ตอนที่ ๔๙
ชะตากรรม
โสมละมือจากพวงดอกไม้เมื่อหูแว่วเสียงโหยหวนของความตายมาตามสายลม ท้องฟ้าสีแดงร้องลั่นคำรามราวกับกำลังจะหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด ในขณะเดียวกันบนพื้นดินนั้น เลือดก็กำลังหลั่งนอง ชีวิตหลายชีวิตกำลังต้องดับสูญ ราชันไพรสัณฑ์ต้องสังหารคนมากมาย ในขณะที่เธอจำต้องนั่งร้อยดอกไม้อยู่ในที่ปลอดภัย เธออึดอัดใจ… แต่ไม่สามารถขัดรับสั่งของพระองค์ได้!
“… โสม” เสียงแหบโหยดังลอยตามลมมาทำให้หญิงสาวขนลุกและมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง จนกระทั่งได้ยินเสียงนั้น อีกเธอจึงค่อยตัดสินใจเดินตามเสียงไปจนกระทั่งถึงหน้าพระตำหนักสุริยัน
ภาพที่เธอเห็นทำให้เธอต้องรีบเอามืออุดปากเพื่อห้ามอาการอาเจียน เหล่าโหงพรายท่าทางดุร้ายจำนวนมากกำลังต่อสู้อยู่กับเหล่ากุมารภายใต้การควบคุมของทหารภูตเจ็ดนายที่ราชันไพรสัณฑ์ได้จัดกำลังเอาไว้ให้ เหล่าภูตผีต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนเลือดไหล ไส้ทะลัก อวัยวะขาดรุ่ย เนื้อตัวมีแต่แผลฉกาจฉกรรจ์อย่างที่หากเป็นมนุษย์ก็คงตายไปแล้ว
“กลับเข้าพระตำหนักเถิดพระเจ้าค่ะ พระมเหสี!” ราชองครักษ์หิรัญที่กำลังกำหนดจิตต่อสู้กับโหงพรายอย่างตึงมือร้องตะโกนเมื่อเห็นบุคคลที่ไม่ควรจะมาอยู่ตรงนี้
เมื่อตอนที่โหงพรายพาธรรม์มาที่นี่ พวกเขาได้รวมกำลังเพื่อต่อสู้แต่ไม่น่าเชื่อว่าแม้ธรรม์จะบาดเจ็บสาหัสแต่กำลังใจกล้าแกร่งเสียจนพวกเขาสู้อย่างเต็มกลืน หากประมาทหรือเสียสมาธิก็อาจต้องพ่ายแพ้และต้องแลกด้วยชีวิต ที่ยังต้านธรรม์ได้อยู่เป็นเพราะยังไม่หมดแรงกายแรงใจ แต่หากการต่อสู้ยาวนานกว่านี้และการสงครามทำให้ราชันไพรสัณฑ์เสด็จกลับมาไม่ทัน ก็ไม่แน่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“นี่มันอะไรกัน” โสมอุทานแล้วพยายามมองหาผู้ที่ควบคุมโหงพรายอยู่ ครั้นเห็นเขาก็สะเทือนใจจนต้องเอนกายอิงเสาข้างๆ ให้ช่วยพยุงตัวเอาไว้
เธอรู้ว่าราชันไพรสัณฑ์ได้มอบกุมารที่เคยยึดจากทหารภูตมาปลุกเสกด้วยพระองค์เองให้แก่ทหารภูตทั้งเจ็ดนายนี้ดังนั้น กุมารทุกตัวจึงมีอิทธิฤทธิ์สูง หากสู้กับโหงพรายที่มีผู้บงการเป็นคนอื่นแล้วคงจะสามารถเอาชนะได้โดยง่าย แต่ที่การต่อสู้ยังคงยืดเยื้อ และตึงมือเหล่าทหารภูตเช่นนี้เป็นเพราะผู้ที่บงการโหงพรายอยู่ก็คือธรรม์!
“ท่านมาที่นี่ได้ยังไง!” โสมถามเสียงแหบ ความรู้สึกหลายหลายตีกันอยู่ในใจ ทั้ง โกรธ เกลียด ห่วงใย และกลัว
“ข้าใช้อาคมย่อจักรวาลหลบหนีมาที่หน้าพระราชวังแล้วบุกมาหาเจ้า” ธรรม์พูดกระท่อนกระแท่นเพราะต้องใช้พลังอย่างมากในการอดกลั้นความเจ็บปวดของตน อีกทั้งยังต้องกำหนดเจตจำนงอันแรงกล้าเพื่อที่จะควบคุมโหงพรายเอาไว้ให้ได้ “ข้าใช้โหงพรายฆ่าพวกที่ขวางทางจนเข้ามาข้างในได้และสั่งให้โหงพรายจำนวนหนึ่งออกตามหาพระตำหนักที่มีการป้องกันมากที่สุด ข้ารู้ว่าเจ้าต้องอยู่ที่นั่นแน่ แล้วพวกมันก็พาข้ามาหาเจ้า”
“แล้วราชันไพรสัณฑ์อยู่ที่ไหน”
“ข้าไม่รู้” ธรรม์ตอบแล้วก็ฉุกใจคิดว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว หากจะทำอะไรก็จงรีบทำก่อนที่ราชันไพรสัณฑ์จะมาที่นี่
“ท่านเจ็บขนาดนี้แล้วยังจะรวบรวมแรงจิตควบคุมโหงพรายได้อีกหรือ” หญิงสาวลอบหนักใจว่าหากนางยื่นมือเข้าขัดขวางเขา ผลสะท้อนจะรุนแรงจนกระทบกระเทือนครรภ์หรือไม่ แต่ถ้าเธอไม่ลองทำอะไรสักอย่างทุกคนอาจจะแย่
“ข้าต้องมาหาเจ้าให้ได้” ธรรม์พูดก่อนเผยรอยยิ้ม ซีดเซียว แววตาเขาทั้งรัก ทั้งอาวรณ์และคับแค้นใจในชะตาของตัวเอง “เจ้าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่กระท่อม ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังทุกข์ทรมาน ทั้งหมดเป็นแผนการของน้องชายของข้า”
“ท่านโกหก” โสมลืมเรื่องที่จะต่อสู้ทันทีเพราะสิ่งที่เขาบอก เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พลันเหงื่อเย็นๆ ก็ผุดพรายและหน้ามืดตาลายไปวูบหนึ่งเพราะอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรงจนปรับไม่ทัน
“ข้าพูดความจริง ข้ารักเจ้ามาก รักมาตลอด ข้ามีเรื่องมากมายที่อยากจะบอกกับเจ้า แต่คงเหลือเวลาไม่มากอีกแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยลมหายใจติดๆ ขัดๆ แต่แรงใจยังกล้าแข็ง “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ทั้งที่ข้ารักเจ้ามากแท้ๆ ทำไมเจ้าถึงได้อยู่กับไพรสัณฑ์ ทั้ง ที่มันเป็นคนที่สั่งฆ่าเจ้า”
“เขาไม่ได้สั่งฆ่าฉัน”
“ข้าเห็นทหารภูตสังหารเจ้า คนที่มีอำนาจสั่งทหารภูตได้ก็มีเพียงไพรสัณฑ์เท่านั้น หากไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร!”
“หิรัญเป็นคนทำเองโดยพลการ”
“ข้าเข้าใจผิดมาตลอดหรือนี่”
น้ำเสียงระทมทุกข์และเยาะหยันตัวเองของธรรม์ทำให้โสมปวดใจ หญิงสาวรู้ทันทีว่าเรื่องทั้งหมดนี้คือชะตาเล่นตลก เธอเกือบเผลอใจรักธรรม์ หิรัญคิดว่าเธอทรยศจึงสังหาร เธอเข้าใจผิดว่าทุกคนทรยศต่อเธอ ต่อมาก็เข้าใจว่าธรรม์เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการทรมานเธอ เธอความจำเสื่อมและได้หลงรักราชันไพรสัณฑ์ ส่วนความรักที่มีต่อธรรม์กลับเลือน
หายไปเหมือนความฝัน!
“ทุกอย่างมันกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว” หญิงสาวบอกเสียงแหบแห้ง
“ทำไมถึงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ เจ้าบอกข้าสิ! อย่างน้อยก่อนตายข้าขอรู้เหตุผลของเจ้าได้หรือไม่!”
โสมทำได้เพียงส่ายหน้าและรํ่าไห้เงียบๆ หญิงสาวไม่ได้ไม่อยากอธิบายให้เขารู้ว่าเธอกับเขามีบุญแต่ไร้วาสนาต่อกันจึงได้พลัดพรากจากกันในรูปแบบนี้ ธรรม์ถลำลึกจนเกินที่จะถอนตัวเสียแล้ว จะอภัยเรื่องเลวร้ายที่ธรรม์ได้ก่อขึ้น แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ ธรรม์จะต้องตายไม่ว่าด้วยน้ำมือใครก็ตาม
“ข้าจะต้องตายทั้ง ที่ไม่ได้มีโอกาสได้ฟังความจริงจากเจ้าอย่างนั้นหรือ” ธรรม์คร่ำครวญด้วยความหัวใจที่แตกสลาย น้ำตาไหลอาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห้งความรักอันไม่สมหวัง ริ้วรอยแห่งความเจ็บปวดทรมาน และริ้ว รอยแห่งความตาย
“ตัดใจเสียเถอะนะธรรม์” เธอพูดได้เพียงคำสั้น ๆ ใบหน้าของเธอหมองคล้ำ ด้วยความเศร้าโศกและไม่ชอบใจในโชคชะตาที่ทำให้ธรรม์ต้องกลายเป็นปีศาจร้ายเพราะความเข้าใจผิด!
“ข้ากำลังจะตาย” ชายหนุ่มก้มหน้าลงจนคางแทบชิดอก ดูหมดหวังและหดหู่ แรงจิตของเขากำลังตกต่ำลงเพราะตอนนี้โหงพรายค่อยๆเสียท่าให้กุมารแล้ว “แต่ข้ายังต้องทรมานอีกนาน พิษสาปจันทรา… ที่เจ้าเคยโดน มันเจ็บปวดมาก”
โสมยืนตัวสั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก ธรรม์โดนพิษสาปจันทราอย่างนั้นหรือ หากเขาโดนพิษนี้จริงเธอก็รู้ว่าตอนนี้ธรรม์กำลังเจ็บปวดทรมานเพียงไหนและกำลังจะหมดสติไปชั่วครู่เพื่อที่จะตื่นขึ้น มาเจ็บปวดทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนไม่มีวันจบสิ้น เลือดบริเวณหน้าท้องของเขาทำให้ทุกอย่างแย่ลงเพราะเขาสูญเสียเลือดและอาจตายเพราะมันได้ทุกเมื่อ
“โสม… เจ้าช่วยฆ่าข้าที” ธรรม์เอ่ยขอร้องด้วยเสียงแหบแห้งที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ทรมานยากหาทางออก
“ท่านพูดอะไรออกมา!” โสมอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ
“ข้าทรมานเหลือเกินและข้ารู้ว่าถึงอย่างไรข้าก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อได้ ดังนั้น หากจะต้องตาย ขอให้ข้าได้ตายด้วยมือของคนที่ข้ารักเถอะนะ”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองโสมด้วยแววตาหมองเศร้าและหมดหวัง “ข้าคงตายตาหลับ เจ้าจะเมตตามอบความตายให้ข้าได้หรือไม่”
“พระมเหสีกลับเข้าพระตำหนักเถอะพระเจ้าค่ะ อย่าไปฟังคำของเขา เขาเป็นตัวอันตราย!” หิรัญร้องท้วงเสียงดัง ธรรม์เป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่แน่ว่าอาจจะล่อลวงให้พระมเหสีเข้าไปหาตนเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
โสมยืนนิ่งด้วยความสับสนลังเล สภาพของธรรม์ในตอนนี้ดูคล้ายคนตายเข้าทุกที เขามีเพียงแรงใจเท่านั้นที่ยังกล้าแข็งอยู่และเขาร้องขอให้เธอกระทำการุณยฆาตเพื่อให้เขาพ้นจากความทรมาน
“โสม… ได้โปรดมอบความตายให้ข้า” ธรรม์เว้าวอนก่อนจะอาเจียนออกมาด้วยความทรมาน แรงใจของเขาลดลงจนสังเกตได้เพราะโหงพรายเริ่มลงมืออย่างสับสน ภาพนั้น ทำให้เธอนึกใจอ่อนและยอมก้าวลงจากพระตำหนักในที่สุดโดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของราชองครักษ์หิรัญ
“ขอดาบให้ฉันนะ” โสมดึงดาบออกจากเอวของทหารภูตนายหนึ่งที่กำลังทุ่มสมาธิเพื่อจัดการโหงพรายให้ราบคาบ ปากของพวกเขาพยายามร้องห้ามไม่ให้เธอเข้าไปใกล้ธรรม์ แต่เธอถือดาบอย่างมั่นคงไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาที่ยิ้ม ให้เธออย่างโล่งใจและอาวรณ์
ทุกคนอาจไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงทำเรื่องเสี่ยงเช่นนี้แต่เธอรู้ดีว่าเธอและเขามีบาปกรรมผูกพันกันอยู่และต้องร่วมกันชดใช้จนถึงนาทีสุดท้าย!
“แทงลงมาครั้งเดียวให้มิดด้าม” ชายหนุ่มบอกเบาๆ ขณะประสานสายตากับหญิงสาวซึ่งยกดาบขึ้น ด้วยมืออันสั่นเทา “อย่าลังเลแทงลงมาให้มิดด้าม ตรงนี้!”
มือเปื้อนเลือดของธรรมยกขึ้น จับปลายดาบจ่อลงตรงแผลเดิมที่ท้องแล้วออกแรงดึงให้ดาบแทงลงมา โสมร้องไห้โฮแล้วออกแรงกดดาบลงไปจนสุดด้าม ร่างของเธอถูกเขาดึงไปกอดแนบแน่นจนเธอสามารถรับรู้ได้ถึงกำลังกายที่ค่อยๆ ลดลงของเขาพลังชีวิตของเขากำลังหายไป
พลันเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้นรอบตัวของโสม ทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเร็วมากเมื่อเธอหันไปมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหลัง เหล่าโหงพรายที่อ่อนแอเมื่อครู่พลันมีพละกำลังมหาศาล ฉีกกระชากวิญญาณกุมารตนหนึ่งจนดับสลายแล้วรี่เข้ารุมทำร้ายทหารภูตจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดมนุษย์กระจายไปทั่วพื้น และโหงพรายตนหนึ่งมีอิทธิฤทธิ์แรงกล้าถึงขั้นดึงดาบจากเอวทหารภูตนายหนึ่งที่กำลังจะตายแล้วโฉบเข้ามาหาเธอ
หิรัญกระเสือกกระสนมาหาเธอแล้วใช้ร่างรับดาบที่แทงลงมาได้อย่างฉิวเฉียด เธอเห็นใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดก่อนที่เขาจะหมดสติไป แต่โหงพรายแสนดุร้ายนัก มันกระชากดาบกลับแล้วแสยะยิ้มให้เธออย่างชั่วร้าย เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงของธรรม์กระซิบแหบโหยอยู่ข้างหูของเธอ
“ไปกับข้าเถิดนะโสม”
ณ บริเวณสนามรบหน้ากำแพงเมือง ท่ามกลางสถานการณ์อันเลวร้ายที่อาจพรากชีวิตชาวอสุรนครทั้งหมดกลับมีพลังขุมหนึ่งโบกพัดไล่เมฆฝนอาถรรพ์จากไป ราชันไพรสัณฑ์กำหนดเจตจำนงต่อต้านด้วยความรวดเร็ว ดุดัน และชำนิชำนาญ จึงเกิดเป็นปรากฏการณ์สายฟ้าสองสายต่อสู้กันสะเทือนเลือนลั่นบนท้องฟ้าโดยต่างไม่มีใครยอมใคร ชัยชนะนั้น
อยู่เพียงแค่เสี้ยวเวลาเดียวที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดพลั้ง เท่านั้น และราชันหนุ่มก็มีกำลังใจอันแกร่งกล้าที่จะไม่พ่ายแพ้ สุดท้ายอีกฝ่ายก็ยอมรามือไปอย่างสุภาพและให้เกียรติ
“พระองค์พัฒนาฝีมือจนเก่งกล้าสามารถราวกับปีศาจได้ภายในเวลาไม่กี่ปีได้อย่างไร” ชายผู้ที่ปรากฏตัวอยู่หน้ากำแพงเมืองอย่างเป็นปริศนาราวกับภูตผีมีใบหน้าที่คุ้นเคยนักในสายพระเนตรของราชันหนุ่ม
“ท่านอคัมย์” ราชันรำพึงชื่อของชายวัยกลางคนผู้เปี่ยมไปด้วยบุคลิกของผู้เก่งกล้าซึ่งเป็นบิดาของเด็กหนุ่มคนที่พระองค์กำลังต่อกรอยู่
“ต่อให้พระองค์สังหารอุคราจริง ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่เคืองแค้นเพราะมันทำตัวเอง แต่มันจะดีต่อเรามากกว่าหากทรงไว้ชีวิตเจ้าเด็กปากไม่สิ้น กลิ่นน้ำนมคนนี้”
“อุครามีตราแม่ทัพ” รับสั่งเปรยเป็นคำถามและคำยืนกรานโดยอ้อม ทำให้เจ้าเมืองอสุรถอนหายใจ
“เป็นความผิดของข้าพระพุทธเจ้าที่รักษาตราแม่ทัพจากเด็กมือบอนไม่ได้ ตอนเกิดเรื่องข้าพระพุทธเจ้าได้เข้าป่าไปบำเพ็ญตบะจึงไม่อาจทัดทานได้ทันการ”
“ตอนนี้ข้าคาดหวังเพียงให้พวกท่านยกทัพกลับไปเสียให้หมดเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นเอาไว้ค่อยพูดจากันทีหลัง” ราชันไพรสัณฑ์ตัดบทเพราะทรงพะวงถึงโสม
“ได้ตามพระประสงค์”
ราชันไพรสัณฑ์จำเป็นต้องอยู่เพื่อดูให้แน่พระทัยว่าทัพอสุรได้จากไปแล้วจริงๆ ทั้งที่ในพระทัยร้อนรุ่มกระวนกระวายแปลกๆ และอยากจะกลับพระตำหนักสุริยันเต็มที เมื่อทัพอสุรจากไปแล้วก็จำต้องรั้งองค์เพื่อสั่งการให้เหล่าทหารสำรวจความเสียหาย จัดการให้เสือสมิงสงบลงแล้วส่งกลับโรงเลี้ยงเสือ กว่าจะสามารถเสด็จกลับพระตำหนักสุริยันได้เวลาก็ล่วงเลยไปพอสมควร
เมื่อทรงก้าวออกจากอาคมย่อจักรวาล ภาพที่เห็นหน้าพระตำหนักสุริยันก็ทำให้ทรงร้องตะโกนเสียงดังด้วยความหวาดกลัวเป็นครั้งแรกในชีวิต ทหารภูตทั้ง เจ็ดนายรวมทั้ง กุมารที่ทรงปลุกเสกด้วยพระองค์เองถูกโหงพรายรุมฆ่าฟันจนไม่รู้เป็นตาย หิรัญนอนจมกองเลือดอยู่ใกล้กับโสมซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของธรรม์ ในมือของนางคือดาบที่แทงทะลุท้องของธรรม์จนมิดด้ามและโหงพรายตัวหนึ่งแทงข้างเอวของนางจนทะลุลำตัวอีกข้างหนึ่ง มนต์ควบคุมโหงพรายคลายลงเพราะธรรม์สิ้นชีพลงแล้ว
ราชันไพรสัณฑ์วิ่งเข้าไปจนถึงตัวของโสมและได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่ พระหัตถ์อันสั่นระริกไปแตะร่างอันนิ่งสงบของนาง ทรงปฏิเสธความจริงอย่างดึงดัน บางทีนี่อาจเป็นภาพมายา บางทีนางอาจยังไม่ตาย แต่เมื่อทรงแตะพระดัชนีลงบนจุดชีพจรที่ลำคอแล้วไม่พบสัญญาณชีวิต ความหวังทั้ง หมดก็แตกสลายลง
นางตายแล้วและลูกของพระองค์ก็ตายตามนางไปด้วย ทรงสูญเสียเมียและลูกไปภายในคืนเดียวด้วยฝีมือของคนเพียงคนเดียว!
ความโกรธแค้นชิงชังธรรม์ซึ่งแม้ยามตายก็ตายด้วยรอยยิ้มสาสมใจทำให้ราชันไพรสัณฑ์กระชากดาบในมือของโสมที่แทงทะลุหลังออกโดยแรงแล้วกระทืบศพซ้ำหลายทีอย่างลุซึ่งโทสะจนขาดพระสติยั้ง คิดกระนั้น พระองค์ก็ไม่สามารถลบรอยยิ้ม บนใบหน้าของผู้ตายลงได้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงอุ้มร่างไร้วิญญาณของโสมกลับเข้าพระตำหนักโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ทรงร่ายอาคมคุ้มกันทั้งพระตำหนักเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาขัดขวางความสงบของนางและความทุกข์ของพระองค์
ราชันหนุ่มวางร่างของโสมลงบนพระแท่นบรรทม แสงเทียนจับใบหน้าของนางที่ยังคงงดงามและสงบราวกับคนที่กำลังหลับสนิท ดาบที่สังหารนางยังคงอยู่ที่เดิมและพระองค์ยังพระทัยไม่แข็งพอที่จะดึงมันออกมา เลือดจากบาดแผลของนางค่อยๆ ไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ จนย้อมให้ผ้าเป็นสีแดงฉานต่างจากผิวของนางที่เริ่มเป็นสีเทาขึ้น เรื่อยๆ ใน ขณะเดียวกันเลือดในอุทรก็ค่อยๆ หลั่งรินออกมาไม่ขาดสายบีบดวงพระทัยของพระองค์ยิ่งนัก
หยาดชีวิตของนางอันเป็นที่รักและหยาดชีวิตของลูกหลั่งรินอยู่บนพระวรกายของพระองค์ นี่คือโทษทัณฑ์ที่ทรงไม่ดูแลนางและลูกให้ดีและเป็นเวรกรรมจากการที่คืนนี้ทรงสั่งสังหารคนมากมาย สุดท้ายก็ทรงเสียคนที่รักไปพร้อมกันถึงสองคน เวรกรรมตามทันตาเห็นจริงๆ!
ราชันไพรสัณฑ์ทรงถอดหน้ากากภูตออกเผยให้เห็นพระอัสสุชลอาบพระพักตร์ แววพระเนตรเจ็บช้ำแหลกสลายและสีพระพักตร์หมองคล้ำอย่างคนที่มีความทุกข์หนัก พระหัตถ์ลูบไล้ใบหน้าของนางอย่างทะนุถนอมและอาลัยก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากเย็นชืดของนางด้วยความเจ็บปวดร้าวราน
“แล้วหลังจากนี้ข้าจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรหรือโสม” ทรงเกลือกพระพักตร์แนบแก้มของนางอย่างไม่อาจหักพระทัย “ชีวิตหลังจากนี้จะมีความหมายอะไร”
ราชันหนุ่มกรรแสงอย่างไร้เสียงและได้แต่กอดประทับร่างโสมเอาไว้แนบแน่นราวกับพยายามยึดเหนี่ยวนางเอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ร่างที่เย็นชืดขึ้น เรื่อยของนางทำให้พระองค์ทราบว่าไม่อาจเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้ได้ ต่อไปนี้พระองค์จะไม่มีโอกาสได้ยิ้มและหัวเราะไปกับความแก่นแก้วของนาง ไม่อาจมอบความรักอันแท้จริงให้แก่ใครได้อีกและไม่อาจที่จะกอดนางเอาไว้เพื่อมอบความรักให้แก่นางตราบจนแก่ชราไปด้วยกัน
หนทางข้างหน้าช่างโดดเดี่ยวและอ้างว้างเหลือเกิน
ราชันไพรสัณฑ์ทรงกอดร่างของโสมเอาไว้อีกหลายชั่วโมง ไม่รับทราบว่าบัดนี้เหล่าทหารภูตที่ได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้น ได้มาพาตัวทหารผู้บาดเจ็บไปรักษาและยืนรอเฝ้าฯ ด้วยความเศร้าสลดอยู่ที่หน้าพระตำหนัก ทรงเอาแต่สรวลออกมาด้วยความระทมทุกข์ทั้งพระอัสสุชลนองพระพักตร์ พระหัตถ์ใหญ่จับดาบที่สังหารนางเอาไว้มั่นแล้วออกแรงดึง
อย่างนุ่มนวลจนกระทั่งมันหลุดพ้นออกจากกายของนาง เลือดอีกจำนวนหนึ่งหลั่งทะลักออกมาจนกระทั่งเปลี่ยนให้บริเวณที่ทรงประทับอยู่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉาน
เหมือนเลือดของผู้คนที่ทรงสั่งฆ่า!
พระเนตรจับจ้องดวงหน้าของนางอย่างเลื่อนลอยและเริ่มโทษองค์เองมากมาย หากทรงตัดสินพระทัยสังหารธรรม์เสียตั้งแต่ตอนแรก โสมอาจจะไม่ต้องตาย นางอาจจะอุ้มท้องจนครบกำหนดและคลอดบุตรที่แก่นแก้วและฉลาดเฉลียวเหมือนกับนาง ในอีกหลายปีต่อมานางก็อาจจะคลอดบุตรให้อีกหลายคนซึ่งหนึ่งในนั้น จะมีสักคนสองคนที่มีนิสัยเฉกเช่นพระองค์เพื่อคอยกำราบพี่น้องด้วยกันให้อยู่ในวินัยมากขึ้นแต่พระองค์ตัดสินพระทัยผิดพลาด!
โสมเป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้พระองค์ยอมอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข ดวงตาสีไพลินคู่นี้ของนางก็มักจะสะกดให้ทรงนิ่งงันและหลงใหลจึงช่วยไม่ได้เลยที่พระองค์จะลืมองค์ก้มลงจุมพิตผิวใต้ดวงตาคู่นั้นด้วยแสนรัก ดวงตาคู่นั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน เปี่ยมไปด้วยความสุขเหลือเกิน และดูมีชีวิตชีวาเหลือเกินจนพระองค์คิดว่านี่ไม่ใช่เพียงจินตนาการที่เกิดจากการที่ทรงปฏิเสธความจริง
แต่… พระองค์ไม่ควรเห็นดวงตาของนางอีกแล้วไม่ใช่หรือ?!
“โสม?” ราชันหนุ่มรับสั่งอย่างไม่แน่พระทัย พระเนตรกระพริบอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้พระเนตรฝาด
“ถ้าดึงดาบออกจากตัวฉันเร็วกว่านี้ท่านก็ไม่ต้องมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าแบบนี้หรอก”
ราชันไพรสัณฑ์ตกตะลึงจนขยับองค์ไม่ได้และได้แต่ทอดพระเนตรใบหน้าอ่อนเพลียและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของนางอย่างคนโง่งม จนกระทั่งนางร้องครางจึงได้พระสติบางส่วน แต่ยังคงลนลานทำอะไรไม่ถูก นางลูบมืออันสั่นเทาไปบนหน้าท้องก่อนจะเงยขึ้น สบพระเนตรด้วยความหวาดกลัวซึ่งทำให้พระโลหิตในกายเย็นยะเยือกขึ้นมา
“โสม… จงตอบข้าว่าเจ้ายังไม่ตายใช่หรือไม่”
“ฉันยังไม่ตาย” โสมตอบด้วยเสียงแหบพร่าที่เริ่มไร้อารมณ์ขัน
“ลูกล่ะ ทำไมฉันปวดท้องอย่างนี้”
“โสม” ราชันหนุ่มยังคงสับสนจากความรู้สึกมากมายที่ประดังประเดโหมทับ ทั้งมึนงงว่านางฟื้นจากความตายมาได้อย่างไร ดีใจที่นางไม่ตาย เสียใจที่ยังคงต้องสูญเสียลูกไปและปวดพระทัยที่ช่วยอะไรนางไม่ได้ แต่ในตอนนี้หากพระองค์สับสนอ่อนแอนางจะไม่มีที่พึ่งพิง
ช่างเหตุผลสิว่าทำไมนางจึงฟื้นเพราะเรื่องนี้สามารถถามในคราวหลัง แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือรักษานางเอาไว้ทั้งกายและใจให้มากที่สุดเท่าที่ทรงสามารถทำได้!
“เราเสียเขาไปใช่ไหม” โสมถามด้วยหัวใจที่ปวดร้าว เมื่อเห็นแววพระเนตรที่ปวดร้าวไม่แพ้กันของราชันก็เริ่มแน่ใจจนต้องหลับตาไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้น อย่างพยายามกล่อมให้ตัวเองเข้มแข็ง “ไม่เป็นไร ฉันยังไม่ตาย เรายังมีใหม่ได้”
“เป็นถึงเพียงนี้แล้วเจ้ายังคิดจะปลอบใจข้าอีกหรือ!” ราชันไพรสัณฑ์ทรงตวาดเสียงดังด้วยพระอารมณ์พลุ่งพล่านก่อนจะรวบกอดนางเอาไว้อย่างหวงแหน
นางฟื้นขึ้นมา นางไม่ตาย พระองค์ไม่ขออะไรมากเกินกว่านี้อีกแล้ว
“รอข้านะโสม ข้าจะไปตามหมอหลวงมาดูอาการเจ้า” พระองค์ดันร่างของนางออก ใจพะว้าพะวงไม่กล้าปล่อยนางทิ้ง ไว้คนเดียวแต่ก็จำเป็นต้องไป “สัญญากับข้าว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดและเล่าให้ข้าฟังทั้งหมดว่าทำไมเจ้าจึงฟื้นขึ้นมา”
“ฉันสัญญา” หญิงสาวยิ้ม เซียวๆ และมองส่งราชันที่รีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปตามหมอหลวงด้วยแววตาที่ทั้ง เป็นสุขและโศกเศร้าพลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ตนขอพรข้อสุดท้ายจากแม่หญิงจันทรวดี
‘พรข้อสุดท้าย… ฉันขอชีวิต’ โสมพูดด้วยน้ำเสียงรันทดหดหู่ ‘ฉันต้องเฝ้ามองคนที่รักจากไปหลายครั้งจนเกินพอแล้ว ดังนั้นฉันจึงขอให้ชีวิตของฉันผูกติดอยู่กับชายที่เป็นสามี หากเขาตายฉันจะขอตายตามเขาไปด้วย’
เธอจำได้ว่าแม่หญิงจันทรวดีมองเธอด้วยแววตาอย่างไรก่อนที่ท่านจะประทานพรข้อสุดท้ายให้เธออย่างง่ายดาย เธอได้รับพรให้โชคดี แต่พรนี้ไม่สามารถยับยั้งกฎของเวรกรรมที่เธอต้องเผชิญได้ เธอได้พรให้เป็นเอตทัคคะ แต่พรนี้ไม่สามารถทำให้เธอเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง อย่างน้อยก็ไม่อาจรอดจากวิบากกรรมที่เธอต้องชดใช้ เธอขอพรได้ชีวิต แต่พรนี้ก็ไม่สามารถขอชีวิตลูกของเธอให้กลับคืนมาได้
ไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือกฎแห่งกรรมและไม่มีใครที่จะได้สิ่งใดมาโดยไม่เสียสิ่งหนึ่งไป!