ตอนที่ ๘
ลวงตา
เมื่อท่านราชองครักษ์โสมผู้สร้างสีสันให้แก่พระตำหนักสุริยันหลุดพ้นจากวิบากกรรมที่โรงเลี้ยงเสือแล้ว หญิงสาวก็เดินทางไปห้องทรงงาน เธอคันมือคันเท้าอยากหาเรื่องคนอยู่บ้างแต่ก็ต้องระงับอารมณ์
“อ้าว! มาแล้วหรือ นั่งก่อนสิ” สุรเสียงเป็นมิตรทำให้โสมที่เพิ่งก้าวเข้ามาไม่ไว้ใจ ราชันทรงหน้ากากภูตครึ่งหน้าเผยให้เห็นพระโอฐหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ที่ตีความหมายไม่ออก “ได้ข่าวว่าท่านเป็นที่รักในหมู่เสือดีนี่ เห็นเข้ามานัวเนียด้วยตลอดทั้งวัน เจ้าเสือหนุ่มพวกนี้มันกระไรอยู่หนา ใช้มิได้”
ถ้าความอดทนของคนเรามีจำกัด โสมก็คิดว่าตัวเองใกล้ถึงขีดจำกัดนั่นเต็มที หญิงสาวอยากจะลบรอยแย้มพระโอษฐ์นั้น ด้วยกำปั้น แต่สิ่งที่เธอทำคือการเก็บอารมณ์แล้วปั้นเสียงอ่อนน้อมระรื่นหู
“เสือถึงแม้จะดุร้ายยังไง ถูกสะกดไว้ด้วยมนตร์ชนิดไหน แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นสัญชาตญาณโบราณของเผ่าพันธุ์มันไปได้ เพียงแต่ที่มันว่าง่ายกับฉันก็เป็นเพราะมันรู้ว่าควรสยบให้กับใคร”
“ถ้าเช่นนั้น แต่งตั้งท่านเป็นผู้นำกองทหารเสือดีรึไม่” รับสั่งด้วยสุรเสียงกลั้วหัวเราะ แย้มพระโอษฐ์กว้างจนเห็นพระทนต์ขาวสะอ้าน
โสมหนาวยะเยือก ขนลุกซู่
รอยยิ้มแบบนี้คิดจะเอาให้ถึงตายเลยหรือไง
“ฉันคิดจะถามท่านมานานแล้วว่าคาถาอาคมของพวกท่านมันเป็นยังไง ฉันอยากลองดูวิชาของพวกท่านบ้าง” หญิงสาวรีบเปลี่ยนเรื่อง บางทีพูดเรื่องอื่นแล้วอาจทำให้ทรงลืมเรื่องที่รับสั่งค้างเอาไว้ก็เป็นได้
“ท่านยังต้องการดูคาถาอาคมของมนุษย์ไปทำไม” รับสั่งถามเรียบๆ
คนกะล่อนมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกรีบหาวิธีกลบเกลื่อนทันที
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้งไง” เธอทำเสียงให้เป็นปกติกลบพิรุธได้ชะงัด
ราชันไพรสัณฑ์ทรงนิ่งไปหลายอึดใจ
ความเงียบเป็นแรงกดดันให้โสมรู้สึกเหมือนกำลังรอคำพิพากษาจากยมบาล แล้วความกดดันก็ลดลง เมื่อทรงลุกขึ้นไปหยิบสมุดข่อยสองเล่มในหีบที่มุมห้องแล้วส่งให้ถึงมือเล่มหนึ่ง เธอรับมาเปิดดูแล้วก็ได้แต่มึนเพราะภาษาที่เขียนไม่คุ้นตาเลยสักตัว
แต่แล้วกลับทรงยื่นอีกเล่มมาให้เธอรับมาเปิดอ่าน “ก็แล้วทำไมไม่ส่งอันนี้ให้ตั้งแต่ทีแรก”
“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าท่านเหมือนทูลกระหม่อมแม่ของข้าที่อ่านภาษาของเราไม่เข้าใจหรือไม่เท่านั้น ”
โสมก้มมองตัวอักษรภาษาไทยหัวเหลี่ยมลายเส้นสวยอ่านง่ายจารอย่างเป็นระเบียบในสมุดข่อยซึ่งอธิบายถึงความเป็นมา การบูชาและมนตร์คาถาโดยละเอียด อ่านง่ายอย่างน่าทึ่ง
“เล่มนี้ใครเป็นคนเขียนน่ะ”
“ทูลกระหม่อมพ่อทรงรํ่าเรียนภาษาของทูลกระหม่อมแม่แล้วทำการคัดลอกเล่มนี้ขึ้น” รับสั่งเยียบเย็นในประโยคต่อมา “ข้าใช้ความไม่รู้ อุปโลกน์สมุดข่อยเล่มนี้เป็นตำราวิเศษซึ่งเป็นขุมพลังอำนาจพลิกแผ่นดินเปลี่ยนฟ้าได้ ทำให้หลายฝ่ายไม่กล้าบุ่มบ่ามทำการใด”
“เพราะตำราวิเศษนี้อยู่ในมือของท่านสินะ” โสมพลิกสมุดไปมา “ฉันขอยืมไปศึกษาหน่อยแล้วกัน ไม่เอาไปไหนไกลหรอก อ่านมันอยู่นี้แหละ จะอนุญาตไหม”
ราชันไพรสัณฑ์ไม่รับสั่งตอบแต่แย้มพระโอษฐ์กว้างอย่างที่ทำให้โสมขนลุกเป็นรอบที่เท่าไรก็จำไม่ได้ หญิงสาวเดินเลี่ยงไปนั่งอ่านไม่ใกล้ไม่ไกล ปล่อยให้พระองค์ทรงงานไปเงียบๆ ฤกษ์งามดีเสียจริงที่วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีเหมาะแก่การบูชาครูเริ่มเรียนคาถาอาคมเสียด้วย
คาถาอาคมในสมุดเล่มนี้มีลักษณะคล้ายคัมภีร์อาถรรพเวทตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ โดยมีด้วยกัน 8 ประเภท ได้แก่ พระเวทย์แก้โรคต่างๆ พระเวทย์ประสาน พระเวทย์สะเดาะ พระเวทย์ป้องกันตัว พระเวทย์แสดงปาฏิหาริย์ พระเวทย์ให้โทษต่อผู้อื่น พระเวทย์แก้ภูตผีปีศาจ และพระเวทย์ทำเสน่ห์ เธอคงต้องเริ่มเรียนตั้งแต่บทแรกๆ
เรียนกฎหมายท่องจำประมวลฯ มาก็พันกว่ามาตรายังทำได้ ท่องจำคาถาอาคมก็คงไม่เกินกำลังมากเท่าไรหรอกมั้ง
หญิงสาวอ่านพิธีกรรมพอแค่ให้รู้ เมื่ออ่านมาถึงบทที่เป็นคาถาปฏิบัติ เพียงแค่เธออ่านมนตร์ในใจพรที่แม่หญิงจันทรวดีอำนวยให้กลับสำแดงให้เธอกลายเป็นผู้ชำนาญเวทย์ ห้องทรงงานจึงปั่นป่วนไปด้วยคลื่นอาคม ภูตผีปีศาจเริ่มปรากฏตัวตามคาถาเรียกใช้ ทำให้ทหารภูตตกใจกรูกันเข้ามาเตรียมประสานกันขับไล่วิญญาณร้าย
“ไม่ต้อง… พวกเจ้าออกไป” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งห้วนๆ ขณะทอดพระเนตรโสมอย่างจับสังเกต
โสมสามารถเรียกใช้คาถาได้ทุกบทเพียงอ่านในใจไม่ว่าจะเป็นคาถาที่ยากเย็นเพียงใดก็ตามทำให้ทหารภูตที่เฝ้ามองรู้สึกนับถือและหวั่นเกรงยิ่งนัก หากแต่ใครจะรู้ว่าในพระทัยของราชันบ้างว่าทรงมีพระดำริเช่นไร
ที่แล้วมาพระองค์ยังขาดความนับถืออยู่บ้างเพราะผู้อ้างตัวเป็นอาคันตุกะมิได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรให้ดู มาบัดนี้ได้ทอดพระเนตรก็เกิดความรู้สึกหลายอย่างปนเปกัน หนึ่งในนั้น ย่อมไม่พ้นความระแวง จะมากน้อยเพียงใดแม้แต่พระองค์เองก็ไม่สามารถตอบได้
โสมรวบรวมสติ กำหนดเจตจำนงเรียกเมฆฝนมา ปรากฏว่าเมฆทะมึนก้อนใหญ่ปกคลุมท้องฟ้าที่สว่างไสวให้กลายเป็นยามโพล้เพล้โดยพลัน เสียงท้องฟ้ากัมปนาทดังราวกับผ่าปฐพีแล้วฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว ลมพายุโหมกระหนํ่ารุนแรง เธอตกใจกับความร้ายแรงของคาถาแล้วรีบกำหนดจิตถอนคืน ความสงบก็กลับมาเยือนโดยพลัน ฟ้ากระจ่างใสราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น มีเพียงน้ำที่เจิ่งนองและซากความเสียหายเป็นพยาน
“ฉันว่าไม่จำเป็นต้องเรียนบทคาถาก็ได้ บางที่การท่องบทคาถาก่อนใช้คาถาบทไหนอาจเป็นเพียงการรวมสมาธิ ถ้าอย่างนั้น ก็แค่ตั้งสติให้มีสมาธิแล้วใช้พลังจิตกับเจตจำนงก็ได้แล้ว ไม่ต้องยุ่งยากไปท่องคาถาเลย”
เพียงแต่เธอได้ความสามารถมาโดยขาดทักษะ จึงจำเป็นต้องฝึกฝนให้คล่องแคล่วถึงจะสามารถใช้คาถาได้ทรงอิทธิฤทธิ์จริงๆ และถ้าจำเป็นต้องนำไปใช้ในการต่อสู้เธอก็ยังขาดประสบการณ์และความชำนาญ ใช่ว่าเป็นเอตทัคคะแล้วจะสามารถเอาชนะคนอื่นได้ง่ายๆ
“ท่านคิดว่าในแผ่นดินนี้มีคนอย่างท่านอยู่สักกี่คน” ราชันหนุ่มรับสั่งเรียบๆ “ข้าไม่สงสัยในตัวท่านอีกแล้ว”
“ก็ดีแล้ว” หญิงสาวบอก สังหรณ์รุนแรงว่าเรื่องมันไม่จบง่ายๆเพียงแค่นี้ต่อจากนี้ไปอาจเป็นก้าวแรกของวิบากกรรมที่แม่หญิงจันทรวดีพูดถึงก็ได้ แต่เธอไม่รู้ว่าวิบากกรรมนี้มาในรูปแบบไหน จากใคร และป้องกันได้รึไม่ ทำให้จิตใจเป็นทุกข์และสับสนเหลือเกิน
นี่ล่ะหนอโทษของการรู้แต่ไม่สามารถคาดการณ์ทำอะไรได้ ทรมานกว่าการไม่รู้มากนัก!
“ฉันขอไปพักผ่อนนะ ใช้พลังไปมากก็เหนื่อยเอาการเหมือนกัน” เธอหาทางหนีจากสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจนี้ เมื่อเธอเดินไปถึงบริเวณหน้าห้องที่เหล่าทหารภูตยืนออกันอยู่ ทุกคนต่างหลีกทางให้
“เดี๋ยวก่อน!” ราชันหนุ่มรับสั่งรั้งเอาไว้
โสมยืนตัวแข็งเกร็งด้วยความเครียดอย่างช่วยไม่ได้ “ต่อไปนี้ข้าให้ท่านรับยศเป็นผู้นำกองทหารพยัคฆ์ทมิฬ”
“เป็นพระกรุณาธิคุณแล้วพระเจ้าค่ะ!”
โสม พยัคฆ์ดำรงได้เป็นผู้นำกองทหารพยัคฆ์ทมิฬ โก้เสียไม่มี!
วันต่อมาเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ธรรม์นัดพบโสมที่ร้านขายผ้าร้านใหญ่ เธอแต่งตัวธรรมดาแล้วลอบออกจากวังด้วยมนตร์อำพรางกายก่อนไปซื้อเครื่องแต่งกายของสตรีใส่ในห่อผ้าเอาไว้ หญิงสาวไม่ต้องการปรากฏตัวในที่สาธารณะ จึงแวะไปทิ้งข้อความถึงธรรม์ที่ร้านผ้าแห่งใหญ่ว่าจะไปรอที่ชายป่าทิศตะวันออก เธอร่ายมนตร์พรางตาแล้วนั่งทอดอารมณ์บนผืนหญ้านุ่มแถวนั้น
ไม่นานนักก็เห็นธรรม์ในชุดชาวบ้านเดินระแวดระวังสำรวจสถานที่ เธอจึงถอนมนตร์อำพรางแล้วเอื้อมมือไปสะกิดไหล่ ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะไหวตัวระแวงเกินเหตุคว้าจับมือเธอเอาไว้แล้วจับทุ่ม หากแต่โสมกลับใช้จังหวะที่เขาทุ่มเธอตัวลอยแต่ยังไม่ปล่อยมือ พลิกคว้าข้อมือเขาเอาไว้แล้วเป็นฝ่ายจับเขาทุ่มลงกับพื้นเสียเอง
“ขี้ตกใจจริงๆ แค่สะกิดนิดเดียวถึงกับต้องจับทุ่มเลยหรือ” โสมถามเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นธรรม์นอนกะพริบตาอย่างมึนงงชั่วครู่หนึ่งก่อนผุดลุกขึ้น มามองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง “สวัสดี”
“เมื่อครู่แม่หญิงจับข้าทุ่มรึ” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงไม่แน่ใจพลางลุกขึ้นช้าๆ
“ก็อยู่ด้วยกันสองคน ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครล่ะ” หญิงสาวยิ้ม แล้วหมุนตัวให้อีกฝ่ายดู “เป็นไง แต่งแบบนี้แล้วเหมือนผู้ชายวิปริตหรือเปล่า”
ธรรม์ไม่มองหญิงสาวตรงๆ แต่เหลือบมองด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ภาพหญิงสาวที่มีใบหน้าคมคายกลับดูอ่อนละมุนยามมีผมยาวล้อมกรอบใบหน้า ดวงตาสีน้ำเงินแปลกตาใต้คิ้ว คมเข้มที่ล้อมกรอบด้วยขนตายาวนั้น ดูสวยงามน่ามอง ทั้งจมูกโด่ง แก้มสีสด ริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อ ลำคอระหงและเนินอกอวบอิ่มที่พ้นจากสไบนั่นแทบทำเอาหัวใจของคนที่มองหยุดเต้นเอาง่ายๆ
“แม่หญิงไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่าวิปริตแม้แต่น้อย” ชายหนุ่มพูดเบาๆ “ไม่รู้ตัวเลยรึว่าแม่งามตรึงตานัก”
“ฉันนี่นะงาม” โสมทวนอย่างไม่อยากจะเชื่อ เวลาเธอต้องแต่งตัวเป็นผู้หญิงก็จะถูกเจ้าธนุมันจ้องเอาๆ แล้วก็เบือนหน้าหนี
“เราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า ตามข้ามาเถิด ใกล้ๆ นี้มีสถานที่วิเศษแห่งหนึ่งอยู่” ธรรม์พาโสมเดินลัดเลาะเข้าสู่ป่าด้านหนึ่งที่อุดมสมบูรณ์มาก
ต้นไม้ต้นสูงใหญ่ปกคลุมจนเกือบเป็นผืนฟ้าสีเขียว ดอกไม้หลากหลายสีหลากหลายชนิดแข่งกันเบ่งบานส่งกลิ่นหอม แสงแดดส่องลอดผ่านร่มไม้เข้ามาต้องแผ่นดินเป็นลำแสงสีทองดูคล้ายสวรรค์บนดินจนรู้สึกว่าตนได้ลุกล้ำเข้ามาก่อกวนความสงบนี้
มือขาวแข็งแกร่งของธรรม์เอื้อมไปเด็ดช่อดอกมะลิลาช่อหนึ่งไปทัดหูโสมให้อย่างถือวิสาสะทำให้หญิงสาวหน้าร้อน เขามองแสงแดดสีทองลำเล็กๆ ลอดผ่านม่านใบไม้ลงมาต้องแก้มสีสดราวกับต้องมนตร์ ความงามประหนึ่งบุปผาแรกแย้มทำให้ผีเสื้อหนุ่มไม่อาจทนความเย้ายวน แตะต้องดอกมะลิลาซึ่งทัดอยู่บนใบหูนุ่มทิ้งช่อลงระกับพวงแก้มอย่างทะนุถนอมเสมือนการจุมพิตแก้มปลั่ง
“ผีเสื้อ ยังหลงเข้าใจว่าแม่หญิงคือดอกไม้งามจนไม่อาจต้านความเย้ายวนได้ ต้องเวียนเข้ามาจุมพิตให้ชุ่มชื่นใจ”
โสมรู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกจากอก ปีกผีเสื้อ บางเบาที่เกาะเกี่ยวอยู่กับดอกมะลิลาปัดผ่านแก้มเธอละม้ายจุมพิตแผ่วเบาจริงๆ แต่นั่นไม่ร้ายเท่าเสน่ห์ของธรรม์ในขณะนี้นิ้วยาวแกร่งยื่นมาที่พวงดอกมะลิข้างแก้มของเธอ ข้อนิ้ว ของเขาปัดผ่านแก้มเธอเบาๆ ก่อนจะชักกลับไปพร้อมภมรหนุ่มที่เกาะอยู่บนนิ้ว
“เจ้านี่มันเจ้าชู้นัก แต่หวังว่าแม่หญิงจะไม่ถือสามัน” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ ดวงตาคมปลาบเปล่งประกายระยิบระยับ
“แมลงเจ้าชู้ใส่ไม่ว่า ขอแค่คนอย่ามาเจ้าชู้ใส่ก็แล้วกัน” สิ้นเสียงของเธอ ชายหนุ่มก็หัวเราะเสียงดัง ดวงหน้าคมละมุนลงดูหล่อเหลาน่ามอง
“แม่หญิงยังไม่บอกข้าเลยว่าแม่หญิงชื่ออะไร” ธรรม์แตะข้อศอกหญิงสาวให้ลุกเดินชมความงามของธรรมชาติด้วยกัน
“โสม” หญิงสาวสูดลมหายใจช้าๆ เพื่อควบคุมจังหวะของหัวใจให้เป็นปกติ
“โสมที่หมายถึงพระจันทร์งั้น หรือ” ชายหนุ่มรำพึงเบาๆ สีหน้าเปลี่ยนไปวูบหนึ่งก่อนกลับเป็นปกติแล้วก้มลงมองหญิงสาวด้วยแววตาอ่อนแสงลง “งามโดดเด่นเช่นพระจันทร์สมชื่อแม่หญิงจริงๆ”
“พูดอะไรน่าขนลุกน่ะ” โสมทำท่าขนลุกขนพองเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขิน
“ข้าจะไม่พูดให้แม่หญิงโสมขัดเขินอีกก็ได้” ชายหนุ่มพูดเสียงนุ่มระคนหยอกล้อ
“ท่านมาตีสนิทกันฉัน หวังอะไรจากฉันรึเปล่า หรือท่านต้องการเปลี่ยนใจฉันให้ไปเข้ากับท่าน ขอบอกว่ามันไม่มีประโยชน์ ฉันไม่ได้ภักดีต่อราชัน แต่ฉันภักดีต่อกณวรรธน์นคร การที่จะไปเข้ากับพวกท่านที่เข่นฆ่าชาวเมืองด้วยวิธีการทารุณโหดร้ายนั้น ฉันไม่อาจทำได้” หญิงสาวคิดว่าชายผู้นียั้งไม่น่าไว้ใจไม่ว่าจะกรณีใด เธอควรระมัดระวังความรู้สึกของ
ตัวเองให้ดี
“ที่ข้ามาตีสนิทกับแม่หญิง ก็คาดหวังอะไรบางอย่างจากแม่หญิงจริงๆ ข้าไม่ต้องการเปลี่ยนใจแม่หญิงให้มาเข้ากับข้า แต่ข้าต้องการหัวใจของแม่หญิงมาอยู่กับข้ามากกว่า” ธรรม์บอกเสียงนุ่ม ทั้งสีหน้าและแววตาอ่อนโยนแฝงความอ่อนหวาน “แม่หญิงคงไม่ลืมกระมังว่าข้าขอแม่หญิงแต่งงานในคืนนั้น ”
โสมอึ้งไปนานพอสมควร ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้น มาอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันยืนยันจะไม่แต่งงานกับท่าน เลิกคิดได้เลย”
“ข้าจะค่อยๆ เปลี่ยนใจแม่หญิง” ชายหนุ่มทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวพูด “ข้าเชื่อว่าแม่หญิงต้องเห็นความดีของข้าสักวันหนึ่ง”
“ถ้าอย่างนั้น เริ่มจากการพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกท่านจะไม่ทำร้ายชาวกณวรรธน์นครอีกเป็นอันดับแรก” เธอต่อรองกับเขาในทันที
“แม่หญิงรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเมืองนี้บ้างหรือ รู้รึไม่ว่าพวกคนที่ตายไปนั้น เป็นคนกลุ่มใดและเหตุผลที่แท้จริงที่ข้าต้องฆ่าพวกเขาคืออะไร” ธรรม์พูดจริงจัง ดวงตาคมปลาบจ้องนิ่งละม้ายคาดคั้นให้เธอคิด “บางสิ่งที่แม่หญิงเห็น อาจจะไม่เป็นอย่างที่แม่หญิงคิดหรอกนะ”
“ท่านต้องการบอกอะไรกับฉันกันแน่”
“ข้าไม่ขอพูดสิ่งใด เพียงแต่หากแม่หญิงอยากทราบความจริงกระจ่างทั้ง หมด ข้าขอย้ำว่าทั้งหมด ก็โปรดไปถามราชันไพรสัณฑ์เอาเถิด พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่ข้าทำเพียงแต่วางเฉยเท่านั้น และข้าขอเตือนว่าความมืดมีอยู่ในจิตใจของทุกคน แล้วแต่ว่าเขาสามารถอำพรางได้มิดชิดเพียงใด จงระวังอย่าให้เขาอำพรางแม่หญิงได้ แม่หญิงอาจจะเป็นเพียง
หมากตัวหนึ่งให้เขาจับหมุนซ้ายขวาเอาง่ายๆ เท่านั้น !”