ตอนที่ ๔๔
ไม่ชอบมาพากล
กณวรรธน์นครต้อนรับวันใหม่ด้วยความน่าสะพรึงกลัว ราชันไพรสัณฑ์และโสมถูกปลุกขึ้น จากนิทราที่แสนหวานเพื่อที่จะรับข่าวว่ามีคนเป็นถูกกระทำทารุณผูกมัดร่างประจานที่ลานกลางเมืองอีกแล้ว แต่ครั้งนี้เหยื่อยังมีชีวิตอยู่และไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะมีอาคมป้องกันลงเอาไว้อย่างแน่นหนา
ชาวเมืองจึงต้องทนฟังเสียงกรีดร้องโหยหวนชวนสยองขวัญของเขาจนพากันอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วทุกหัวระแหงและเริ่มเกิดข่าวลือเสียหายขึ้น อย่างรวดเร็วเป็นไฟลามทุ่ง
ราชันไพรสัณฑ์ตัดสินพระทัยให้ทหารภูตไปจัดการเรื่องนี้แล้วนำตัวผู้บาดเจ็บไปรักษาที่หน่วยแพทย์ที่ตั้งอยู่นอกวัง
โสมเสนอตัวขอออกไปปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่าถูกห้ามปรามแต่หญิงสาวอ้างเหตุผลว่าตนรู้จักรูปแบบการกระทำของอาชญากรจึงมีประโยชน์ต่อคดีนี้ พระองค์จึงต้องหักพระทัยยินยอมให้เธอปฏิบัติภารกิจได้ แต่ถึงอย่างนั้น เวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบถึงยามเที่ยงเพราะทรงยืนกรานให้เธอจัดการธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยทุกอย่างก่อน
โสมแต่งกายด้วยชุดทหารภูตและสวมหน้ากากภูตเต็มหน้าตามที่ราชันไพรสัณฑ์กำชับกำชามาอย่างเคร่งครัด ดังนั้น เมื่อเหล่าชาวเมืองเห็นเธอซึ่งสวมหน้ากากภูตอยู่ท่ามกลางหมู่ทหารภูต ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือก็สงบลง เข่าของทุกคนงอลงกระแทกกับพื้น และพากันก้มหัวศิโรราบ
“ทางนั้น พระเจ้าค่ะ” ทหารภูตกระซิบเบาๆ แล้วชี้ไปยังเสาไม้ที่ถูกปักลงดินอย่างแน่นหนา ที่ปลายยอดเสานั้น คือร่างที่เต็มไปด้วยรอยเฆี่ยนตีและเลือดอาบร่างแดงฉาน เขาส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดไม่หยุดและเพ้อออกมาไม่ได้ศัพท์ด้วยความหวาดกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น
เธอพยายามเพ่งมองใบหน้าของชายคนนั้น แต่เพราะผมเผผ้ารุงรังและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยไหม้แดงคล้ำ ทำให้มองลำบาก
“ฉันจะไปดูอาคมป้องกัน” หญิงสาวบอกความประสงค์เพราะถูกเหล่าทหารภูตล้อมหน้าหลังจนกระดิกไม่ได้
“ให้เกล้ากระหม่อมไปดูเองดีกว่าพระเจ้าค่ะ” ทหารนายหนึ่งเสนอตัว
“กล้าแย้งฉันต่อหน้าชาวเมืองอย่างนั้นหรือ” เธอใช้ไม้ตายเพราะพอจะคาดเดาได้แล้วว่าทหารภูตทุกนายถูกพระสวามีกำชับให้กันเธอออกจากทุกสิ่งที่อาจเป็นอันตรายได้ เธอเข้าใจในความเป็นห่วงเป็นใยแต่พระองค์ต้องปล่อยให้เธอทำงานของเธอ
“หามิได้พระเจ้าค่ะ”
ด้วยเหตุนี้โสมจึงได้ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าที่เกิดเหตุ หญิงสาวหยิบเม็ดหินแถวนั้นขึ้น มาหนึ่งเม็ดแล้วโยนเข้าไป ปรากฏว่าเม็ดหินถูกสายฟ้าที่มองไม่เห็นฟาดใส่และถูกกำแพงที่มองไม่เห็นกางกั้น ให้กระเด็นกลับออกมา คราวนี้เธอลองโยนขึ้นไปสูงๆ พบว่าก้อนหินสามารถผ่านเข้าไปได้จึงล่าถอยออกมาท่ามกลางความโล่งใจของเหล่าทหารภูต
“ประทับนั่งในร่มเถิดพระเจ้าค่ะ” ทหารนายหนึ่งกระซิบบอก ทำให้โสมฉุนนิดๆ
“ฉันมาทำงานนะ ไม่ได้มาชมการแสดงปาหี่ที่พวกท่านต้องไปหาที่ร่มและที่นั่งสบายๆ ให้ฉันน่ะ” โสมดุเสียงเข้ม “ฉันพอจะเดาออกว่าพวกท่านถูกกำชับมาให้ดูแลฉันเป็นอย่างดี แต่งานนี้ฉันเชื่อว่าฉันจัดการได้ พวกท่านเชื่อในตัวฉันหรือไม่”
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า” เหล่าทหารต่างพากันกลัดกลุ้มใจ อีกพระองค์ก็กำชับให้ดูแลเป็นอย่างดี ส่วนอีกพระองค์ก็ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ทราบผู้น้อยจะทำอย่างไรได้แล้ว
โสมเริ่มหงุดหงิดอารมณ์เสีย ดังนั้นเหยื่ออารมณ์ของเธอจึงเป็นเขตอาคมตรงหน้า เธอบอกให้ทหารภูตต้อนชาวเมืองออกนอกบริเวณซึ่งเหล่าชาวเมืองลนลานทำตามแต่โดยดี กระนั้นก็ยังเดินวนเวียนอยู่รอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“เตือนแล้วนะว่าให้ออกนอกบริเวณ” หญิงสาวพึมพำงุ่นง่าน ด้วยพรของแม่หญิงจันทรวดีเมื่อเธอโบกมือบนอากาศพร้อมแสดงเจตจำนงกำหนดจิตเรียกสายฟ้า ไม่นานสายฟ้าสายใหญ่ก็ผ่าลงมายังข่ายอาคมโดยแรงทำให้เกิดเสียงดังเปรื่องกึกก้องคล้ายแก้วแตก พื้นดินสั่นสะเทือนและมีแสงสว่างจ้าจนจ้องมองตรงๆ ไม่ได้ ก่อนที่แสงจะค่อยๆ เลือน
หายไป ปรากฏภาพธรณีแยกเป็นหลุมลึกดูน่าหวาดกลัวทำให้ชาวเมืองผู้ขวัญเสียต่างพากันกรีดร้อง ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของเหยื่อกับเสียงของชาวเมืองสอดประสานกันจนเธอเวียนหัว
“เงียบเดี๋ยวนี้! ” สิ้นเสียงตวาดอย่างเข้มงวดดังก้องฟ้าของโสม
เสียงกรีดร้องของชาวเมืองพลันเงียบสงบเหลือเพียงเสียงดังขลุกขลักในลำคอเบาๆ เท่านั้น หญิงสาวพยักหน้าด้วยความพอใจขณะรอให้ทหารภูตซึ่งกำลังนำตัวเหยื่อลงมาอย่างรู้งาน “ร้องเสียงดังได้ขนาดนั้น แปลว่ายังไม่ตาย พวกท่านแบ่งกำลังส่วนหนึ่งพาเขาไปรักษาที่หน่วยแพทย์ตามรับสั่งของราชัน อีกส่วนหนึ่งอยู่กับฉันที่นี่”
“พระเจ้าค่ะ” เหล่าทหารภูตน้อมรับเสียงดังเข้มแข็งแล้วปฏิบัติตามพระเสาวนีย์อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะได้เรียกอาคมย่อจักรวาลพาร่างคนเจ็บไปรักษากลับถูกพระมเหสีรั้ง เอาไว้ก่อน
“เดี๋ยว! ขอฉันดูหน้าเขาชัดๆ ทีสิ” โสมยืนตัวแข็งไปชั่วครู่ทีเดียวเมื่อเห็นเสี้ยวหน้าที่ถูกแดดเผาไหม้นั้นก่อนจะขยับเข้าไปจ้องใกล้ๆ
อารมณ์ความรู้สึกอันหลากหลายประดังประเดเข้ามาจนหญิงสาวเกือบตั้งตัวไม่ติด แต่เมื่อต่อสู้กับอารมณ์เหล่านั้น จนได้รับชัยชนะแล้ว ความสุขุมก็เข้ามาแทนที่ ทำให้เธอนิ่งและปราศจากความกลัว “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”
“พระมเหสี?”
“ไม่มีอะไร” โสมส่ายหน้าเบาๆแล้วลุกขึ้น ยืน “ดูแลให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ตายไปเสียก่อนที่ฉันจะได้มอบความตายให้กับเขาด้วยมือของฉันเอง!”
“พระเจ้าค่ะ” หลังจากตกตะลึงอยู่อึดใจหนึ่งทหารภูตจึงได้สติน้อมรับพระเสาวนีย์ก่อนจะพาตัวคนเจ็บที่ยังคงส่งเสียงร้องโหยหวนไปทำการรักษา
“แผ่นดินที่แยกออกจากกันนี้…” ทหารภูตนายหนึ่งรำพึงออกมาด้วยความกลัดกลุ้มแต่โสมเข้าใจความหมาย หญิงสาวกำหนดจิตแสดงเจตจำนงโดยอาศัยพรอันประเสริฐให้แผ่นดินที่แยกออกจากกันเคลื่อนตัวมาบรรจบกันดังเดิม
“เรียกให้สันติบาลมาตรวจสอบและเก็บหลักฐานเสีย” โสมบอกเสียงเรียบก่อนจะก้าวออกไปยืนต่อหน้าชาวเมืองกณวรรธน์โดยมีทหารภูตทั้ง หมดยืนอารักขาเกิดเป็นภาพอันน่าเกรงขามที่ทำให้คนมองระย่นย่อ
รัศมีบางอย่างที่แผ่ออกจากกายของโสมเปล่งประกายจนไม่อาจมองได้ตรงๆ อีกทั้งยังกดดันให้ทุกคนต้องเข่าอ่อนลงคุกเข่าแทบพื้น พร้อมเหงื่ออันเย็นเยียบ
“ฉันคือราชองครักษ์โสมแห่งราชันไพรสัณฑ์และดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารพยัคฆ์ทมิฬ!” คำประกาศของโสมทำให้เกิดเสียงคลื่นหนึ่งเพราะชาวเมืองต่างไม่มีวันลืมเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลซึ่งโสมเป็นผู้กล่าวอ้างความรับผิดชอบในคืนกระหายเลือดได้ เหตุการณ์นั้นทำให้ชาวเมืองทั้ง ยำเกรงและนับถือโสมในคราวเดียวกันเพราะบุคคลที่ตายไปกดขี่ข่มเหงชาวเมืองเอาไว้มากเหลือเกิน
“หากใครพูดจาล่วงเกินราชัน ฉันจะสาปแช่งให้ปากเน่าจนกว่าจะได้รับพระกรุณาอภัยโทษ!”
ท้องฟ้าร้องคำรามเสียงกร้าวเป็นการตอบรับคำสาปแช่งของโสมทำให้ชาวเมืองเกิดความครั่นคร้ามจนต้องก้มลงแนบหน้าลงกับพื้นด้วยอาการตัวสั่น ในใจอึงอลว่าผู้ที่สวมหน้ากากภูต มีรัศมีรอบกายน่าเกรงขามและแผ่อำนาจบารมีเช่นนี้หรือจะเป็นเพียงข้าราชบริพารในราชันไพรสัณฑ์ เมื่อรวมกับที่พวกเขาได้ยินว่าทหารภูตขานรับอย่างเชื้อพระวงศ์แล้วยิ่งทำให้พวกเขาแน่ใจว่าคนผู้นี้ย่อมมีที่มาไม่ธรรมดาเป็นแน่
“หน้าที่ของเราจบลงแล้ว” โสมหันไปพูดกับเหล่าทหารภูตด้วยน้ำเสียงกังวานและเข้มงวด “กลับ!”
“พระเจ้าค่ะ!”
มนต์ย่อจักรวาลถูกเหล่าทหารภูตรวมกำลังกันเรียกใช้ สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของทุกคนก็คือโสมและเหล่าทหารภูตเดินหายเข้าไปในหลุมดำมืดหลุมใหญ่กลางอากาศก่อนที่มันจะหดรัดหายไปในเวลาต่อมาราวกับไม่เคยมีสิ่งใดมาก่อน ปฏิบัติการอันสั่นสะเทือนฟ้าดินครั้งนี้ทำให้เกิดเสียงล่ำลือด้วยความยำเกรงเกี่ยวกับโสมยิ่งขึ้น ทำให้ภาพพจน์ของเธอ
กลายเป็นปีศาจร้ายในเวลาต่อมา
ธรรม์ซึ่งร่ายอาคมพรางกายยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในมุมมืดยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น ชายหนุ่มแน่ใจแล้วว่าบุคคลที่สวมหน้ากากภูตและเอ่ยสาปแช่งด้วยความกร้าวกระด้างนั้นก็คือโสม เหตุผลที่เขาตามหานางไม่พบก็เป็นเพราะนางอยู่ในพระราชวัง
แต่ที่เขาไม่เข้าใจก็คือทำไมนางถึงได้กลับไปจงรักภักดีกับคนที่สั่งสังหารนางได้ และทำไมนางจึง
ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเชื้อพระวงศ์คนหนึ่ง เขาแน่ใจว่านางไม่ใช่คนโลภ ดังนั้นต้องไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่นางต้องการได้รับฐานันดรศักดิ์จึงยอมเข้าพวกกับราชันไพรสัณฑ์เป็นแน่ แต่อาจเป็นเพราะถูกราชันไพรสัณฑ์บีบบังคับจนหมดทางเลือกอีกทั้งนางยังเข้าใจผิดคิดว่าเขาทำร้ายนาง สุดท้ายนางจึงได้ทำเพื่อประชดประชันเขาหรืออาจต้องการรอโอกาสแก้
แค้นไพรสัณฑ์ก็เป็นได้
ธรรม์ล่าถอยออกจากบริเวณนั้นเพราะไม่อยากอยู่ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์โสมของชาวเมืองและเพื่อจะหาที่อันเงียบสงบเพื่อครุ่นคิดหาวิธีการ ครั้งนี้เขาใช้น้องชายเป็นเหยื่อล่อให้นางออกมาได้ แต่ครั้งหน้าเขาจะใช้อะไร สิ่งที่พอจะดึงดูดความสนในของนางได้น่าจะเป็นเพียงการก่อการร้าย แต่การที่จะแยกนางออกจากเหล่าทหารภูตนั้น เป็นเรื่องยาก
และเขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้กับทหารภูตในตอนนี้ บุกเข้าไปในพระราชวังเลยดีหรือไม่
ชายหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดอันโง่เขลาของตน หากเขาบุกเข้าไปในพระราชวังโดยไม่รู้ทางหนีทีไล่ก็เท่ากับพากำลังพลเข้าถ้ำเสือไปหาความตาย แต่การที่จะเข้าถึงตัวนางแล้วนอกจากวิธีนี้คงไม่มีวิธีอื่น เขาคงต้องไปเร่งรัดให้คนของท่านกรวิกนำแผนที่พระราชวังมาให้และสืบหาที่อยู่ของนางให้เขาโดยเร็ว เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วความร้อนรุ่มก็สุมอยู่ในใจจนอดรนทนไม่ได้
ธรรม์เปลี่ยนที่หมายไปยังเรือนของท่านกรวิกทันที เมื่อเดินออกมาพ้นบริเวณคนพลุกพล่านแล้วเหล่าผู้ติดตามที่แฝงตัวอยู่รอบๆ ก็พากันเข้ามาสมทบอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งถึงที่หมาย เขาเอ่ยรหัสลับบางอย่างให้แก่ผู้เฝ้าประตูทราบ รอเพียงไม่นานคนทั้ง หมดก็ได้ก้าวเข้าสู่เรือนของอดีตตุลาการ
เจ้าของเรือนนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ชานเรือนและได้เชิญให้ธรรม์นั่งร่วมด้วย ขันน้ำฝนชุ่มฉ่ำและอาหารว่างถูกยกมาต้อนรับอย่างรวดเร็วบ่งบอกถึงความมีระเบียบของข้าทาสในเรือน ชายหนุ่มยกน้ำขึ้นดื่มโดยไม่แตะต้องของว่างพลางเหลือบสังเกตทุกสิ่งรอบกายอย่างประเมิน
“ท่านมาหาข้าถึงเรือน คงมีธุระสำคัญสินะ” ท่านกรวิกวางหนังสือลงเพื่อพูดกับธรรม์ ดวงตาเหลือบมองไปยังบรรดาผู้ติดตามของอีกฝ่ายแล้วไปสะดุดอยู่ที่ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่จงใจสบตากับท่านก่อนที่ต่างฝ่ายต่างหลุบตาลงเพื่อซ่อนประกายตาเอาไว้
“ข้าอยากได้แผนที่พระราชวังโดยเร็วและอยากทราบว่าท่านราชองครักษ์โสมพักอยู่ที่ไหน” ธรรม์ร้อนใจเกินกว่าที่จะพูดอ้อมค้อม
“สำหรับแผนที่พระราชวังคงไม่อาจให้ท่านได้ในเร็ววันนี้ส่วนเรื่องที่อยู่ของท่านราชองครักษ์คนนั้น อาจจะหาให้ท่านได้เร็วกว่า” ท่านกรวิกบอกพลางเหลือบมองกระดังงาที่พันเลื้อยอยู่ใกล้ๆ “ข้าสังเกตว่าท่านให้ความสนใจกับท่านราชองครักษ์คนนี้มาก บอกได้หรือไม่ว่ามีเหตุผลอะไร”
“ไม่มีอะไรมากหรอก” ธรรม์บอกขณะยกน้ำในขันขึ้นดื่มเพื่อซ่อนแววตา “หากท่านจำได้ข้าเคยบอกแล้วว่าเขาเป็นสหายของข้า แต่ยามนี้ข้าไม่แน่ใจในเรื่องนั้นแล้ว ข้าได้ยินเสียงเลื่องลือว่าเขาเป็นผู้ห้าวหาญจงรักภักดีและเก่งกล้าสามารถนัก ภายภาคหน้าเขาอาจเป็นตัวปัญหาใหญ่ของข้าก็ได้ ข้าจึงอยากที่จะรู้ข้อมูลของเขาเอาไว้บ้าง”
“ข้าจะจัดการให้” เจ้าของเรือนพูดตัดบทเพราะรู้แล้วว่าไม่มีทางคาดคั้นให้อีกฝ่ายพูดอย่างอื่นได้อีกแล้ว
“หากได้ความมาเมื่อใดขอให้ท่านส่งคนไปแจ้งข้าที่เรือนทันที” ชายหนุ่มกำชับอย่างเอาแต่ใจ แต่ผู้สูงวัยกว่าไม่ถือสากลับพยักหน้ารับเบาๆ
“ขอบคุณ ข้าขอลา”
ธรรม์เดินลงจากเรือนโดยมีผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่งเดินตาม ท่านกรวิกเหลือบมองตามร่างชายฉกรรจ์คนเดิมซึ่งหันมาสบตากับท่านด้วยแววตาคมกล้าก่อนที่ท่านจะยิ้มมุมปากเป็นปริศนามองส่งร่างนั้น ลงจากเรือนไป เมื่อแขกผู้มาเยือนกลับไปแล้วท่านจึงลุกขึ้น กลับห้องส่วนตัวเพื่อเขียนจดหมายสั้นๆ ฉบับหนึ่งนำไปมัดติดขาพิราบส่งสาสน์แล้วปล่อยมันขึ้นบินสู่ท้องฟ้า
เรื่องนี้… ไม่ชอบมาพากลอย่างยิ่ง!
โสมหนุ่มถูกพาตัวมาหน่วยแพทย์เพื่อทำการรักษา เหล่าแพทย์เห็นผิวหนังเกรียมแดดของคนเจ็บก็พากันส่ายหัวแล้วตัดสินใจใช้วุ้นของว่านหางจระเข้ทาเคลือบทั่วบริเวณผิวหนังเพื่อเยียวยาในเบื้องต้นก่อนจะลงมือทำแผลเนื้อแตกจากการถูกเฆี่ยนตีอย่างทุลักทุเลเพราะคนเจ็บดิ้นรนขัดขืน แต่สิ่งหนึ่งที่เหล่าแพทย์ไม่ทราบจะเยียวยาอย่างไรก็คือสภาพ
จิตใจของคนเจ็บที่ยังคงเอาแต่ร้องโหยหวนและมีอาการหวาดกลัวเพราะเห็นภาพหลอนว่ามีกลุ่มคนรุมทำร้ายตนเอง เสียงร้องโหยหวนและอาการหวาดผวาของคนเจ็บเปลี่ยนหน่วยแพทย์ให้มีบรรยากาศของโรงฆ่าสัตว์ไปในบัดดล
แพทย์พยายามกล่อมใจให้คนเจ็บหายหวาดกลัวแต่กลับทำให้คนเจ็บมีอาการคลุ้มคลั่งเพราะกลัวว่าจะถูกแพทย์รุมทำร้าย จะวางยาสลบก็ทำไม่ได้เพราะคนเจ็บปฏิเสธทุกอย่างที่ยื่นเข้าใกล้บริเวณใบหน้าของเขา สุดท้ายแล้วทุกคนก็ได้แต่ปล่อยให้คนเจ็บร้องโหยหวนและคลุ้มคลั่งตามแต่ใจ
โสมหนุ่มคิดว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยไฟซึ่งไม่มีวันดับมอด ผิวหนังของเขาแสบร้อนและดวงตาพร่าลายไปด้วยน้ำตาร้อนๆ เหมือนน้ำที่กำลังเดือดพล่าน รอบเตียงของเขาคือบุคคลที่เขาเคยลงมือสังหารด้วยความเหี้ยมโหด พวกมันพากันตบตีทำร้ายเขาด้วยสีหน้าและแววตาอาฆาตพยาบาทไม่จบสิ้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังตกนรกทั้งเป็น
เงาทะมึนมืดเงาหนึ่งชะโงกอยู่เหนือร่างขับไล่ให้ปีศาจมารร้ายทั้งหลายต้องถอยร่นไปยืนด่าทออยู่ห่างๆ โสมหนุ่มร้องไห้โฮด้วยความดีใจและด้วยความหวังที่จะหลุดพ้นความทรมาน แต่เมื่อเหลือบมองหน้าคนผู้นั้นแล้ว ความดีใจและความหวังก็ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงเพราะเขาไม่มีวันลืมใบหน้าของคนที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องโดนพี่ชายฆ่าทั้งเป็นเช่นนี้ได้
“โอ๊ะโอ๋… ดูสิว่าฉันเจอใคร นี่ใช่น้องชายของธรรม์ที่มีชื่อเดียวกับฉันหรือไม่” น้ำเสียงเยียบเย็นและแววตาเจ็บแค้นของหญิงสาวทิ่มแทงให้คนเจ็บร้องโหยหวนเสียงดังด้วยความกลัว แต่เธอแน่ใจว่าจะไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเธอด้วยการเหยียบเข้ามาที่นี่เป็นแน่
เนื่องจากเธอไม่อาจสงบใจของตนลงได้ จึงหนีจากการอารักขาของเหล่าทหารภูตและไม่ไปพบหน้าราชันไพรสัณฑ์ แต่กลับเร่งรุดมายังหน่วยแพทย์ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยไฟแห่งความแค้น เธอสั่งให้บรรดาแพทย์หลบออกไปด้านนอกให้หมดก่อนจะถอดหน้ากากภูตแล้วเดินมาชะโงกดูสภาพที่น่าสมเพชของชายที่เคยก่อกรรมทำเข็ญกับเธอเอาไว้ด้วยความสาสมใจ
เขามีสภาพไม่ต่างจากกบที่ถูกไฟลนจนหนังลอกออกมาเกือบทั้งตัว!
“อย่าทำข้าเลย ข้าเจ็บปวดทรมานมากแล้ว” โสมหนุ่มอ้อนวอนขอความเมตตาอย่างไม่หลงเหลือศักดิ์ศรี
“อย่าเพิ่งชิงตายไปเสียก่อนนะโสม ท่านมาเจอฉันในเวลานี้นับเป็นโชคดีของท่านแล้วรู้หรือไม่” โสมสาวหัวเราะด้วยเสียงที่เสียดหู ในขณะนี้หญิงสาวไม่มีแม้แต่ความเวทนาสงสารให้อีกฝ่ายแม้แต่น้อย “ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ฉันจะไม่มีวันยอมให้ท่านตายง่ายๆ แน่!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนของคนเจ็บดังประสานกับเสียงหัวเราะเสียดหูของหญิงสาว เธอวนเวียนอยู่รอบกายของคนเจ็บด้วยความมาดร้ายโดยใช้สายตาและคำพูดเป็นอาวุธฟาดฟันทำลายอีกฝ่ายให้มีความเสียหายในด้านจิตใจ เธอค่อยๆ ให้ความหวังที่จะมีชีวิตรอดแก่เขาก่อนที่จะค่อยๆ ทำลายมันลงอย่างเหี้ยมโหดและละเมียดละไม จนกระทั่งคนเจ็บทนรับอาการเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและทางจิตใจไม่ไหวชิงหมดสติไปเธอจึงได้ยุติ
แต่อย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ สิ่งใดที่เคยทำเอาไว้กับเธอ เธอจะเอาคืนอย่างสาสม!
หญิงสาวสวมหน้ากากภูตกลับเข้าที่ก่อนจะเดินออกจากเรือนของหน่วยแพทย์ด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้งเพราะแบกรับความอาฆาตพยาบาทเอาไว้เต็มอก เพียงก้าวแรกที่ย่างเท้าออกมาเธอก็เห็นราชันไพรสัณฑ์ประทับรอเธออยู่ตรงหน้าพร้อมเหล่าทหารภูตหลายนายที่กระจายกำลังอารักขาความปลอดภัย เหล่าแพทย์ถูกกันให้ออกไปนั่งหมอบอยู่
ห่างๆ และไม่มีใครเงยหน้าขึ้น มองมาแม้แต่นิดเดียว ดังนั้น เมื่อทรงอ้าพระพาหาออกกว้างเธอจึงวิ่งเข้าไปในอ้อมพระพาหานั้น ด้วยความอ่อนแอและแสวงหาที่พึ่งพิง
“ทุกอย่างจะเรียบร้อย” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งประโยครู้ว่านางอยากฟัง พระหัตถ์ใหญ่ลูบกระหม่อมของนางเบาๆ อย่างปลอบประโลม
“จงวางทุกความโกรธแค้น ความพยาบาทและความอาฆาตของเจ้าเอาไว้ในมือของข้าเถิดนะ ข้าจะรับมันไว้เอง”
“มันไม่ยุติธรรมสำหรับท่าน” โสมพูดเสียงกระซิบแหบพร่าด้วยจิตใจที่อ่อนล้า “ความรู้สึกพวกนั้นเป็นของฉัน ฉันแบกรับเอาไว้เอง ฉันก็ควรจัดการเอง”
“เจ้าเป็นเมียของข้า” ทรงกระซิบข้างใบหูของนางแล้วกดจุมพิตลงเบาๆ “ทุกความทุกข์ของเจ้าคือความทุกข์ของข้า เจ้าเองก็ยอมเหนื่อยเพื่อข้ามากมาย ดังนั้น อนุญาตให้ข้าได้แบกรับความทุกข์ของเจ้าบ้างเถิดนะ”
“ท่านดีกับฉันเหลือเกิน” โสมซุกหน้าแนบลงกับพระอุระด้วยความซาบซึ้ง และไว้วางใจ
“กลับบ้านไปกินข้าวด้วยกันเถอะนะจ๊ะ” ราชันไพรสัณฑ์โอบประคองนางอย่างทะนุถนอม “เรื่องทั้งหมดตรงนี้วางเอาไว้ให้ข้าจัดการเอง”
“เพคะท่านพี่” โสมยิ้มหวานในหน้ากากและเอ่ยคำอันแสนอ่อนหวานออกมาเป็นครั้งแรก สังเกตได้ว่าราชันไพรสัณฑ์สะท้านเฮือกไปสองครั้งก่อนจะประคองเธอกลับ ‘บ้าน’ ด้วยรอยแย้มพระสรวลของคนที่ได้ความสุขทั้ง โลกมาไว้ในครอบครอง