Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 42

ตอนที่ ๔๒

ตัวก่อกวน

“ใจเย็นๆ ก่อนนะท่านอา”

โสมรีบวางร่างของแม่หญิงศรีศุภางค์ซึ่งกำลังตกใจจนตัวแข็งลงกับพื้น แล้วถอยออกไปใกล้หน้าต่างเผื่อว่าคุณพ่อจอมหวงลูกสาวจะหน้ามืดลงมือกับเธอโดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรม “ท่านมองหน้าฉันดีๆ ฉันคือโสมอย่างไรล่ะ”

เจ้าเมืองกิติยืนเบิกตาโตตกตะลึงจนตัวแข็งอยู่ที่เดิมหลายอึดใจก่อนจะลดดาบเก็บเข้าฝักด้วยท่าทางประดักประเดิดแล้วงับประตูปิดดังปังกั้นสายตาสอดรู้สอดเห็น

โสมรีบปราดเข้าไปเชื้อเชิญท่านเจ้าเมืองอย่างพินอบพิเทาทั้ง ยังช่วยปัดฝุ่นบนแท่นให้ท่านนั่งอีกด้วย

“ทำไมถึงได้… หญิงไม่ใช่ ชายไม่เชิงเช่นนี้” เจ้าเมืองแห่งเกษมศานต์นครกระแอมเบาๆ บอกไม่ถูกว่ายามมองพระมเหสีโสมแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างเพราะความรู้สึกมากมายตีกันไปหมด

“ฉันใช้มนตร์แปลงกายน่ะ” โสมตอบพลางยิ้มประจบหลังจากเดินเลี่ยงไปนั่งข้างแม่หญิงศรีศุภางค์ที่ได้ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความโล่งอกจากสถานการณ์อันอกสั่นขวัญแขวน

“ข้าน่าจะทำเป็นจำหน้าเจ้าไม่ได้แล้วฟันเจ้าสักสองสามดาบ” เจ้าเมืองกิติแกล้งว่าเสียงเข้มเพื่อข่มขวัญ “ไพรสัณฑ์ได้บอกเจ้าเรื่องศรีศุภางค์แล้วหรือยัง”

“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” โสมถามหน้าเหรอหรา

“ขอเถอะนะ เจ้าช่วยแปลงกลับไปเป็นสตรีดังเดิมเถิด ข้าเห็นเจ้าในสภาพบุรุษเต็มตัวพูดจาคะขาแล้วรู้สึก… ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง” ท่านเจ้าเมืองบอกพลางกระแอมด้วยใบหน้าพิพักพิพ่วน

ทำให้สตรีทุกคนพากันเบือนหน้าไปแอบหัวเราะอย่างไร้เสียง เว้นก็แต่โสมที่หัวเราะเสียงดังทันที

“ถ้าแปลงกายกลับในตอนนี้ลมมันเย็นนะท่านอา เอาเป็นว่าฉันจะปรับโทนเสียงและพูดจาให้สมเป็นชายชาตรีเลย ดีหรือไม่” หญิงสาวบอกพลางทำหน้าทะลึ่งทะเล้น

“แค่คุยกับเจ้าไม่นานข้ายังปวดหัวถึงเพียงนี้ไพรสัณฑ์ต้องอยู่กับเจ้าชั่วชีวิต ไม่ทราบแน่ว่าจะปวดหัวแค่ไหน” เจ้าเมืองกิติบ่นพึมพำ รู้สึกเห็นใจราชันหนุ่มพระองค์นั้นขึ้นมาสุดจิตสุดใจ มาดว่าหากเข้าเฝ้าครั้งหน้าท่านจะแสดงความเห็นใจและจะทำดีต่อพระองค์ให้มาก “กลับมาที่เรื่องของศรีศุภางค์ สรุปว่าไพรสัณฑ์ยังไม่ได้บอกเจ้าใช่หรือไม่”

“ขอรับท่านอา” โสมปั้นมาดและน้ำเสียงนุ่มนวลกรุ้มกริ่มสมเป็นชายชาตรีผู้ทรงเสน่ห์ ทำให้เจ้าเมืองแห่งเกษมศานต์นครรู้สึกเวียนหัว อีกทั้งเมื่อเห็นนางหันไปหลิ่วตาให้นางรับใช้ที่หน้าแดงอุธัจขัดเขินไปก็ยิ่งรู้สึกคล้ายโลกหมุนติ้วและอยากจะไปเข้าเฝ้าราชันไพรสัณฑ์เพื่อแสดงความเห็นใจเสียเดียวนี้

“ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องที่ศรีศุภางค์ต้องการความช่วยเหลือใช่หรือไม่ขอรับ”

“เอ่อ… ก็ใช่” เจ้าเมืองกิติเริ่มรู้สึกตะขิดตะขวงเพราะท่านรู้สึกเหมือนกำลังพูดเรื่องของบุตรสาวต่อหน้าบุรุษที่มีท่าทางไม่น่าไว้ใจ “นางมักจะปวดท้องทรมานยามที่มีระดู บางครั้งรุนแรงถึงขั้นหมดสติ เป็นเช่นนี้ตั้งแต่นางเริ่มมีระดูเมื่อครึ่งปีก่อน”

“ขออภัยขอรับ ไม่ทราบว่าแม่หญิงศรีศุภางค์มีอายุเท่าไหร่แล้ว”

โสมถามก่อนจะหันไปยิ้มหว่านเสน่ห์ให้แม่หญิงคนงามที่เมินไปด้วยใบหน้าแดงกํ่า

“ปีนิ้สิบหก”

“หา! นี่หมายความว่าอีตาราชันนั่นจีบศรีศุภางค์ตั้งแต่เธออายุยังน้อยเลยหรือ อายุแค่นั้นยังเป็นวัยเยาวชนอยู่ด้วยนะ โคแก่หวังกินหญ้าอ่อนชัดๆ ทำให้จิตใจอันบริสุทธิ์ของเด็กสาวแปดเปื้อนอย่างนี้อภัยให้ไม่ได้!”

หญิงสาวได้รู้อายุของแม่หญิงคนงามแล้วก็แตกตื่นตกใจเป็นการใหญ่ ทำท่าจะลุกขึ้นเต้นผางแต่ถูกกำปั้นของผู้อาวุโสกว่าเขกลงมาบนศีรษะเสียก่อนจึงต้องกลับไปนั่งกุมหัวตัวเองน้ำตาเล็ด โดยมีแม่หญิงคนงามผู้ถูกกล่าวถึงนั่งปิดปากหัวเราะจนตัวสั่น

“สงบแล้วสินะ” เจ้าเมืองกิติพยักหน้าด้วยความพอใจ “ทีนี้หากเจ้ามีความคิดอะไรจะเสนอก็จงว่ามา อย่าเพิ่งนอกเรื่อง”

“ไม่เห็นจะต้องใช้กำลังรุนแรงกันเลยนี่นา เรื่องแค่นี้ค่อยๆ พูดจากันก็ได้นะขอรับ” หญิงสาวพูดด้วยโทนเสียงบุรุษแต่เพิ่มเติมหางเสียงสะบัดสะบิ้งอย่างที่คนฟังต้องหมั่นไส้แน่นอน

“อาการปวดท้องเวลามีระดูของผู้หญิงนี่ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากปวดท้องอย่างรุนแรงจนถึงขั้นหมดสติแปลว่าต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

“เรื่องนี้ไม่ต้องบอกข้าก็รู้” เจ้าเมืองแห่งเกษมศานต์นครกอดอกมองเจ้าหนุ่มซึ่งแท้จริงแล้วก็คือพระมเหสีในราชันไพรสัณฑ์ด้วยความหมั่นไส้ติดหมัด หากท่านไม่กอดอกรัดแขนตัวเองไว้ให้ดี มีหวังว่าคงได้เขกกะโหลกแข็งๆ นั่นอีกครั้ง เป็นแน่

“สถานที่ฉันจากมามีคำอธิบายถึงอาการปวดระดูอย่างรุนแรง[1] อยู่ มีวิธีการรักษาด้วยวิธีการที่ง่ายมากๆ” เธอแสร้งทำเป็นเล่นลิ้น เพื่อเป็นการแก้แค้นที่ถูกเขกจนเจ็บ เมื่อเห็นสีหน้าของพ่อลูกมีอาการเกร็งและอดกลั้น มากพอแล้วจึงค่อยพยักหน้าแล้วบอกด้วยความสบายอกสบายใจ “มีสามี มีลูก จบ”

————————————–

[1] dysmenorrhoea (นิสเมนนอเรีย)

 

โสมเงี่ยหูรอฟังเสียงอุทานอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อได้ยินเสียงสาวๆ ร้องอุทานกันจึงยิ้มออกมา แต่เมื่อเงี่ยหูไปยังทิศที่เจ้าเมืองกิตินั่งอยู่กลับไม่ได้ยินเสียงใด หญิงสาวจึงเหลือบขึ้น มองหน้าท่านอย่างระมัดระวังพบว่าท่านมีสีหน้าเรียบเฉย กระนั้น สัญชาติญาณของเธอก็ร้องบอกว่า อย่าได้เผลอเชียวนะ

“จะว่าไปแล้วตอนนี้เจ้าก็อยู่ในร่างบุรุษ” เจ้าเมืองเกษมศานต์พูดเสียงเรียบก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ดวงตาลุกเรืองรอง “เพราะฉะนั้น หากข้าจะถีบเจ้าสักทีสองทีคงไม่เป็นไร!”

โสมกระโจนออกจากที่นั่งทันทีทำให้สามารถหลบฝ่าเท้าใหญ่ๆ ของท่านเจ้าเมืองไปได้อย่างหวุดหวิด มีเสียงสาวๆ อุทานด้วยความตกใจไม่หยุดและฝ่าเท้าของท่านเจ้าเมืองก็ไล่ตามไม่หยุดเช่นเดียวกัน หญิงสาววิ่งหลบด้วยความหวาดเสียวและรู้สึกสนุกเล็กน้อย จนกระทั่งท่านเจ้าเมืองยืนหอบหมดแรงและได้แต่ชีมื้อชี้มือชี้ไม้ เธอจึงค่อยวิ่งไปที่หน้าต่างแล้วโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มก่อกวน

“ที่พูดน่ะเรื่องจริงนะ ขอเพียงศรีศุภางค์มีสามีแล้วก็มีลูกเสียรับรองว่าสามารถรักษาอาการปวดท้องเนื่องจากการมีระดูได้หายชะงัดข้าลาล่ะนะท่านอา” พูดจบโสมก็หันหลังกระโจนลงจากหน้าต่าง

เจ้าเมืองกิติและแม่หญิงศรีศุภางค์รีบวิ่งไปเกาะขอบหน้าต่างทันได้เห็นหลังของโสมวิ่งหนีไปไวไว

“ไพรสัณฑ์!” เจ้าเมืองกิติคำรามถึงบุคคลที่ท่านคิดว่าสมควรต้องร่วมรับผิดชอบกับโสม “รสนิยมการเลือกหาเมียของเจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ นางเป็นเจ้าตัวก่อกวนโดยแท้!”

สิบนาทีต่อมา ณ พระตำหนักสุริยัน ทหารภูตนายหนึ่งได้เข้าเฝ้าฯ เนื่องจากราชันไพรสัณฑ์คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าตราบใดที่โสมยังคงยืนได้มั่นคงนางจะไม่ยอมหยุดนิ่ง พระองค์จึงได้รับสั่งให้ทหารภูตอย่างน้อยสามนายคอยลอบติดตามดูแลนางอยู่ห่างๆ เมื่อมีทหารภูตขอเข้าเฝ้าฯ จึงทรงรู้ทันทีว่านางได้ก่อเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นแล้ว

“ว่ามาไม่ต้องมีพิธี” รับสั่งสั้น ๆ ด้วยพระสุรเสียงราบเรียบโดยไม่หยุดทรงงาน

“พระมเหสี อ่า… แปลงกายเป็นบุรุษปีนหน้าต่างลอบเข้าห้องแม่หญิงศรีศุภางค์แล้วถูกเจ้าเมืองกิติจับได้ ยังดีที่สถานการณ์คลี่คลายลงพระเจ้าค่ะ” ทหารภูตพูดเสียงสั่น “หลังจากนั้น ท่านเจ้าเมืองได้ปรึกษาพระมเหสีเกี่ยวกับเรื่องอาการเจ็บป่วยของแม่หญิงศรีศุภางค์ พระมเหสีรับสั่งตอบว่าให้แม่หญิง… อะแฮ่ม… มีสามีแล้วก็มีลูกเสียทำให้ท่านเจ้า

เมืองลุแก่โทสะ แต่พระมเหสีมีความคล่องตัวอย่างมาก ทรง… อะแฮ่ม…กระโจนหนีออกมาทางหน้าต่างพระเจ้าค่ะ”

“… อ้อ” ท่ามกลางเสียงนกร้องและเสียงลมพัดโชยผ่านยอดไม้ ราชันไพรสัณฑ์ทรงทำเสียงรับรู้ในลำพระสออย่างแผ่วเบาแต่พระอังสากลับสั่นระริก “ติดตามต่อไป”

“พระเจ้าค่ะ”

ทหารภูตได้ออกไปแล้ว ราชันหน้ากากภูตผินพระพักตร์ไปนอกบานพระแกล พระอังสายังสั่นอยู่หลายครั้ง และมุมพระโอษฐ์กระตุกด้วยอาการเกร็ง ทรงวางงานที่ทำอยู่แล้วพยายามเพ่งไปยังนอกบานพระแกลอย่างเต็มที่เพื่อที่จะหยุดยั้งองค์เองเอาไว้ แต่เพียงมีเสียงนกการ้องแตกตื่น การควบคุมองค์เองก็พังทลายลง ราชันหนุ่มทรงพระสรวลเสียงดังจนแทบเบิกฟ้าได้และยังคงทรงพระสรวลเช่นนั้นไปอีกนานทีเดียว

โสมมีเป้าหมายใหม่

หญิงสาวมุ่งเป้าหมายไปยังโรงผลิตอาวุธเพื่อที่จะไถ่ถามถึงอาวุธที่สั่งทำไปเมื่อนานมาแล้ว เธอไม่คิดว่าช่างฝีมือจะทำได้สำเร็จเพราะการผลิตอาวุธเป็นวิทยาการที่ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษมากมาย เพียงแต่ว่าหากมีการริเริ่มก็จะค่อยๆ มีการพัฒนาได้ต่อไป และอาจสำเร็จได้ในสักวัน ไม่คาดว่าเพียงเธอโผล่หน้าเข้าไปให้เหล่าช่างเห็น พวกเขาต่างพากันทิ้ง งานแล้ววิ่งกรูกันเข้ามาแบกหามเธอไปยังสนามทดลองอาวุธ

“ท่านราชองครักษ์ ท่านหายไปไหนมา ไม่รู้เลยหรือว่าพวกข้ารอคอยท่านมานานเหลือเกิน” นายช่างใหญ่รัวถามด้วยความตื่นเต้นแล้วหันไปส่งเสียงสั่งล้งเล้งใส่กันเองโดยไม่สนใจฟังคำตอบแม้แต่น้อย รอบกายของเธอมีแต่คนวิ่งหอบข้าวของกันวุ่นวายจนเธอไม่มีโอกาสได้พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ

ไม่มีโอกาสพูดแม้กระทั่งว่าตัวเองไม่ได้มีตำแหน่งเป็นท่านราชองครักษ์โสมอย่างในวันวานอีกแล้ว!

“ท่านเป็นเทพแห่งอาวุธโดยแท้ วิธีที่โลหะแหลมเล็กตอกลงบนช่องกระสุนที่บรรจุดินปืนแล้วเหล็กรูปเกลียวก็ออกแรงส่งให้กระสุนพุ่งออกไปด้วยความแรงและเร็วเป็นความมหัศจรรย์ที่พวกเราไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นไปได้มาก่อน กระสุนนี่สามารถผ่านเนื้อหนังหรือแม่แต่ทำให้ไม้แตกหักได้ อานุภาพรุนแรงนี้สามารถจัดการศัตรูได้อย่างรวดเร็วจริงๆ”

“เอาล่ะๆ ฉันเข้าใจว่าท่านตื่นเต้นดีใจที่ฉันมาและตื่นเต้นที่อาวุธมีอานุภาพรุนแรง แต่ช่วยอธิบายให้เข้าใจทีว่าพวกท่านแห่พาฉันมาที่นี่ทำไม” โสมถามแล้วผงะหนีเมื่อช่างใหญ่หันไปหยิบปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์มาให้แทบจะทิ่มหน้า แต่หญิงสาวไม่ถือสาเพราะเมื่อรับมาถอดอุปกรณ์ดูแล้วพบว่าทุกชิ้นส่วนแนบสนิทกันอย่างสวยงามและมั่นคง

ปลอดภัยจนอาจสามารถเอามาใช้จริงได้

“พวกท่านทำได้ยังไงน่ะ นี่มันวิเศษมาก! ถ้ามันสามารถใช้งานได้จริงก็ถือว่ากณวรรธน์นครมีช่างฝีมือที่

มีความสามารถมากที่สุดในแผ่นดินเลยนะ!”

“ชมเกินไปขอรับท่านราชองครักษ์” บรรดาช่างฝีมือกระแอบกลบเกลื่อนความเขิน เพราะการผลิตอาวุธชนิดที่ท่านราชองครักษ์โสมให้แบบมานั้น เป็นงานยากที่ท้าทายความสามารถและเป็นงานชิ้นเอกในชีวิตของทุกคนที่ทำงาน “พวกเราไม่รู้วิธีการใช้งานที่ถูกต้อง ขอให้ท่านแสดงวิธีใช้ให้พวกเราดูด้วยขอรับ”

โสมหัวเราะร่าด้วยความยินดีแล้วลงมือประกอบปืนยิงไปยังยอดเสาสำหรับฟันลองคมดาบ เนื้อไม้แตกกระจายในทันที โสมสัมผัสได้ว่าการสะบัดของปืนไม่มากจนทำให้การเล็งเป้าหมายคลาดเคลื่อน และอาวุธได้ถูกประกอบอย่างแน่นหนาปลอดภัยอย่างที่คิดจริงๆ

ปืนลูกซองสั้นไทยประดิษฐ์ใช้งานได้!

หลังจากนั้น โสมได้ลองอาวุธทุกชนิดด้วยความตื่นตาตื่นใจทั้ง ปืนไรเฟิลรุ่งไพศาล RPS-001 หน้าไม้ยิงฉมวกและรอกสำหรับโรยตัว แต่น่าเสียดายที่ปืนรุ่งไพศาล RPS-001 มีความเสี่ยงมากเกินกว่าที่จะนำไปใช้ ดังนั้น เธอจึงต้องปลอบขวัญและให้กำลังใจเหล่านายช่างเป็นการใหญ่พร้อมทั้งบอกปัญหาที่เผชิญเวลาใช้อาวุธเพื่อให้พวกเขานำกลับไป

ปรับปรุงแก้ไขต่อไป

“ปืนไรเฟิ่นที่ท่านราชองครักษ์บอกว่ายังมีความเสี่ยงอยู่นั้น พวกข้าได้ทำการผลิตขึ้นอีกหลายกระบอกเสียแล้ว” นายช่างใหญ่เรียกชื่อปืนเพี้ยนไปเพราะไม่ชินกับภาษา

“ก็ยังไม่ต้องทำอะไรกับพวกมัน ท่านแก้ปัญหาตรงที่ฉันบอกท่านให้ได้ก่อน พอเจอปัญหาแล้วค่อยแก้ไขปืนทั้งหมดก็ได้” โสมตบไหล่นายช่างเพื่อปลอบใจ “แต่วันนี้เห็นทีฉันจะอยู่เฉยไม่ได้ละ ขอแรงพวกท่านช่วยกันขนอาวุธที่สามารถใช้งานได้ไปยังลานฝึกของทหารภูตเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะเรียกรวมพลฝึกอาวุธให้พวกเขา”

“จริงหรือขอรับ!” เหล่าช่างพากันร้องถามเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้น

“จริงสิ!” โสมเข้าใจว่าตอนนี้เหล่านายช่างรู้สึกอย่างไร “คิดดูนะว่าผลงานชิ้นเอกของท่านถูกนำไปให้เหล่าทหารภูตทำการฝึกใช้เพื่อเป็นอาวุธปกป้องราชันเชียวนะ พวกท่านน่ะยิ่งใหญ่มาก”

เมื่อเห็นดวงตาและท่าทางภูมิอกภูมิใจของพวกเขา โสมเชื่อว่าหากเธอต้องการขอร้องให้พวกเขาขนอาวุธทั้งคลังออกมาพวกเขาก็ทำให้เธอได้ ด้วยเหตุนี้เมื่อเธอย่างเข้าสู่ลานฝึกทหารภูตพร้อมกับกองทัพเหล่าช่างจึงมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นเล็กน้อยเพราะเหล่าทหารภูตคิดว่าจะมีการโจมตี

แต่เมื่อเธออธิบายให้พวกเขาเข้าใจและประกาศว่าจะทำการฝึกให้พวกเขาใช้อาวุธชนิดใหม่ เหล่าช่างและเหล่าทหารภูตกลับช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี ทำให้เธอนึกถึงการทำงานอย่างเป็นทีมขึ้นมาและเกิดความคิดที่แสนจะวิเศษได้อย่างหนึ่ง

“ก่อนที่พวกท่านจะฝึกอาวุธ พวกท่านต้องต้องฝึกปฏิบัติการจู่โจมร่วมกับเสือสมิงของฉันเสียก่อน” โสมประกาศก้องทำให้บรรยากาศสนิทสนมกลมเกลียวกลายเป็นหยุดนิ่งซึ่งเป็นที่พอใจของหญิงสาวในระดับหนึ่งเพราะจะไม่มีเสียงพูดคุยกลบเสียงของเธอ “มีความเป็นไปได้สูงที่ทหารภูตต้องอาศัยพละกำลังของเสือสมิงในการปฏิบัติภารกิจที่กำลังจะใกล้เข้ามาเพราะฉะนั้น ฉันจะให้พวกท่านทุกคนทำความคุ้นเคยกับเสือสมิงและให้พวกเขาเลือกว่าจะเข้าร่วมกลุ่มกับกลุ่มไหน มีใครจะคัดค้านไหม”

“เสือสมิงไม่ใช่สัตว์ที่ใครจะทำงานร่วมได้โดยง่าย นอกจากครูและราชันไพรสัณฑ์ กระผมไม่เคยเห็นว่าเสือสมิงจะยอมซื่อตรงกับใครแม้แต่กับพรานที่เลี้ยงพวกเขาอยู่ก็ยังต้องมีวิชาอาคมแกร่งกล้ามิเช่นนั้น ก็อาจตกเป็นเหยื่อของเสือสมิงได้เหมือนกัน” ทหารภูตนายหนึ่งรับอาสาจากพรรคพวกเพื่อเอ่ยแย้ง

“ถ้าอย่างนั้น ฉันจะคุยกับพวกเขาและจะฝึกให้พวกเขายอมรับพวกท่านเป็นพวกพ้อง ฉันรู้ว่าพวกท่านคิดว่ามันเป็นไปได้ยากแต่นี่คือเรื่องที่อาจมีความจำเป็นในอนาคต” หญิงสาวกวาดตามองทหารภูตทุกนายซึ่งเคยได้รับการฝึกวิชาการต่อสู้จากเธอมาแล้ว

“การฝึกครั้งนี้อาจจะอันตรายพอๆ กับที่พวกท่านเผชิญหน้ากับศัตรู แต่เพื่อเป้าหมายของกณวรรธน์นครแล้วพวกท่านจำเป็นต้องทำ”

“ครูไม่ได้ให้ทางเลือกพวกเราเลย” ทหารภูตนายหนึ่งพูดอย่างเพลียใจ “แต่กระผมขอเอาด้วย ให้มันรู้ไปสิว่าตัวกระผมที่ผ่านการฝึกทหารภูตมาแล้วจะไม่สามารถชนะได้แม้กระทั่งใจของเสือสมิง”

เมื่อมีเสียงหนึ่งเปิดทางย่อมมีอีกหลายๆ เสียงตอบกลับมา เหล่าช่างฝีมือต่างยืนนิ่งงันด้วยความซาบซึ้ง และเกรงว่าหากขยับตัวเพียงนิดจะเป็นการรบกวนบรรยากาศอันสมัครสมานสามัคคีนี้ท่านราชองครักษ์โสมซึ่งยืนกอดอกยิ้ม ละไมอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารภูตที่ฮึกเหิมนั้น ดูแล้วท่านช่างเปล่งประกายและแผ่รัศมีแห่งอำนาจอย่างที่พวกเขาไม่สามารถมองท่านตรงๆ ได้

นั่นทำให้พวกเขาตระหนกว่าท่านราชองครักษ์โสมเป็นเพียงราชองครักษ์คนหนึ่งเท่านั้น แน่หรือ!

“พวกท่านมีจิตใจที่กล้าแกร่งประดุจเหล็กไหลเช่นนี้ทำให้ฉันรู้สึกยกย่องจากใจจริง เป็นบุญของกณวรรธน์นครแล้วที่มีคนเช่นพวกท่านอยู่”

โสมพยักหน้าน้อยๆ สีหน้าและบุคลิกมั่นคงหนักแน่นน่าประทับใจผู้มองนัก จิตใจของเหล่าทหารภูตคล้ายจะฮึกเหิมขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

“เป็นเกียรติอย่างสูงสุดของพวกเราเช่นกันที่มีครูผู้เป็นเอตทัคคะเช่นนี้” ทหารภูตนายหนึ่งถูกบุคลิกหนักแน่นมั่นคงของโสมทำให้ความนับถือจนต้องเปล่งออกมาเป็นคำพูด

“ครูเป็นถึงหัวหน้ากองกำลังทหารเสือรั้งตำแหน่งท่านราชองครักษ์ประจำพระองค์ ทุ่มเทเพื่อกณวรรธน์นครไม่

แพ้บุรุษ ทั้งยังเป็นพระมเหสีในราชันไพรสัณฑ์ สตรีผู้มากความสามารถเช่นพระองค์กลับลดตัวลงมาคลุกคลีกับพวกเราอย่างไม่ถือพระองค์ เช่นนี้ย่อมเรียกเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็นเกียรติอย่างสูงสุดของพวกเราแล้วพระเจ้าค่ะ”

เหล่าทหารพากันโค้งตํ่าทำความเคารพอย่างทหารภูต เป็นภาพที่ทำให้คนเห็นต้องตะลึงจังงังหากว่าพวกเขาไม่ได้ตกตะลึงจังงังไปเพราะเรื่องอื่นเสียก่อน

“พวกท่าน! พวกท่านบอกว่าท่านราชองครักษ์โสมเป็น… เป็นพระมเหสีในราชันไพรสัณฑ์อย่างนั้น หรือ!” นายช่างใหญ่ถามเสียงแหบเปี่ยมไปด้วยความแตกตื่นพอๆ กับที่นายช่างคนอื่นเป็น บางทีพวกเขาอาจสามารถตะลึงจังงังได้มากกว่านี้อีก แต่นอนนอนว่าพวกเขาขอภาวนาว่าไม่ให้มันเกิดขึ้น

“ใช่” ทหารภูตตอบสั้น ๆ

“พอดีฉันเป็นพระมเหสีเถื่อนน่ะ ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง อย่างเป็นทางการ” โสมอธิบายยิ้มๆ รู้สึกสนุกเมื่อเห็นสีหน้าของคนเปลี่ยนไปมาได้อย่างรวดเร็วอยู่ตรงหน้า

“แต่ท่านราชองครักษ์เป็นบุรุษมิใช่หรือขอรับ!”

“อ้อ… เนี่ยน่ะหรือ” หญิงสาวก้มลงมองร่างกายเยี่ยงชายชาตรีของตน “มนตร์แปลงกายน่ะ รู้แล้วให้เก็บเงียบไว้ก่อนนะ ห้ามบอกใครเด็ดขาดเชียว มิเช่นนั้น ฉันจะตัดลิ้นท่านเสีย เข้าใจหรือไม่”

ทุกคนพากันพยักหน้าตอบอย่างโง่งม นายช่างใหญ่อ้าปากพะงาบๆ เช่นเดียวกับนายช่างคนอื่น ใบหน้าของพวกเขาขาวสลับเขียวเป็นสีสันที่น่าดูชมมาก เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น นายช่างใหญ่ก็เป็นลมล้มตึงไปต่อหน้า

โสมจึงออกคำสั่งให้เหล่านายช่างช่วยกันพานายช่างใหญ่กลับไปพักที่เรือนเนื่องจากที่นี่จะเป็นเขตอันตรายนับแต่นี้เป็นต้นไป ทำให้เหล่านายช่างซึ่งมีอาการเข่าอ่อนเปลี้ย จากความจริงอันไม่คาดฝันต้องรีบพากันจากไปอย่างแตกตื่น

“เอาล่ะ ตอนนี้ถึงเวลาของพวกเราแล้ว” โสมหันมายิ้มสดใสให้แก่ทหารภูตทุกนาย “ยินดีต้อนรับสู่กองกำลังทหารเสือ! ขอให้พวกท่านทำความรู้จักกันด้วยความรักและความเอ็นดูนะ!”

พูดจบมนต์ย่อจักวาลก็ปรากฏขึ้น ตรงหน้าพร้อมกับฝูงเสือสมิงจำนวนกว่ายี่สิบตัว พากระโจนออกมาด้วยท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออย่างจริงจังไม่แพ้ผู้เป็นหัวหน้ากองกำลัง แต่ทหารภูตเช่นพวกเขากำลังพยายามงัดวิชาพรางตัวขึ้น มาใช้เป็นอันดับแรกเพราะหากยืนนิ่งเฉยต่อไป ไม่ทราบว่าจะมีทหารคนใดเผลอให้เสือสมิงตะปบเล่น!

สิบนาทีต่อมา ณ พระตำหนักสุริยัน ราชันไพรสัณฑ์กำลังทรงงานอย่างเคร่งเครียดจริงจังเป็นเท่าตัวเพื่อชดเชยเวลาที่เสียให้กับการหัวเราะให้กับวีรกรรมก่อกวนความสงบของโสม เมื่อมหาดเล็กขานว่าทหารภูตขอเข้าเฝ้าฯ อีกครั้ง ทำให้พระองค์อดที่จะแย้มพระโอษฐ์เป็นรอยยิ้ม ไม่ได้

คราวนี้นางทำอะไรอีกล่ะ

“ราชัน!” ครั้งนี้ทหารภูตเข้ามากราบบังคมทูลท่าทางร้อนใจ “พระมเหสีเรียกเสือสมิงออกมาเพื่อฝึกร่วมกับเหล่าพี่น้องทหารภูตพระเจ้าค่ะ ตอนนี้สถานการณ์รุนแรงมาก พี่น้องทหารภูตกำลังหลบหนีการตามล่าหาตัวของเหล่าเสือสมิงอยู่พระเจ้าค่ะ”

“… อ้อ” ราชันไพรสัณฑ์ทำเสียงรับรู้ในลำพระศอเบาๆ แล้วรับสั่งคำสองคำเพื่อให้ทหารภูตนายนี้ได้สบายใจ “ไม่ต้องเป็นห่วง นางไม่ปล่อยให้เหล่าเสือสมิงทำอะไรพวกเขาแน่”

“แต่ตอนนี้เหล่าทหารภูตทำได้เพียงแค่ซ่อนตัวจากการตามล่านะพระเจ้าค่ะ”

“… อ้อ ไม่เป็นไรหรอก ทำหน้าที่ของเจ้าต่อไปเถอะ” ทรงโบกพระหัตถ์ไล่ ดังนั้นทหารภูตผู้ร้อนใจจึงทำอย่างอื่นไม่ได้น้องจากสนองรับสั่ง

ทันทีที่คล้อยหลังทหารภูตผู้ติดตามอารักขาพระมเหสีโสม ราชันผู้เยือกเย็นก็ทรงพระสรวลอย่างหนักจนพระวรกายหอบโยน

นี่เจ้ากำลังพาทหารของข้าเล่นซ่อนแอบกันหรืออย่างไรฮึโสม!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!