Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 40

ตอนที่ ๔๐

วอนขอ

ราชันไพรสัณฑ์ทรงงานพลางเหลือบมองสตรีที่นอนหลับลึกอยู่บนพระแท่นบรรทม หลังจากเจ้าเมืองกิตติกลับออกไปไม่นานโสมก็ปรากฏต่อหน้าพระองค์ด้วยอาคมย่อจักรวาล ทรงไม่แปลกพระทัยที่นางฝ่าปราการป้องกันอาคมที่พระองค์ทรงร่ายปกป้องพระตำหนักเอาไว้มาได้ เพราะทรงใช้ความรู้สึกทั้งหมดไปกับความตกพระทัยและความกลัวว่า

นางจะเป็นอะไรไป

นางมาหาพระองค์ในสภาพเกือบหมดสติ ผิวเป็นสีเทาตัดกับเลือดสีแดงกํ่าที่หลั่งออกจากจมูก ทรงเรียกให้หมอมาตรวจอาการโดยเร่งด่วนแต่ได้ความเพียงว่านางหมดสติและมีเลือดกำเดาเพราะความเครียด กระนั้น ก็ทรงไม่วางพระทัย ดังนั้น หลังจากทรงเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางแล้วจึงได้ขนการงานมานั่งทำที่พระแท่นบรรทม เพื่อที่จะเฝ้านางได้ตลอดเวลา

ราชันไพรสัณฑ์ทรงปริวิตกต่อพระมเหสีของพระองค์จนลืมแม่หญิงศรีศุภางค์ จนกระทั่งทหารภูตนายหนึ่งเข้ามาถวายรายงานว่านางกลับมาถึงพระราชวังอย่างปลอดภัยแล้ว ทรงลังเลว่าจะรุดไปถามเรื่องราวจากนางดีหรือจะอยู่เฝ้าพระมเหสีของพระองค์ดี ครั้นจะรับสั่งให้นางเข้ามาพระตำหนักสุริยันก็ไม่อาจทำได้เพราะเกรงจะดูไม่เหมาะสม สุดท้ายจึง

ได้ให้ทหารภูตไปสอบถามเรื่องราวแล้วกลับมารายงานพระองค์

เรื่องราวที่ทหารภูตถวายรายงานนั้นทำให้พระองค์ตระหนักในทันทีว่าหากโสมตื่นขึ้น มาเมื่อใด พระองค์จะต้องรับมือกับความยุ่งยากมากมาย ตอนนี้ทรงคาดหวังให้นางหลับต่อไปพอๆ กับที่คาดหวังให้นางตื่นขึ้น มา พระองค์ไม่ทราบว่านางจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับการกระทำของพระองค์แต่คงไม่ใช่ความยินดีปรีดาเป็นแน่ บางทีพระองค์ควรทำท่าสำนึกผิดและกล่าวขอโทษนาง

ปัญหาคือพระองค์ไม่รู้สึกผิดสักนิดและหากย้อนเวลากลับไปได้พระองค์ก็จะยืนกรานทำแบบเดิมเพราะนั่นเป็นทางเดียวที่จะได้นางมา

ธรรม์ไม่ใช่คนที่มีค่าคู่ควรกับนางแม้แต่น้อย เขามีภรรยาอยู่แล้วแต่กลับยัดเยียดความรักที่บั่นทอนศักดิ์ศรีให้แก่นางซึ่งพระองค์ยอมรับไม่ได้เพราะทรงมั่นพระทัยว่าหากเป็นพระองค์เองจะสามารถให้ในทุกสิ่งที่นางปรารถนาโดยที่นางไม่ต้องสูญเสียสิ่งใดเลย!

อย่างไรก็ตามเป็นที่รับรู้ว่าการเอ่ยปากขอโทษสตรีเมื่อถึงเวลาจำเป็นจะทำให้เรื่องทุกอย่างง่ายขึ้น เพราะสตรีมีแนวโน้มจะยอมให้อภัยหากได้รับคำขอโทษและการหว่านล้อมอันเหมาะสม ดังนั้นหากนางต้องการความสำนึกผิดพระองค์ก็จะทำให้นางเชื่อว่าทรงสำนึกผิด และหากนางต้องการคำขอโทษพระองค์ก็จะรับสั่งคำนั้น เพื่อนาง ไม่ว่านางต้องการสิ่งใดหากพระองค์สามารถและนางต้องการพระองค์จะหามาให้นางทั้ง หมดขอเพียงนางอยู่เคียงข้างพระองค์ต่อไปเป็นพอ!

โสมรู้สึกตัวตื่นขึ้น ด้วยความทรมานจากอาการปวดหัวแต่ยังคงหลับตานิ่งสนิทและปลุกประสาทสัมผัสของตน กลิ่นกำยานหอมพิเศษอันคุ้นเคย ความนุ่มสบายของที่นอน และไออุ่นจากเรือนกายมนุษย์ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ทำให้เธอรู้ว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน

เธออยู่ที่พระตำหนักสุริยันและบุคคลที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างๆ ก็คือคนที่เธอต้องการพบมากที่สุด!

ความปั่นป่วนทางอารมณ์ที่ระเบิดขึ้น อย่างฉับพลันเกือบทำให้โสมผุดลุกขึ้น นั่งแล้วลงมือทำร้ายราชันไพรสัณฑ์ให้สมกับที่ทรงโกหกพระองค์ไม่ละอายบ้างหรืออย่างไรที่หลอกลวงว่าเธอเป็นภรรยา ทรงปั่นหัวเธอเหมือนกับว่าเธอเป็นคนโง่ ความจริงแล้วเธอก็โง่จริงๆ ถึงได้เชื่อพระองค์ทั้ง ที่สมควรรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องและไม่ควรเชื่อใจใครง่ายๆ

ความโกรธของเธอมีมากเสียจนทำอะไรไม่ถูก ในใจมีเพียงแค่คำว่า ‘โกหก’ จนกระทั่งอารมณ์อันร้อนแรงได้ถูกรบกวนให้ไขว้เขวด้วยพระหัตถ์ใหญ่ที่ลูบกระหม่อมของเธอเบาๆ ทำให้จิตใจของเธอสงบลงได้บ้าง สัมผัสอันแสนอ่อนโยน เอื้ออาทรและเปี่ยมไปด้วยความรักความสงสารทำให้จิตใจของเธอไหววูบและเริ่มเกิดคำถามต่างๆ มากมาย

นอกจากโกรธที่ทรงโกหกหลอกลวงแล้ว เธอไม่ได้รังเกียจพระองค์เลยไม่ใช่หรือ

หญิงสาวพยายามคิดหาข้อเสียของการที่ทรงโกหก แต่ยิ่งคิดมากขึ้น เท่าไรสิ่งที่ได้กลับไม่ใช่ข้อเสีย เธอคิดถึงความเอาใจใส่ ความรัก ความอาทร และทุกสิ่งที่ทรงทำให้ด้วยความเต็มพระทัย พระองค์ไม่ใช่หรือที่คอยดูแลเธอยามป่วยไข้ คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ และเช็ดตัวผลัดผ้าให้อย่างไม่รังเกียจ ตอนนี้พระองค์ก็ยังคงปักหลักอยู่ข้างกายของเธอ คอยดูแลเธอไม่ห่าง การกระทำของพระองค์เป็นคำสัญญาอย่างเงียบๆ ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะมีพระองค์อยู่เคียงข้างเสมอ

หากจะลองพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้ว การที่ราชันไพรสัณฑ์ทำเช่นนี้กลับช่วยให้เธอพ้นทุกข์เสียด้วยซ้ำ เธอเกือบหลงรักผู้ชายที่ไม่ควรรัก และหากปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ต่อไป เธอจะเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด ผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่หรือที่ปากก็บอกว่ารักเธอแต่กลับยัดเยียดความอัปยศให้ และเป็นเขาอีกไม่ใช่หรือที่สั่งให้เจ้าโสมวิปริตคนนั้นกักตัวเธอเอาไว้ทรมานเพื่อทดลองฤทธิ์ยาพิษสาปจันทรา เธอไม่รู้ว่าจิตใจเขาทำด้วยอะไร แต่การที่เขาทำให้เธอเผชิญความทุกข์สาหัสจนกระทั่งสูญเสียความทรงจำนั้นเหมือนทำให้เธอตายทั้งเป็น ขณะที่ราชชันไพรสัณฑ์เข้ามาคอยโอบอุ้มประคับประคองเธอให้พ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก

เธอเคยแน่ใจว่าการกระทำของราชันไพรสัณฑ์นั้น ไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้เธอกลับแน่ใจว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องที่สุด ราชันไพรสัณฑ์สามารถหาสตรีที่เพียบพร้อมกว่าเธอได้แต่กลับเลือกผู้หญิงที่ไม่คู่ควรอย่างเธอ เธอได้แต่คิดว่าเป็นวาสนาของเธอแล้วที่มีโอกาสได้รับความรักของพระองค์ เมื่อคิดได้จิตใจของเธอพลันอ่อนยวบ ความโกรธกลายมา

เป็นความใจอ่อนชนิดที่ว่าหากไม่เตือนตัวเองดีๆ เธอจะต้องให้อภัยพระองค์โดยง่ายเป็นแน่!

โสมถอนใจเบาๆ อย่างยอมจำนน เธออาจสามารถหาเหตุผลอีกมากมายเพื่อที่จะโน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อว่าสมควรโกรธราชันไพรสัณฑ์มากกว่านี้หากพระองค์ไม่ได้ดีกับเธอเหลือเกิน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากลำบากอย่างที่สุดในการที่จะเกลียดพอๆ กับที่เป็นเรื่องง่ายมากที่จะรัก

แต่ถ้าจะยอมให้อภัยง่ายๆ เดี๋ยวพระองค์ก็จะได้พระทัยเกินไปอย่างน้อยก็ขอเห็นราชันผู้ยิ่งใหญ่ร้อนพระทัยบ้างก็ยังดี!

โสมตัดสินใจเด็ดขาดแล้วจึงลืมตาขึ้น สังเกตด้วยความพึงพอใจอย่างเงียบๆ ว่าราชันไพรสัณฑ์ที่สบจ้องรอคอยให้เธอฟื้นอยู่แล้วชะงักไปชั่วครู่หนึ่งด้วยความไม่สบายพระทัยและมีความกระวนกระวายอยู่หลายส่วน แต่ก็ทรงพยายามสุภาพอ่อนโยนจนเธอนึกประทับใจความพยายามของพระองค์

“มีอะไรจะพูดกับฉันไหม” หญิงสาวปั้นสีหน้าและน้ำเสียงเย็นชาเพื่อข่มขวัญกำลังใจ

“ข้าคิดว่าจะขอโทษเจ้าสำหรับการกระทำทั้งหมดเพื่อความสะดวกและให้เรื่องมันง่ายขึ้น ” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งเมื่อทรงนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง “แต่เมื่อเห็นแววตาของเจ้าเมื่อครู่ ข้าคิดว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่งที่จะโกหกว่าข้าสำนึกผิด”

“แปลว่าท่านไม่สำนึกผิดเลยอย่างนั้นหรือ” เธอเกือบจะเผลอเลิกคิ้วออกมา

“ข้าทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะรั้งเจ้าเอาไว้ได้” ราชันหนุ่มกระแอมด้วยความละอายเล็กน้อยแต่ไม่เสียพระทัยในสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว “เจ้ารักคนที่ไม่สมควรรัก ในเมื่อข้าช่วยเจ้ากลับมาได้และเจ้าสูญเสียความทรงจำ ข้าจึงถือเอาว่าเป็นหน้าที่ของข้าที่จะมอบในสิ่งที่คู่ควรมากที่สุดให้แก่เจ้า”

“สิ่งที่คู่ควรกับฉันมากที่สุดก็คือท่านอย่างนั้นหรือ” เธอถามเสียงสูง ในใจกรีดร้องด้วยความหมั่นไส้ว่าทรงกล้ารับสั่งออกมาได้ ช่างโอหังและหลงองค์เองเหลือเกิน

“เจ้าคิดว่าข้าบกพร่องหรือ”

“แน่นอนสิ” โสมเคี้ยวฟันพูด “ท่านเป็นจอมโกหก!”

“แล้วอย่างไรอีก”

“ท่าน!” หญิงสาวอ้าปากพะงาบๆ เพราะรู้ดีว่านอกจากทรงโกหกแล้วไม่มีเรื่องอื่นที่เธอจะโกรธพระองค์ได้อีก แต่การถูกต้อนให้จนมุมในตอนนียั้งเร็วไป เธอต้องการสิ่งที่เท่าเทียมกันหรือการแก้เผ็ดเล็กน้อย “นี่ท่านไม่สำนึกแล้วยังจะมาทำเหมือนสอบปากคำฉันอีกอย่างนั้น หรือ ตกลงว่าเรื่องทั้ง หมดนี่ฉันผิดเองใช่ไหม ฉันมันโชคร้ายเองที่ดันความจำเสื่อม

แล้วก็โง่เองที่หลงเชื่อท่านง่ายๆ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฉันไม่ควรทำอย่างอื่นนอกจากก้มหน้าก้มตายอมรับไปอย่างไม่อุทธรณ์ใช่ไหม”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” ราชันไพรสัณฑ์ถอนพระปัสสาสะเฮือกใหญ่ด้วยความกลัดกลุ้ม แต่การที่นางไม่สามารถบอกได้ว่าพระองค์ทำผิดสิ่งใดนอกจากการโกหกก็นับว่าเป็นสัญญาณดีเพราะหมายถึงสามารถกล่อมให้นางยอมให้อภัยได้หากทรงเลือกวิธีการหว่านล้อมและเลือกเวลาง้อได้เหมาะสม

“แล้วมันเป็นยังไง” เธอพลิกตัวหันหลังพระองค์ให้เพื่อให้ทรงเชื่อว่ากำลังขุ่นเคือง

“โสมจ๋า” ราชันไพรสัณฑ์ทรงเปลี่ยนวิธีการเนื่องจากเห็นว่านางก็ใจอ่อนอยู่ลึกๆ จึงคิดว่าการออดอ้อนขอความรักและให้คำมั่นสัญญาน่าจะทำให้นางยอมให้อภัยพระองค์โดยเร็วมากกว่าการบีบให้นางยอมรับความจริง “ข้าต้องขอโทษจริงๆ ที่ไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อยที่หลอกลวงให้เจ้าอยู่ข้างกายของข้า เจ้าสำคัญต่อชีวิตของข้ามาเกินกว่าที่ข้าจะเสี่ยงใช้วิธี

อื่นที่จะได้เจ้ามาช้ากว่านี้”

หัวใจคนฟังอ่อนยวบยาบราวกับขี้ผึ้งที่ถูกไฟลน ราชันไพรสัณฑ์เป็นผู้ชายที่ฉลาดและมีเสน่ห์มากจนเธอต้านทานลำบาก วาทศิลป์ และคารมคมคายในการละลายใจผู้หญิงก็ชำนาญเสียจนเธอทนใจแข็งไม่ไหว

“วิธีการที่ข้าทำเพื่อให้ได้เจ้ามาอาจไม่ถูกต้องนักแต่นั่นเป็นวิธีเดียวที่ตัวข้าซึ่งโง่งมในความรักที่มีต่อเจ้าสามารถทำได้ในตอนนั้น” พระองค์ทอดเสียงอ่อนหวานและเว้าวอน พระหัตถ์แตะบนไหล่กลมกลึงเบาๆ อย่างขอความเห็นใจ “เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าเจ้ามีอิทธิพลทำให้บุรุษยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อเจ้า แม้กระทั่งการทำสิ่งที่เลวร้ายมากที่สุด และในเมื่อใจของข้ารักมั่นอยู่กับเจ้า ดังนั้น ข้าจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากสิ่งที่ข้าได้ทำลงไปแล้ว”

โสมกระพริบตาถี่ๆ เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าเพิ่งเคลิ้ม จนจิตใจเลื่อนลอย แต่ราชันไพรสัณฑ์ทำให้ความพยายามของเธอเป็นไปได้ยากขึ้น เมื่อทรงโน้มองค์ลงมาจุมพิตข้างแก้มของเธอเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความรักและความอ่อนหวาน

“ข้าสาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้ว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องนึกเสียใจที่มีข้าอยู่ในชีวิตของเจ้า ข้าจะวางความปรารถนาของเจ้าไว้เหนือความปรารถนาของข้า ความผาสุกของเจ้าเป็นความรับผิดชอบที่เหนือกว่าความผาสุกของข้าเอง ข้าจะดูแลเจ้าให้แน่ใจว่าเจ้าจะได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ” รับสั่งพลางทิ้งองค์ลงนอนแนบเนาแล้วกอดนางเอาไว้ พระ

หัตถ์ใหญ่กางวางบนหน้าท้องของนางเพื่อถ่ายทอดกระแสความอบอุ่นที่ชวนให้ใจอ่อนและวาบหวาม “เพราะฉะนั้น ได้โปรดให้อภัยชายที่น่าสงสารคนนี้เถอะนะจ๊ะ”

โอย… ใจฉันละลาย

โสมคร่ำครวญอยู่ในใจ เป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้หญิงที่จะต้านทานรับสั่งเหล่านั้น โดยเฉพาะเมื่อที่ผ่านมาราชันหนุ่มได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทรงทำได้อย่างที่รับสั่งจริง พระวรกายใหญ่โตโอบกอดเธอเอาไว้จากข้างหลัง ทำให้เธอทั้ง อบอุ่นและขัดเขิน ฝ่ามือที่ขยับกางลูบไล้หน้าท้องของเธออยู่นั้น ทำให้กระบวนการคิดของเธอมีปัญหาและทำได้เพียง

แค่นอนระทดระทวยอยู่ภายใต้ความเมตตาของพระองค์เท่านั้น

“โสมจ๋า… เจ้าจะไม่ให้อภัยข้าจริงๆ หรือ” ราชันไพรสัณฑ์แสร้งปั้นพระสุรเสียงละห้อยโหยทั้งที่ทรงรู้ได้จากการโอนอ่อนของนางว่าได้ใจอ่อนแล้ว

“เพื่อรั้งเจ้าเอาไว้ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ ข้ารู้ว่าตัวว่าสมควรได้รับความเกลียดชังจากเจ้า แต่ขอให้เมตตาข้าสักนิด… อย่าได้พาตัวเองไปสู่เรื่องอันตรายอีก นอกนั้นหากเจ้าต้องการลงโทษหรือแสดงความเกลียดชังต่อข้าอย่างไร ข้าจะรับเอาไว้ทุกอย่างโดยไม่เอ่ยขอความเห็นใจ”

“ใครเขาจะโกรธลงกันเล่า” โสมพูดอุบอิบ

“สำหรับข้าในตอนนี้ขอเพียงเจ้าไม่โกรธและไม่รังเกียจข้า ข้าก็ดีใจเหลือเกินแล้ว” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเศร้าๆ “ถึงแม้เจ้าจะไม่รักข้าและอาจไม่มีวันรักก็ไม่เป็นไร ข้ามีความพยายามมากมายเพื่อที่จะให้เจ้ารักข้าให้ได้ บางที… ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าอาจได้รับความรักจากเจ้าบ้างสักครั้ง”

“ใครว่าไม่รักกันเล่า! แค่นี้ก็รักจนจะโงหัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว ท่านรังแกฉันด้วยการบีบให้ฉันต้องพูดออกมาใช่ไหม คนอะไรร้ายที่สุด! รู้อยู่แล้วแท้ๆ นี่นา ตาบ้า!”

“ชื่นใจเหลือเกินแล้ว รักเหลือเกินแล้วจ้ะ แม่คุณทูนหัวของเจ้าไพร”

ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลด้วยความโสมนัส พลิกกายของนางกลับมาเพื่อที่จะกอดประทับนางแนบอก ให้นางได้ฟังเสียงดวงพระทัยของพระองค์ที่เต้นเป็นจังหวะว่ารักนางเพียงคนเดียว รักอย่างที่ในชาตินี้ไม่อาจรักใครได้อีก ภาพของนางที่สะเทิ้นอายและเต็มไปด้วยความคับใจที่ถูกกลั่นแกล้งนั้น ทำให้พระองค์วาดฝันถึงเด็กตัวเล็กๆ หลายคนที่จะเรียกพระองค์ว่าพ่อและเรียกนางว่าแม่ พวกเขาจะเป็นเด็กหญิงชายที่แข็งแรงสมบูรณ์ซึ่งได้รับการถ่ายทอดความฉลาดน่ารักของนางมาทั้งหมด

ครอบครัว… ทรงปรารถนาที่จะสร้างครอบครัวกับนาง

“โสมจ๋า ข้าขอจุมพิตแก้มของเจ้าได้หรือไม่” ราชันหนุ่มกระซิบอ้อนขออย่างน่ารัก ศีรษะเล็กของนางที่ก้มงุดอยู่กับพระอุระพยักนิดหนึ่งพระองค์แย้มพระโอษฐ์เป็นรอยยิ้ม แล้วประทับรอยยิ้ม นั้น ลงบนแก้มนุ่มนิ่มของนางและพึงพระทัยที่ทอดพระเนตรเห็นสีแดงละม้ายแสงอาทิตย์ยามอัสดงฉาบไล้ไปทั่วเสี้ยวหน้าที่นางอนุญาตให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น

“ข้ารักดวงตาของเจ้า มันเป็นสีของไพลินน้ำงามที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา ขอให้ข้าได้จุมพิตมันได้หรือไม่” ราชันหนุ่มเกลี่ยปอยผมของนางออกจนมองเห็นแววตาไหวระริกของสตรีในห้องหอของนางซึ่งทำให้พระทัยของพระองค์อ่อนไหวเหมือนระลอกน้ำ ทรงจุมพิตเหนือดวงตาแสนงามของนางอย่างแผ่วเบาประดุจการสัมผัสของปีกผีเสื้อ แพขนตาที่กระพือไหวแล้วช้อนขึ้น สบพระเนตรนั้น สามารถทำให้ชายที่กักขฬะที่สุดยอมกลับใจได้

“ข้าขอ…”

“ท่านขอฉันเยอะแล้ว ถึงตาฉันขอบ้างสิ” โสมเอ่ยเสียงอุบอิบ นึกลังเลว่าจะขอดูพระพักตร์ที่ทรงปกปิดเอาไว้ด้วยหน้ากากภูตตลอดเวลาดีหรือไม่เพราะที่แล้วมาแม้จะใกล้ชิดสนิทสนมกันเพียงใด พระองค์ก็ไม่เคยเผยใบหน้าให้เธอเห็นแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจที่จะลองขอดู “ฉันอยากเห็นใบหน้าของท่าน”

“เจ้าถอดหน้ากากภูตให้ข้าสิ” ราชันไพรสัณฑ์ลูบเสี้ยวแก้มของนางอย่างอ่อนโยนและแสนรัก

โสมเอื้อมมือขึ้นมาแตะที่หน้ากากภูตด้วยความลังเลก่อนจะค่อยๆ ดึงมันออกมาอย่างง่ายดาย พระเนตรที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวซึ่งมองเธออยู่นั้น มีอำนาจสะกดให้เธอต้องยอมสยบเพราะเป็นพระเนตรคู่ที่คมและดำสนิทที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา แต่เมื่อมีประกายแพรวพราวด้วยความรักและมีภาพสะท้อนของเธออยู่ในนั้น กลับทำให้แลดูอ่อนโยน

และแจ่มใสเหมือนหนุ่มน้อย พระขนงคมเข้มชี้ไปถึงขมับ พระนาสิกโด่งยาวและสมส่วน เมื่อรวมกับพระพักตร์คมคร้ามและพระโอษฐ์สีระเรื่อนั้นส่งผลให้ทรงเป็นราชันรูปงามเหมือนเทพจอมเจ้าชู้ที่มีกระไอสังหารอยู่เจือจาง

“งามหรือไม่” รับสั่งถามพลางแย้มยิ้ม พระทัยพองโตเมื่อเห็นว่านางชื่นชมพระองค์ผ่านทางแววตาของนาง

“ผู้ชายอะไรมาถามผู้หญิงว่าตัวเองงามหรือเปล่า” โสมกระแอมสองสามทีเพื่อกลบเกลื่อนความเขินก่อนจะหรุบตาลงหนีความเจิดจ้าของพระเนตรดำขลับที่เป็นเหมือนภาชนะบรรจุความรู้สึกแสนมากล้น “ห้ามเอาใบหน้านี้ไปให้แม่หญิงสูงศักดิ์ที่ไหนเห็นนะ… ล่มเมืองได้เลยทีเดียว”

“มีเพียงเจ้าเท่านั้น ที่จะได้เห็นใบหน้านี้จ้ะ” ทรงเชยคางนางแล้วบังคับให้นางสบพระเนตร การได้เห็นแววหวั่นไหวและสะเทิ้น อายของนางทำให้พระทัยของพระองค์ครวญหารัญจวน “ข้าขอ…”

ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งกระซิบด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์แสนเจ้าเล่ห์เจ้ากลก่อนที่จะประทานจุมพิตให้แก่นาง พระหัตถ์โบกไปบนม่านคลุมแท่นพระบรรทมทำให้ม่านสีดำค่อยๆ ทิ้งตัวลงอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวลปิดกั้นโลกภายนอกออกจากโลกแห่งความรักที่อ่อนละมุน วาบหวามและร้อนแรงสมกับที่ทรงรอคอยมานาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!