Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 50

ตอนที่ ๕๐

คลี่คลาย

เด็กชายเอริคสะดุ้งตื่นด้วยหัวใจที่เต้นกระหน่ำ เด็กชายจำไม่ได้ว่าตนกำลังฝันอะไรเพียงแต่ความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในใจนั้น ทำให้ไม่อาจสงบลงได้ เขาลุกขึ้นจากที่นอนแล้วเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องราวกับเสือติดจั่นก่อนจะเกิดแรงดลใจอย่างมากที่จะไปหามารดาเลี้ยงที่ห้อง

เนื่องจากวันนี้บิดาเข้าวอร์ดเวรดึกมารดาเลี้ยงจึงถูกบิดากำชับไม่ให้ล็อคห้องเผื่อว่าเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้มีคนเข้าห้องไปช่วยเหลือได้ทันที ดังนั้น เขาจึงบิดประตูเข้าไปได้โดยง่าย ภาพที่เห็นคือมารดาเลี้ยงของเขากำลังยันตัวลุกขึ้น จากที่นอนด้วยใบหน้าเหยเกเพราะความเจ็บปวด เขาจึงรีบวิ่งไปเกาะข้างเตียงแล้วร้องถามเสียงดังลั่น

“มัมมี๊เป็นอะไร!”

“ปวดท้อง” นลวรรณปวดหน่วงที่มดลูกของตนจนแทบจะทนไม่ไหวตามด้วยอาการถุงน้ำคร่ำแตกจึงได้แต่กัดฟันอดกลั้นความเจ็บปวดแล้วเอ่ยสั่งลูกเลี้ยงด้วยคำสั้นๆ “ตามคนมา เรียกคนขับรถ”

“มัมมี๊จะคลอดใช่ไหม!” เด็กชายเอริคร้องเสียงหลง ตกใจลนลานจนทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งต้องตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติและคิดได้ว่าบิดากำชับให้โทรบอกทันทีที่มารดาเลี้ยงมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น

ปวดท้องจะคลอดนี่น่าจะเป็นความผิดปกติได้เหมือนกันล่ะนะ

เด็กชายกระโจนไปหาโทรศัพท์มือถือของมารดาที่วางอยู่บนหัวเตียงแล้วกดสายหาบิดาโดยเร็ว รอเพียงไม่กี่ครั้งบิดาก็รับสายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานที่หากเป็นในเวลาอื่นซึ่งไม่ใช่เวลาที่มารดาเลี้ยงกำลังปวดท้องคลอดแล้วล่ะก็เขาคงได้พูดจาล้อเลียนไปสักหลายคำ

“แด๊ดดี้นี่ผมเอริคเองนะครับ” เด็กชายส่งเสียงตื่นๆ ไปให้บิดา

“มัมมี๊ปวดท้องจะคลอดแล้วครับ จะให้ผมทำยังไงดี”

“คอยอยู่ข้างๆ มัมมี๊เข้าไว้นะเอริค เดี๋ยวแด๊ดดี้จะให้รถพยาบาลไปรับที่บ้านเดี๋ยวนี้” คุณเพชรที่อยู่ปลายสายตื่นเต้นจนมือเย็นเยียบเพราะคนที่กำลังปวดท้องคลอดลูกแฝดอยู่คือภรรยาของเขา “ส่งโทรศัพท์ให้มัมมี๊ซิ”

เอริคทำตามที่บิดาบอกโดยการส่งโทรศัพท์ให้มารดาเลี้ยงแล้วคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ไม่นานนักเสียงรถพยาบาลก็ดังเข้ามาในคฤหาสน์และบุรุษพยาบาลรวมทั้งบิดาของเขาก็พากันกรูเข้ามาในห้องนำตัวคุณแม่ใกล้คลอดขึ้น เตียงอย่างระมัดระวัง

“จะอยู่บ้านหรือจะไปด้วย” คุณเพชรหันไปถามบุตรชายห้วนๆ เพราะใจพะวงด้วยความเป็นห่วงและความกังวล

“ผมไปด้วย” เอริคตอบอย่างไม่ลังเลแล้วกระโดดขึ้นท้ายรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลไปด้วยทั้งที่อยู่ในชุดนอน

ด้วยเหตุนี้สองพ่อลูกจึงได้พากันเดินวนไปมาอยู่หน้าห้องคลอดหลายชั่วโมงจนพื้นหน้าห้องแทบสึก เมื่อประตูห้องเปิดเมื่อใดสองพ่อลูกก็จะกรูกันเข้าไปรุมหมอแล้วแย่งกันถามไถ่จนคนฟังสับสน กว่าจะรู้เรื่องว่าไม่ใช่หมอที่รับผิดชอบผู้หญิงที่พวกตนกระวนกระวายเป็นห่วงอยู่ก็กินเวลาไปหลายอึดใจ

“อีกสองวันก็จะถึงวันที่หมอนัดผ่าคลอดแล้วแท้ๆ ทำไมถึงได้เจ็บท้องคลอดเอาตอนนี้ก็ไม่รู้” คุณเพชรหันมาปรึกษาบุตรชายที่ทำหน้ายุ่งยากเหมือนกับตน

“มาถามผมแล้วผมจะถามใครล่ะครับ ขนาดแด๊ดดี้ยังไม่รู้เลยนี่นา”

“ท้องแฝดนะเอริค ถ้าคลอดธรรมชาติมัมมี๊เขาจะเจ็บแค่ไหน แค่คลอดคนแรกก็ว่าเจ็บแล้ว ยังต้องเจ็บคลอดคนที่สองอีกนะ”

“แล้วแด๊ดดี้จะพูดให้ผมกังวลขึ้นกว่าเดิมทำไมเนี่ย”

“ก็ช่วยกันกังวลหน่อยจะเป็นไรไป”

“…”

บทสนทนาของสองพ่อลูกถูกขัดจังหวะเพราะมีหมอเดินออกมาจากห้อง สีหน้ายินดีของเขาทำให้คุณเพชรรู้สึกใจหวิวๆ ด้วยความโล่งอก ดังนั้น จึงพลาดให้หนุ่มตัวเล็กกว่าชิงวิ่งตัดหน้าไปถึงตัวหมอก่อน ต้องใช้เวลาอยู่สองอึดใจกว่าชายหนุ่มจะเรียกสติของตนได้แล้วรีบก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าหมอซึ่งถูกบุตรชายของเขาเขย่าแขนถามรัวเป็นภาษาอังกฤษลิ้นพันกันวุ่นวาย

“เป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มถามเสียงหวิวฟังดูเลื่อนลอย

“แฝดชายครับหมอเพชร ทั้งแม่และลูกแข็งแรงปลอดภัยดีมาก โดยเฉพาะคุณแม่ที่แข็งแรงพอที่จะคลอดแบบธรรมชาติ”

“น้องชายสองคน!” เด็กชายเอริคดีใจอย่างออกนอกหน้า ดวงตาวาววับเต้นระริกจนเหมือนมีประกายดาวอยู่ข้างในมากมาย “แด๊ดดี้ได้ยินไหม ผมมีน้องชายตั้งสองคนแน่ะ อ้าว!”

คุณเพชรไม่มีโอกาสได้รับฟังเสียงชื่นชมยินดีของบุตรชายเพราะเขาได้เป็นลมล้มพับไปด้วยความโล่งใจที่ภรรยาและลูกแฝดแข็งแรงปลอดภัยแล้ว

รุ่งเช้าในวันเดียวกันนั้น พระธนุธัมโมต้องถูกตามตัวไปโรงพยาบาลในระหว่างที่กำลังทำวัตรเช้า สาเหตุเพราะโยมแม่กาญจนาเป็นความดันสูงและลื่นล้มในห้องน้ำหมดสติไป ขณะที่นั่งรอผลตรวจของโยมแม่หน้าห้องตรวจนั้น ในใจของพระภิกษุหนุ่มรุ่มร้อนด้วยความเป็นห่วงโยมแม่ทั้งที่พยายามเอาธรรมะเข้าข่ม อีกทั้งผ้าจีวรก็คล้ายจะร้อนเหมือนถูกไฟเผาจนท่านสวมใส่ไม่สบาย

“อย่าวิตกกังวลเลยหลวงน้า หมอโรงพยาบาลนี้เก่งทุกคน เพราะฉะนั้น คนข้างในต้องปลอดภัยแน่” เสียงเล็กๆ ของเด็กชายที่ดังอยู่ข้างกายท่านทำให้ท่านได้สติแล้วกันไปมอง เด็กชายมีหน้าตาและท่าทางเหมือนเด็กต่างชาติแต่กลับพูดภาษาไทยได้ชัดเจน แต่ที่ทำให้ท่านสะดุดใจคือดวงตาคู่นั้น ที่เปล่งกระแสบางอย่างซึ่งทำให้ท่านรู้สึกผูกพันเหมือนจะเคยพบเห็นกันมาก่อนและเหมือนว่าเด็กชายจะเคยเกื้อหนุนท่าน!

“ทำไมโยมถึงคิดว่าหลวงน้ากำลังวิตกกังวลล่ะ” ท่านย้อนถาม

“ก็หลวงน้าทำสีหน้าแบบนั้นใครมองก็รู้ว่ากำลังวิตกกังวลแค่ไหน” เด็กชายเอริคบอกตรงๆ เขาเห็นพระภิกษุรูปนี้นั่งทำหน้าวิตกกังวล แล้วก็อดรนทนไม่ได้ต้องเข้ามาไถ่ถามพูดคุยทั้งที่ปกติแล้วเขาจะไม่ยอมเข้าหาใครง่ายๆ

“         โยมมาทำอะไรที่นี่ แล้วพ่อแม่ล่ะไปไหน หลงกันหรือเปล่า” พระธนุธัมโมถูกคำตอบตรงๆ ของเด็กชายทำให้นิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนจะเลี่ยงพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อหนีความคิดของตัวเอง

“ผมไม่ได้เป็นเด็กหลงหรอกครับ ที่นี่น่ะผมเดินจนจำได้ทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ที่มาคืนนี้น่ะเพราะมัมมี๊ของผมมาคลอดน้องชายฝาแฝดแล้วก็พักฟื้นอยู่ห้องข้างบน ส่วนแด๊ดดี้ของผมก็ดีใจที่มัมมี๊กับน้องชายฝาแฝดแข็งแรงปลอดภัยจนเป็นลมไปยังไม่ฟื้นเลย ผมเลยหนีมาแอบดูน้องก่อนแต่ก็ผ่านมาเจอหลวงน้านี่แหละครับ”

“หลวงน้ายินดีด้วย” พระธนุธัมโมอดที่จะยิ้มให้กับเด็กชายไม่ได้

“มีน้องแล้วก็ต้องคอยดูแลน้องให้ดี อย่าเห็นแก่คนอื่นแล้วไปรังแกน้องล่ะ”

“ผมน่ะรักน้องตั้งแต่น้องยังอยู่ในท้องมัมมี๊ด้วยซ้ำ” เด็กชายเอริคอวดอย่างภาคภูมิใจ “แล้วผมก็ย่อมต้องดูแลคนที่ผมรักอยู่แล้ว”

“ดีแล้ว” พระภิกษุหนุ่มชมเชยอย่างสะท้อนใจตัวเอง เด็กชายตัวแค่นี้ยังรู้จักคิดว่าตนต้องดูแลคนที่ตนรัก

“ผมไม่กวนหลวงน้าแล้วล่ะ แอบไปดูน้องก่อนที่แด๊ดดี้จะได้สติมาแย่งดูก่อนดีกว่า” เด็กชายเอริคยกมือไหว้ลาช้าๆ ก่อจะกระโดดโลดเต้นวิ่งไปแผนกเด็กอ่อนอย่างชื่นบานใจ ปล่อยให้พระภิกษุหนุ่มนั่งครุ่นคิดปลงตกอยู่รูปเดียว

ในเมื่อโยมแม่มาป่วยเช่นนี้แล้ว คงสมควรแก่เวลาที่จะลาสิกขาบทเพื่อออกมาดูแลท่านแล้วกระมัง นับว่าท่านยังมีบุญที่ชีวิตนี้ยังได้มีโอกาสดูแลตอบแทนพระคุณแม่ผู้เปรียบเหมือนพระอรหันต์ในบ้านก่อนที่จะสายเกินไป

ณ โลกอีกมิติหนึ่ง ในโถงว่าราชการซึ่งบรรดาข้าราชการผู้มากความสามารถและจงรักภักดีกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดนั้น ราชันไพรสัณฑ์สดับฟังเสียงฝีเท้าสั้นรัวที่วิ่งใกล้เข้ามาด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์บางๆ

ราชองครักษ์หิรัญซึ่งรอดตายจากคมดาบเมื่อหลายปีก่อนและกำลังยืนอารักขาราชันอยู่ไม่ห่างเองก็ยังอดยิ้ม ไม่ได้ ไม่นานนักที่หน้าประตูโถงว่าราชการก็ปรากฏพระวรกายเล็กๆ ของพระธิดาซึ่งถนัดวิชาการเล่นซุกซนยืนจังก้าด้วยความไม่สบอารมณ์

ครั้นพระธิดาผู้มีวรองค์เล็กแต่เจ้าอารมณ์เหลือบเห็นพี่ชายทั้งสามของตนประทับประจำกันอยู่ข้างทูลกระหม่อมพ่อก็ทำพระพักตร์เบ้แล้ววิ่งผ่ากลางวงเข้ามาอย่างคล่องแคล่วว่องไวซึ่งบรรดาข้าราชการต่างก็โยกตัวหลบได้อย่างคุ้นเคยกัน

“พวกพี่รับปากจะเล่นซ่อนหากับข้าที่อุทยาน แต่กลับหนีมาซ่อนอยู่กับทูลหม่อมพ่อแบบนี้หมายความว่าอย่างไร! อธิบายให้น้องเข้าใจมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” พระธิดาสุทธิรัศมีเท้าบั้นพระองค์พร้อมรับสั่งคาดคั้น ดวงเนตรวาววับและดวงพักตร์เล็กๆ แดงจัดเพราะกริ้วและเหนื่อยไม่ทำให้ความน่าดูน้อยลงเลย ตรงกันข้ามกลับทำให้พระธิดาน่ารักอย่างมีชีวิตชีวาด้วยซ้ำ

“พวกพี่ก็เล่นซ่อนแอบกับน้องอย่างไรล่ะจ๊ะ” พระโอรสองค์โตอายุแปดชันษานามชนาธิบดีรับสั่งขึ้น ด้วยอย่างประนีประนอม ทรงมีพระพักตร์ละม้ายพระมารดาและมีพระจริยวัตรงดงามหนักแน่นสมกับเป็นองค์พี่

“เพียงแต่พวกพี่มาหลบอยู่ที่นี่อย่างไรล่ะ” พระโอรสองค์รองอายุเจ็ดชันษานามกฤติธีรับสั่งเสริม ดวงเนตรสีดำขลับเปล่งประกายเฉลียวฉลาดและมีพระพักตร์คล้ายพระบิดาหากแต่พระจริยวัตรคล่องแคล่วว่องไวคล้ายพระมารดา

“แต่น้องก็สามารถตามหาจนเจอ ไม่เรียกว่าคนเก่งแล้วจะเรียกว่าอย่างไรจ๊ะ” พระโอรสคนเล็กอายุหกชันษานามวัศพลรับสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานเอาใจ แต่โดยปกติแล้วทรงมีพระจริยวัตรกร้าวแกร่งดุดันเหมือนพระบิดาเมื่อครั้ง ยังเป็นองค์รัชทายาท

“พวกพี่ก็เป็นแบบนี้ทุกที คราวหลังถ้าอยากมาช่วยทูลหม่อมพ่อทำงานและไม่อยากเล่นกับน้องก็บอกน้องดีๆ ไม่เห็นต้องหลอกน้องแบบนี้เลย” พระธิดารับสั่งตัดพ้อ พระอัสสุชลคลอคลองทำให้ผู้มองเกิดความสงสารเห็นใจ “ในเมื่อพวกพี่ไม่อยากเล่นกับน้อง คราวหลังน้องจะได้ไปเล่นกับพี่บัณฑัต”

ทั้งราชันไพรสัณฑ์และบรรดาพระโอรสรู้สึกผิดพระกรรณและพระพักตร์เคร่งกันทันที บัณฑัตที่พระธิดาสุทธิรัศมีรับสั่งถึงเป็นบุตรชายของเจ้ากระทรวงการคลัง เขามีอายุเท่ากันกับพระโอรสชนาธิบดีและเป็นเด็กนิสัยดีที่มีความขยันขันแข็ง มีอนาคตยาวไกล แต่ถึงกระนั้น ชายทั้งสี่ก็ยังไม่พอพระทัย

ก็พระธิดาสุทธิรัศมีเป็นของพวกเขานี่นา!

“ท่านเจ้ากระทรวงการคลัง บุตรชายของท่านคนนั้น พักนี้ตามท่านเข้าวังมาบ่อยๆ นะ ไม่ทราบมาด้วยธุระใด” ราชันไพรสัณฑ์หันมาไล่เบี้ยเอากับคนพ่อเพราะคนลูกที่เป็นคู่กรณีไม่ทราบอยู่ไหน

“บัณฑัตเป็นลูกศิษย์ของพระมเหสีพระเจ้าค่ะ” คำตอบเจือรอยขบขันของเจ้ากระทรวงการคลังทำให้ราชันหนุ่มนิ่งเงียบไป หากอยากรู้ว่าทรงมีสีพระพักตร์เช่นไรก็ขอให้มองสีพระพักตร์ของพระโอรสทั้งสามซึ่งมักจะฉายไปในทางเดียวกัน

“น้องไปเล่นกับพี่บัณฑัตดีกว่า” พระธิดาทำหน้าบึ้งให้พระเชษฐาทั้งสามแล้ววิ่งไปกอดบั้นพระองค์ของทูลกระหม่อมพ่ออย่างประจบประแจงก่อนจะวิ่งหลาวออกไปหลังจากโปรยรอยยิ้มประทับใจทุกคนแล้ว

“ทูลกระหม่อมพ่อ อะแฮ่ม… พวกเราขอตัวไปเล่นกับน้องหญิงพระเจ้าค่ะ” พระโอรสองค์โตกระแอมเบาๆ ขณะเหลือบมองตากับพระอนุชาอย่างรู้กัน

“ไปเถอะ ดูแลน้องให้ดีๆ ด้วย” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเข้ม เมื่อพระโอรสทั้งสามรีบไล่ติดตามพระธิดาไปก็โล่งพระทัยอย่างบอกไม่ถูก แต่เมื่อพบกับท่าทีเหลือบมองตากันด้วยความขบขันของบรรดาข้าราชการซึ่งจงรักภักดีกับพระองค์ก็ทรงกระแอมอย่างเคร่งขรึม

“ว่าเรื่องต่อไปได้เลย”

พระมเหสีโสมประทับอยู่ในศาลากลางอุทยานพลางทอดพระเนตรพระโอรสและพระธิดาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานด้วยความเกษมสำราญ แต่ดูเหมือนพระโอรสทั้งสามจะพยายามทำตัวน่าขันด้วยการกันท่าบัณฑัตให้ออกห่างจากพระธิดา นี่คงหวงพระกนิษฐภคินีสิท่า โถ… เด็กหนอเด็กตัวยังเล็กแต่คิดไกลเกินไปจริงๆ

“ขอนั่งด้วยนะจ๊ะ” ราชันไพรสัณฑ์แอบเสด็จมาด้านหลังของพระมเหสีอย่างเงียบๆ เพื่อสร้างความแปลกพระทัย แต่เมื่อได้รับหมัดไม่มีตาจนเกือบหลบไม่พ้นก็ทำให้ทรงรู้ซึ้งว่าทรงทำให้พระนางแปลกพระทัยมากจริงๆ

“อย่าเข้ามาข้างหลังนะ เดี๋ยวจะเจ็บตัวเสียเปล่า แล้วจะหาว่าสวยไม่เตือน” พระมเหสีโสมรับสั่งพร้อมรอยยิ้มหยิ่งๆ ทำ ให้ ผู้ที่ทอดพระเนตรทั้งรักทั้งเอ็นดูเหมือนเมื่อแรกรักทั้งที่เป็นสามีภรรยากันเป็นเวลากว่าเก้าปีแล้ว

“โปรดพระราชทานอภัยด้วยพระเจ้าค่ะพระมเหสี” ทรงกระเซ้าแล้วประทับนั่งข้างพระมเหสีของพระองค์เพื่อโอบกอดแนบพระอุระ “กินข้าวกินยาแล้วหรือยังจ๊ะ เจ้าต้องบำรุงให้มากขึ้น กว่าเดิมนะครั้งนี้”

“กินทั้ง ข้าวและยาเรียบร้อยแล้วล่ะ” พระมเหสีโสมเอนอิงพระองค์เข้าหาพระสวามี “ลูกโตจนวิ่งเล่นได้ตั้งสี่คนแล้ว ในท้องนี่ก็คนที่ห้าเพราะฉะนั้น ท้องนี้ขอเป็นท้องสุดท้ายแล้วนะ”

“ยอมแพ้แล้วหรือจ๊ะ” ทรงพระสรวลเสียงดังก่อนจะจุมพิตพระปรางนวลเบาๆ สองทีให้ชื่นพระทัย “มีแค่ห้าคนนี่เจ้าไม่รู้สึกว่าแพ้นางศรีศุภางค์หรือ นางแต่งงานกับลูกท่านเจ้าเมืองอสุรนครหลังงานอภิเษกสมรสของเราอีกนะ แต่ตอนนี้มีธิดาและโอรสทั้ง หมดเจ็ดคนแล้ว”

ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งถึงแม่หญิงศรีศุภางค์และอุครา ย้อนไปเมื่อตอนที่อุคราถูกพระองค์ปราบจนพ่ายกลับเมืองไปนั้น เด็กหนุ่มได้ป่วยหนักจนเหมือนจะไม่รอดชีวิต พระองค์ทรงเห็นใจจึงรับสั่งไม่เอาเรื่องเอาราวกับทางอสุรนคร แล้วไม่ทราบเกิดเรื่องใดแม่หญิงศรีศุภางค์จึงเดินทางไปยังอสุรนคร หลังจากนั้นเพียงวันเดียวอุคราก็ฟื้นไข้และรอดตายอย่าง

ปาฏิหาริย์ภายใต้การดูแลของนาง เวลาผ่านไปสามฤดูก็ได้ข่าวว่าแม่หญิงคนงามยอมสมรสกับอุคราเรียบร้อยแล้ว

“นางท้องไหวก็เป็นเรื่องของนางสิ แต่ฉันน่ะพอแล้ว” พระมเหสีทรงพระสรวลเบาๆ “ผู้หญิงน่ะยิ่งมีลูกมากสุขภาพก็ยิ่งไม่ดีเพราะต้องแบ่งความสมบูรณ์ของร่างกายไปให้ลูกด้วย ทุกวันนี้ฉันยอมกินยาทุกมื้อ ก็เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ดูแลท่านและลูกไปนานๆ นะ”

“เดี๋ยวนี้รู้จักเกลี้ กล่อมข้าจนสำเร็จแล้วนี่” ราชันไพรสัณฑ์แสร้งถอนพระทัย

“คนเราก็ต้องมีพัฒนากันบ้าง โดยเฉพาะกับฉันที่รักผู้ชายเจ้าเหตุผล” ทรงบอกรักพระสวามีไปกลายๆ

“ข้าก็รักเจ้าจ้ะ แม่คนหัวดื้อ” ราชันหนุ่มอดไม่ได้ที่จะจุมพิตพระปรางนุ่มนิ่มอีกครั้ง “หากชาติหน้ามีจริง ข้าจะรักและแต่งงานกับเจ้าเพียงคนเดียว”

“แล้วถ้าฉันหนีท่านล่ะ” พระมเหสีแสร้งถาม

“เอาเชือกมัดเลยดีหรือไม่ พอจับตัวได้แล้วจะได้หนีไม่รอด”

“คราวนี้มีเชือกด้วยแหละ” เสียงกระซิบกระซาบของพระธิดาตัวน้อยดังขัดจังหวะทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองต้องค่อยๆ ผละออกจากกันอย่างนุ่มนวลเพื่อกลบเกลื่อนความเขิน เมื่อก้มลงทอดพระเนตรจึงค่อยเห็นพระธิดาและพระโอรสทั้ง สามนอนหมอบซุ่มอยู่ตรงพุ่มดอกแก้วข้างศาลา โดยมีบัณฑัตยืนทำหน้าแห้งอยู่ไกลๆ ก่อนที่จะลาจากไปเพื่อให้ความเป็นส่วนพระองค์

“มาทำอะไรกันตรงนี้น่ะ เจ้าพวกสมุนลิงตัวแสบ” ถ้อยคำที่เรียกพระโอรสและพระธิดาของพระมเหสีเป็นคำเฉพาะที่มีแต่พระนางเท่านั้น ที่กล้าเรียก

“มาดูทูลหม่อมพ่อกับทูลหม่อมแม่จู๋จี๋กันเพคะ” พระธิดาองค์น้อยทำหน้าตาใสซื่อแต่วาจาทะเล้นทะลึ่ง

“พูดมาก เดี๋ยวจะไล่ให้ไปเรียนแพทย์กับท่านอุสุธรรม” ทรงข่มขู่พระธิดา แต่แทนที่นางจะกลัวกลับพระเนตรแพรวพรายด้วยความดีพระทัยไปเสียได้

“ทูลหม่อมแม่ไล่เดี๋ยวนี้เลยก็ได้เพคะ”

“เอาไว้ก่อนเถอะ” พระนางผัดผ่อนวันเพราะหากส่งยายตัวแสบจอมซนนี้ไปให้อุสุธรรมอบรมตอนนี้คงได้ทำให้สำนักหมอหลวงปั่นป่วนวุ่นวายเป็นแน่ อุสุธรรมยิ่งรักและตามใจยายตัวแสบอยู่ด้วย

“แล้วจะลุกจากพื้นกันได้หรือยังลูก” ราชันไพรสัณฑ์อาจจะวางองค์เคร่งขรึมต่อหน้าข้าราชบริพาร แต่กับพระโอรส พระธิดาและพระมเหสีพระองค์จะทรงอ่อนหวานด้วยอย่างที่สุด

“ยังพระเจ้าค่ะ เชิญทูลกระหม่อมพ่อและทูลกระหม่อมแม่คุยกันต่อเถิด พวกเราจะดูอย่างเงียบๆ รับรองไม่มีเสียงรบกวน” รับสั่งตอบจากพระโอรสคนกลางทำให้ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลออกมาเพราะคารมช่างเหมือนพระมเหสีของพระองค์เหลือเกิน

“มาต่อกันเถอะจ้ะ ลูกรอดูอยู่” ทรงผสมโรงเล่นตาม

“อีตาบ้านี่ เล่นทะเล้นตามลูก” พระมเหสีคนงามค้อนให้วงใหญ่อย่างไม่จริงจังนัก “เราต้องแอบไปต่อกันสองคนต่างหากถึงจะดีกว่า เด็กจะได้ไม่ใจแตกไง”

ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลเสียงดังด้วยความขบขันก่อนจะรวบร่างพระมเหสีของพระองค์เข้ามาจุมพิตพระปรางแรงๆ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยุยงของพระโอรสและพระธิดา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!