านความรู้สึกข้างในของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาหน้าแดงกํ่าด้วยความอายเมื่อเห็นแววตาสั่งให้สารภาพความรู้สึกมาเสียโดยดีของบิดา อีกทั้งยังมีแววขู่มาว่าหากไม่สารภาพท่านจะเปิดโปงเองด้วย “โธ่… ก็ได้ครับ ผมยอมแล้ว ความจริงผมเองก็ชอบราชองครักษ์คนนั้น เหมือนกัน”

“ราชองครักษ์คนนั้น เป็นผู้หญิงสินะ” คุณเพชรเอ่ยล้อเลียน

บุตรชายที่พยักหน้าตอบ “นายอายุแค่สิบขวบเอง ตกหลุมรักสาวแล้วหรือ”

“ก็ผมรับทั้งความคิดและความรู้สึกของคนที่มองเธอมาเต็มที่นี่ครับเลยรู้สึกเหมือนถูกล่อลวงให้หลงรักเธอไปด้วย” เด็กชายสารภาพหน้ามุ่ย แก้มยังคงแดงและจะแดงขึ้น เรื่อยๆ

“แก่แดดจริงๆ” คุณเพชรกลั้วหัวเราะเมื่อบุตรชายหันมาทำหน้าเข้มใส่เป็นเชิงให้เลิกล้อเลียนเสียที ดังนั้นเขาจึงพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาความมั่นใจของบุตรชาย

“แด๊ดดี้ต้องเอาไปบอกมัมมี๊แน่เลย” เอริคแทบจะมองสถานการณ์หลังจากนี้ได้เป็นฉากๆ แต่ก็รู้ว่าตนหลงกลบิดาไกลเกินกว่าจะแก้ไขอะไรได้แล้ว จึงได้แต่สารภาพออกมาเองจนหมดเปลือกดีกว่าที่ต้องทนให้ทั้งบิดาและมารดาเลี้ยงหาเรื่องมาหยอกให้เขาเขินอายจนเสียเชิงชาย

“บอกแด๊ดดี้มาสิว่าสาวในดวงใจของนายชื่ออะไร” บิดาถามและไม่ยอมเสียโอกาสที่จะได้ล้อบุตรชายเลย

“ผมบอกก็ได้” เด็กชายจนปัญญาจะปิดบัง “ผู้หญิงคนนั้น เธอชื่อโสมครับ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!