Skip to content

บุรุษน่าตาย 4

Cover Bn For Web

Chapter 4

ลอบเข้าตำหนักเทพดวงชะตา

เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง เฉินมู่อิ๋งก็หลอมโอสถเซียนระดับสมบูรณ์ระดับหนึ่งออกมา 1 เม็ด อาจารย์หลอมโอสถทุกคนที่เฝ้ามองอยู่จับตาดูสีหน้าตื่นเต้นยินดียิ่ง พวกเขาหันไปมองหน้ามองตากันแล้วกระซิบกระซาบกันเอง อาจารย์หลอมโอสถคนแรกมองๆ เด็กหนุ่มคนนั้น ถามว่า “เจ้ามาจากที่ใด?”

“แดนเทพเป่ยต้าไห่” เฉินมู่อิ๋งตอบ อาจารย์หลอมโอสถรีบโบกมือ “ไม่ใช่ๆ ข้าหมายถึงว่าก่อนจะบรรลุเป็นเทพ เจ้าอยู่ที่ใด?”

“ข้ามาจากโลกมนุษย์” เฉินมู่อิ๋งตอบ อาจารย์หลอมโอสถทำหน้าไม่ถูกใจกับคำตอบที่กว้างเสียจนไม่รู้เรื่อง ไพลินวิญญาณจึงบอกว่า {เจ้านายๆ ตอบเขาว่า โลกพันเล็ก ลำดับที่ 2,900 ซิ}

“ข้ามาจากโลกพันเล็ก ลำดับที่ 2,900” เฉินมู่อิ๋งตอบตามที่ไพลินวิญญาณบอก อาจารย์หลอมโอสถเลิกคิ้วขึ้น “หือ? โลกพันเล็ก ลำดับที่ 2,900?”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ยากนักที่จะมีคนจากโลกพันเล็กบรรลุเป็นเทพได้”

เขาเห็นเจ้าหนุ่มมองอย่างสงสัยจึงอธิบายว่า “พลังฟ้าดินของโลกพันเล็กทุกแห่งล้วนน้อยนิดยิ่งนัก จึงยากมากที่ผู้ฝึกตนจากโลกเหล่านั้นจะฝึกฝนจนบรรลุเป็นเทพได้”

“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าเข้าใจ ใช่ พลังฟ้าดินของที่นั่นน้อยนิดจริงๆ นั่นแหละ หากว่าเขาไม่ได้เข้าไปในเหวอเวจีก็คงยังไม่อาจบรรลุขั้นได้เลยกระมัง

เหล่าอาจารย์หลอมโอสถหันไปกระซิบกระซาบคุยกันอีกครา อาจารย์หลอมโอสถคนแรกจึงพูดว่า “เจ้ามาเป็นศิษย์ข้า เอ้า กราบอาจารย์เสียซิ”

“ฮ๊าย! ฉีเล่อ เจ้าจะแย่งรับศิษย์อย่างนี้ไม่ได้นา” อาจารย์หลอมโอสถคนหนึ่งรีบร้องขึ้นมาทันทีทันใด ฉีเล่อยืดอกเชิดหน้า หันไปพูดว่า “เหตุใดจะไม่ได้เล่า เจ้าคนนี้เป็นต้นกล้าที่ดีข้าย่อมอยากรับเป็นศิษย์”

คำพูดของฉีเล่อทำให้อาจารย์หลอมโอสถด่าออกมา 1 ประโยค “เจ้าหน้าหนายิ่ง”

“เฮอะ! ของอย่างนี้ใครดีใครได้” ฉีเล่อพูดอย่างหน้าหนายิ่ง ทำอาจารย์หลอมโอสถคนอื่นๆ มองอย่างหมั่นไส้ยิ่งนัก เฉินมู่อิ๋งมองๆ เหล่าอาจารย์หลอมโอสถแล้วถามว่า “หากข้ากราบอาจารย์ ข้าจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง?”

“แค่กๆ” เหล่าอาจารย์หลอมโอสถกระแอมกระไอกันทุกคน แอบด่าอยู่ในใจ เจอคนเขี้ยวลากดินอีกคนแล้ว!

ฉีเล่อยิ่งกระแอมกระไอมากกว่าทุกคน เขาหันไปมองเด็กหนุ่มคนนั้นพูดว่า “กราบข้าเป็นอาจารย์ เจ้าย่อมได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย”

“เช่นนั้นท่านช่วยบอกผลประโยชน์ที่ข้าควรได้รับมาให้หมดเถิด ข้าจะได้ลองพิจารณาดูว่าควรจะกราบผู้ใดเป็นอาจารย์” เฉินมู่อิ๋งบอกน้ำเสียงราบเรียบ ทำเหล่าอาจารย์หลอมโอสถตกตะลึงกันเลยทีเดียว พวกเขาก่นด่าในใจ เจ้าคนๆ นี้เขี้ยวลากดินยิ่งนัก! เขี้ยวลากดินพอๆ กับผู้อาวุโสสิบหกเลยกระมัง!

ฉีเล่อรีบพูดผลประโยชน์ที่ศิษย์ของเขาควรได้รับออกมาจนหมด อาจารย์หลอมโอสถคนอื่นๆ ก็พูดต่อแจกแจงรายละเอียดผลประโยชน์ของศิษย์ของเขาออกมาอย่างละเอียดลออ เฉินมู่อิ๋งตั้งใจฟังพวกเขาพูด จนกระทั่งเหล่าอาจารย์หลอมโอสถพูดจนครบทุกคนแล้วเฉินมู่อิ๋งจึงกุมมือคารวะเหล่าอาจารย์ พูดว่า “ขอบคุณพวกท่านมาก ถ้าอย่างไรขอเวลาข้าคิดสักหน่อยเถอะ”

“ได้” ฉีเล่อพูดแล้วพูดต่อว่า “เอาล่ะตอนนี้เจ้าผ่านเป็นศิษย์ขั้นต้นแล้ว เจ้าตามศิษย์พี่ไปที่ห้องพักของเจ้าเถอะ”

“ขอบคุณท่านมาก” เฉินมู่อิ๋งบอกพลางคารวะอีกครั้ง ฉีเล่อจึงให้ศิษย์พาเด็กหนุ่มไป เฉินมู่อิ๋งจึงเดินตามศิษย์พี่ไป ยังเดินไปไม่กี่ก้าวจู่ๆ ก็ถูกเรียก “เดี๋ยวก่อนเจ้าหนู”

มีอาจารย์หลอมโอสถท่านหนึ่งเดินมาขวางหน้าเด็กหนุ่มเอาไว้ เฉินมู่อิ๋งมองคนที่มาขวางหน้าเขารู้สึกถึงกลิ่นอายที่คล้ายกับพี่สาวมังกรจากตัวอาจารย์หลอมโอสถที่ยังดูเด็กยิ่งนัก อายุน่าจะพอๆ กับเขากระมัง

“เจ้ามีกลิ่นอายมังกร” หลงจิ่งเทียน(龙景添) เอ่ยขึ้นพลางมองเด็กหนุ่ม ไม่ใช่ซิ ต้องบอกว่าเป็นเด็กสาวต่างหาก เขาได้กลิ่นสตรีจากเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ผิดแน่นอน คนอื่นๆ ก็มองดูองค์รัชทายาทเผ่ามังกรคนนั้นกับเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นตาเดียว หรือว่าเขาจะเป็นมังกรเช่นเดียวกันกับองค์รัชทายาทงั้นรึ?

หลงจิ่งเทียนยื่นหน้าไปสูดกลิ่น เฉินมู่อิ๋งผงะถอยไปทันที ทำให้เกือบชนคนที่จู่ๆ ก็มาอยู่ข้างหลังเขาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวเลย คนๆ นั้นเป็นบุรุษคนหนึ่ง เขายื่นมือข้ามไหล่เด็กหนุ่มไปพลางผลักหน้าหลงจิ่งเทียนออกพลางดุ “ฮื้อ! เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะจิ่งเทียน”

“พี่ใหญ่ ข้าได้กลิ่นอายมังกรจากตัวเขาจริงๆ” หลงจิ่งเทียนบอก ยืดตัวตรง มองดูเด็กหนุ่ม เอ้ย! เด็กสาวตรงหน้าอย่างแน่ใจ เฉินมู่อิ๋งก้าวเท้าไปด้านข้างทันทีอย่างระวังตัว คนข้างหลังเขาต้องมีวรยุทธ์สูงยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นจะเข้าใกล้เขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวได้อย่างไร

“ผู้อาวุโสสิบแปด องค์รัชทายาทหลง” ฉีเล่อเรียกอย่างนอบน้อมยิ่ง เฉินมู่อิ๋งจึงหันไปมองคนที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสสิบแปด’ กับ ‘องค์รัชทายาทหลง’ ที่จู่ๆ ก็เข้ามาขวางทางเขา สองคนนี้ต้องการอะไร?

หลินจื่อเซียน林子仙) ในคราบผู้อาวุโสสิบแปดจึงสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ศิษย์ของสำนักโอสถก็ถูกพัดออกไปไกล “อ้า!”

เขาเซไปหลายสิบก้าวกว่าจะตั้งตัวยืนได้ จากนั้นหลินจื่อเซียนก็วาดอาคมขึ้นมาครอบคลุมตัวเธอ หลงจิ่งเทียนและเด็กหนุ่มศิษย์ใหม่คนนั้นเอาไว้ เฉินมู่อิ๋งหรี่ตามองผนึกอาคม เตรียมพร้อมจะสู้ทุกวินาที หลินจื่อเซียนจึงรีบบอก “เจ้าไม่ต้องตื่นตัวไป ข้าเห็นว่าเจ้ามีพรสวรรค์จึงอยากรับเจ้าเป็นศิษย์”

“รับข้าเป็นศิษย์?” เฉินมู่อิ๋งทวนคำ จ้องผู้อาวุโสสิบแปดเขม็ง หลินจื่อเซียนยิ้มให้แล้วบอกว่า “วิชามายาลวงตาของเจ้าอาจจะตบตาคนอื่นได้แต่ตบตาข้าไม่ได้หรอกน้องสาว อีกทั้งวิชาปลอมใบหน้าของเจ้าก็ดีจริงๆ ฝีมือเทียบเท่ากับข้าเลยทีเดียว”

{ไอหยา! คนๆ นี้ดูออกได้อย่างไร?} ไพลินวิญญาณพูดอยู่ในห้วงจิต เฉินมู่อิ๋งหรี่ตามองผู้อาวุโสสิบแปด “ท่านเป็นใคร?”

“ข้าคือผู้อาวุโสสิบแปดของสำนักโอสถ พรสวรรค์ของเจ้าดีจริงๆ หากฝึกฝนอีกนิดหน่อยเจ้าย่อมเก่งกาจแน่” หลินจื่อเซียนบอก พลางใช้พลังจิตตรวจสอบเด็กสาวตรงหน้า เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่ามีพลังไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งกวาดมาบนตัวเขา เขาจึงเผลอใช้พลังของมือทารกเล็กๆ คู่นั้นต้านเอาไว้

“โอ้! เจ้าเป็นชิงเฉิน* ด้วยรึ?” หลินจื่อเซียนอุทานออกมา เธอเก็บพลังจิตกลับไป เฉินมู่อิ๋งทวนคำ “ชิงเฉิน?”

(ชิงเฉินเนี่ยนซือ หมายถึงผู้มีพลังจิต)

“หมายถึงผู้มีพลังจิตน่ะ” หลินจื่อเซียนบอก “ร่างจิตของเจ้าเพิ่งจะก่อตัวได้นิดหน่อย หากฝึกฝนให้ดีจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังเทพเสียอีก”

“ท่านก็มีมือเล็กๆ ด้วยรึ?” เฉินมู่อิ๋งถาม หลินจื่อเซียนยิ้ม “ข้าไม่ได้มีแค่มือเล็กๆ หรอก เจ้าใช้จิตมองข้าซิ”

“ใช้จิตมอง?” เฉินมู่อิ๋งทวนคำอย่างไม่เข้าใจ หลินจื่อเซียนจึงบอก “หลับตาลง มองดูข้า ใช้ใจเจ้ามอง”

เฉินมู่อิ๋งหลับตาลง คิดๆ ใช้ใจมอง? ใช้ใจมองอย่างไร?

เขามองอย่างไรก็มองไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ความมืด เขาเพ่งมองทั้งๆ ที่หลับตาจนคิ้วขมวดเข้าหากัน หลินจื่อเซียนจึงบอกว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้เจ้ายังมองไม่เห็นก็ช่างเถอะ มาว่ากันเรื่องเป็นศิษย์ข้าดีกว่า ว่าอย่างไรน้องสาว เจ้าจะยอมเป็นศิษย์ข้าไหม?”

เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น “เป็นศิษย์ท่านแล้วข้าจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้างล่ะ?”

“แน่นอนว่าข้าสอนเจ้าหลอมโอสถแบบไม่ใช้หม้อหลอมได้ ซึ่งมีไม่กี่คนหรอกนะที่ทำแบบนี้ได้” หลินจื่อเซียนบอก หลงจิ่งเทียนรีบพูด “เจ้านี่วาสนาดีนัก พี่ใหญ่ข้าปกติแล้วไม่รับใครเป็นศิษย์ง่ายๆ หรอกนะ”

“เอ่อ…ขอข้าคิดดูก่อนล่ะกัน” เฉินมู่อิ๋งบอก หลินจื่อเซียนจึงยื่นหยกชิ้นหนึ่งให้ “งั้นเจ้ามีอะไรสงสัยไม่เข้าใจก็ไปถามข้าได้ทุกเมื่อ”

เฉินมู่อิ๋งจึงรับหยกชิ้นนั้นมาเก็บเอาไว้ หลินจื่อเซียนคลายอาคมออก คนอื่นๆ แน่นอนว่าย่อมไม่เห็นคนในผนึกอาคม ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงจึงไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน หลินจื่อเซียนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ นานๆ ทีเธอถึงจะมีโอกาสมาดูการรับศิษย์ใหม่ ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้ให้คุ้มสักหน่อย หลงจิ่งเทียนก็ก้าวไปนั่งข้างๆ ‘เจ้ใหญ่’ ของเขา เฉินมู่อิ๋งมองทั้งสองคนนั้น จนกระทั่งศิษย์พี่คนเดิมเดินมาสะกิด “ไปๆ ข้าจะพาเจ้าไปที่เรือนของเจ้า”

“อ่า อ่อ” เฉินมู่อิ๋งดึงสติกลับมา เดินตามศิษย์พี่คนนั้นไป แล้วถามว่า “ศิษย์พี่ ผู้อาวุโสสิบแปดคือใครรึ?”

“ผู้อาวุโสสิบแปดก็คือผู้อาวุโสสิบแปดน่ะซิ” ศิษย์พี่ตอบ แล้วอธิบายว่า “สำนักเรา มีเจ้าสำนัก รองจากเจ้าสำนักลงมาก็คือผู้อาวุโสซึ่งมีอยู่ 20 กว่าคน อีกหน่อยเจ้าก็จะได้เห็นเองนั่นแหละ ตั้งแต่ผู้อาวุโสสิบหกเป็นต้นไป พวกเขาล้วนเป็นพวกเดียวกัน นอกจากพวกของผู้อาวุโสสิบหก ก็ยังไม่มีผู้อาวุโสคนใหม่อีกเลย นี่ก็หลายปีมาแล้วที่ในสำนักเรายังไม่ปรากฏผู้มีพรสวรรค์คนใหม่ที่หลอมโอสถระดับสวรรค์ได้อีก ดังนั้นข้าจะเตือนเจ้าไว้หน่อยว่า เจ้าอย่าได้เผลอไปทำให้พวกผู้อาวุโสทั้งหลายไม่พอใจเชียวนะ”

“อ่อ ขอบคุณศิษย์พี่มาก” เฉินมู่อิ๋งบอกพลางยิ้มให้ หลังจากนั้นศิษย์พี่คนนั้นก็คุยเรื่องต่างๆ ที่ศิษย์น้องควรจะรู้เอาไว้ให้ฟัง เฉินมู่อิ๋งฟังไปจนกระทั่งถึงเรือนไม้เรียงรายในบริเวณหนึ่ง ศิษย์พี่ก็บอกว่า “นี่เป็นเรือนพักของศิษย์ขั้นต้น เอ้า เจ้าเอาหยกนี่ไปจะได้เข้าเรือนได้”

เฉินมู่อิ๋งรับหยกชิ้นนั้นมา เขาค่อนข้างคุ้นกับหยกที่ใช้เปิดประตูแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยได้ใช้หยกประเภทนี้เลยสักครั้ง เพราะพลังในการผ่านอาคมของพี่สาวมังกรทำให้เขาสามารถผ่านอาคมทุกชนิดได้อย่างง่ายดายราวกับไร้อาคม แค่แตะประตูเขาก็เปิดเข้าไปได้แล้ว จึงไม่เคยได้ใช้หยกในการเปิดประตู ศิษย์พี่ส่งศิษย์น้องแล้วก็เดินจากไป

เฉินมู่อิ๋งมองหมายเลขบนหยกชิ้นนั้นแล้วเดินไปที่เรือนซึ่งมีหมายเลขตรงกัน เขาเปิดประตูเดินเข้าไปมองเรือนหลังเล็กที่เรียบง่าย ภายในมีเตียง ตู้ โต๊ะ เขาเห็นประตู 2 บานจึงเปิดดู บานหนึ่งเป็นประตูด้านหลัง ข้างหลังเป็นสวนสมุนไพรที่ได้รับการดูแลอย่างดี ส่วนประตูอีกบานเป็นห้องส้วมและห้องอาบน้ำ ลักษณะเหมือนห้องส้วมบนเรือล่องเมฆาไม่มีผิด ดูท่าทางแล้วที่นี่ก็คงลอกแบบห้องส้วมห้องอาบน้ำมาจากตำหนักไป๋หยุนแน่นอน ดูๆ จนทั่วเรือนหลังน้อยแล้วเขาจึงเดินไปดูแปลงสมุนไพรข้างหลัง มีสมุนไพรที่เขารู้จักและไม่รู้จักหลายชนิดทีเดียว

หลังจากดูสมุนไพรแล้วเขาจึงออกจากเรือนไปเดินเล่นรอบๆ เรือน มองดูทิวทัศน์ในบริเวณรอบๆ ที่ร่มรื่นยิ่งนัก กลิ่นหอมสมุนไพรโชยชายไปทั่วบริเวณ เขาสูดกลิ่นหอมเข้าไปรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่น้อยเลย หลังจากนั้นเขาก็เดินไปทางหอตำรา ซึ่งการเรียนของที่นี่เป็นแบบศึกษาด้วยตัวเอง หากว่าต้องการคำชี้แนะจากอาจารย์ก็กราบอาจารย์ที่ตัวเองเลื่อมใสแล้วขอคำชี้แนะจากอาจารย์ท่านนั้นๆ

เมื่อไปถึงหอตำรา เขาก็เห็นคนหลายคนนั่งอยู่ตามมุมต่างๆ บ้างนั่งโต๊ะ บ้างนอนอิงอยู่บนผืนขนสัตว์หนานุ่ม บ้างยืนอ่านตำรา บางคนเหลือบมองผู้มาใหม่แวบหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจ เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าไปมองม้วนตำราบนชั้นแต่ละชั้น เขาหยิบตำราที่เกี่ยวกับสมุนไพรมาอ่านก่อน เพราะยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่เขาไม่รู้จัก ดังนั้นก่อนจะหลอมโอสถ เขาควรจะต้องรู้จักสมุนไพรทุกชนิดเสียก่อน เขาเอาตำราไปนั่งอ่านที่โต๊ะว่างๆ ตัวหนึ่ง เปิดอ่านอย่างละเอียดลออยิ่ง

ขณะที่เฉินมู่อิ๋งได้เป็นศิษย์ขั้นต้นของสำนักโอสถ เรือเยว่กวงก็มาถึงชายแดนเทพพอดี หยางเจียงหยุนกับจิงจ้านจึงลอบเข้าแดนเทพอย่างลับๆ หากพวกเขาไม่ใช้พลังก็จะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่เทพ เป้าหมายของพวกเขาคือตำหนักเทพดวงชะตาหมิงเทียน

ซึ่งตำหนักของเทพดวงชะตาหมิงเทียนนี้อยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักเก้าชั้นฟ้า ซึ่งอยู่เกือบกึ่งกลางแดนเทพจงยางต้าไห่ ส่วนตรงกลางของแดนเทพจงยางต้าไห่นั้นเป็นตำหนักไป๋หยุน อันเป็นที่อยู่ของตี้จวิน ตำหนักไป๋หยุนนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้ เพียงแค่ผนึกอาคมรอบๆ ตำหนักก็แข็งแกร่งเสียจนทำให้ผู้บุกรุกกลายเป็นจุณได้ในพริบตา ความแข็งแกร่งของอาคมทำให้ไม่มีใครกล้าเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเด็ดขาด

เมื่อมาถึงแดนเทพแน่นอนว่าพลังของพวกเขาไม่ถูกกดเอาไว้ เพราะที่นี่ไม่มีกฎเกณฑ์เหมือนโลกพันเล็กและโลกน้อยใหญ่ทั้งสามพัน ที่นี่มีแต่ผู้แข็งแกร่ง ต่อให้เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในดินแดนนี้ก็ยังมีพลังสูงกว่าเซียนจากโลกพันเล็กมากนัก พวกเขาใช้ของวิเศษเหินไปในอากาศ มุ่งหน้าไปยังตำหนักเก้าชั้นฟ้า

เวลาผ่านไป 1 เดือน ในที่สุดพวกเขาสองคนก็มาถึงด้านนอกของตำหนักเก้าชั้นฟ้า หยางเจียงหยุนมองเมืองใต้ตำหนักเก้าชั้นฟ้าแล้วลอยตัวลงนอกเมืองในจุดที่ไร้ผู้คน จิงจ้านตามไปติดๆ หยางเจียงหยุนจึงเดินเข้าเมืองไป จิงจ้านตามไป หยางเจียงหยุนเลือกโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง เหมาห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี้ยมเอาไว้ 2 ห้องแล้วเข้าพัก พลางสั่งจิงจ้านว่า “เจ้าหาทางลอบเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้าให้ได้ เข้าไปสืบหาบันทึกของเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งแห่งโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 เกิดที่เมืองซินหยาง ส่วนปีเกิดข้าจำไม่ได้แล้ว”

“พะย่ะค่ะ” จิงจ้านรับคำ หยางเจียงหยุนจึงเตือนน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “อยู่ที่นี่ใช้คำพูดเฉกเช่นสามัญ อย่าให้ใครสงสัยฐานะของพวกเรา”

“พะ…อ่า…ขอรับ” จิงจ้านรับคำแล้วถอยออกไป หยางเจียงหยุนก็นั่งอยู่ในห้องปรับสมดุลของพลังในร่าง แน่นอนว่าเขายังคงต่อต้านจิตบรรพกาลอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงยังไม่สามารถหลอมรวมได้ทั้งหมด คล้ายกับว่าถ้าเขายินยอมหลอมรวมทั้งหมดแล้ว เขาอาจจะสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองไป ถูกจิตบรรพกาลกลืนกินจิตวิญญาณไปจนไม่เหลือหลอ

จิงจ้านออกจากโรงเตี้ยมไปแล้วคิดหาวิธีลอบเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้า เขายอมแม้กระทั่งสมัครเป็นบ่าวรับใช้ของตำหนักเก้าชั้นฟ้า แล้วก็ถูกผู้ดูแลพาเข้าตำหนักเก้าชั้นฟ้าไป แน่นอนว่าฐานะบ่าวของเขาย่อมเป็นบ่าวใช้แรงงาน เช่นหาบน้ำ ตัดฟืน ฯลฯ หรือต่อให้เขาต้องทำงานที่ต่ำต้อยกว่านี้เขาก็ยอมทนได้เพียงเพื่อลอบเข้าไปในตำหนักเทพดวงชะตาหมิงเทียนได้สำเร็จก็พอ

เวลาผ่านไปอีก 1 เดือน จิงจ้านก็หาทางลอบเข้าตำหนักเทพดวงชะตาหมิงเทียนได้สำเร็จ โชคดีที่พระชายาของเทพหมิงเทียนไม่อยู่พอดี จึงทำให้จิงจ้านโล่งอกไม่น้อยเลย เพราะหากนางอยู่ที่ตำหนัก ด้วยจมูกมังกรของนางย่อมได้กลิ่นอายที่ผิดแผกไปจากเทพคนอื่นๆ จากตัวเขาแน่แท้ เขาหลบเลี่ยงเทพบริวารในตำหนัก ลอบเข้าไปในห้องเก็บบันทึกดวงชะตา เขาค่อยๆ ค้นบันทึกดวงชะตาอย่างเงียบกริบ หยิบจับม้วนบันทึกออกมาอย่างเบามือ เปิดอ่านแล้วก็วางเก็บไว้เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ความสามารถเหมือนตีนแมวย่องเบานี้จึงทำให้เขาสามารถสืบข่าวให้องค์ราชาสำเร็จมานับไม่ถ้วนแล้ว

เขาค่อยๆ ค้นบันทึกไปทีละม้วน…ทีละม้วน จนกระทั่งเจอบันทึกของ ‘เฉินมู่อิ๋ง’ เขาเปิดอ่านทันที ในบันทึกเขียนเอาไว้ว่า

แซ่ : เฉิน

ชื่อ : มู่อิ๋ง

เพศ : หญิง

วันที่เกิด : รัชศก หยาง ปีที่ 15 เดือน อ้าย วันที่ 9

สถานที่เกิด : จวนเสนาบดีเฉินจงกุ้ย

เมือง : เมืองซินหยาง

แคว้น : แคว้นซินหยาง

บิดา : เฉินจงกุ้ย

มารดา : เฉินม่านอิ๋ง แซ่เดิม หวง

วันที่ตาย : รัชศก หยาง ปีที่ 15 เดือน ยี่ วันที่ 10

สถานที่ตาย : จวนเสนาบดีเฉินจงกุ้ย

เมือง : เมืองซินหยาง

แคว้น : แคว้นซินหยาง

เขาอ่านข้อความที่เขียนเอาไว้ซึ่งมีอยู่เพียงเท่านี้ ไม่มีบันทึกการเกิดใหม่อีก ทำให้เขาคิ้วขมวดเสียจนยับย่น เขามองที่ ‘เพศ’ ซึ่งระบุว่าเป็น ‘หญิง’

“หรือว่าจะไม่ใช่เจ้าเด็กคนนั้น?” เขาคิดๆ แล้วค้นหาบันทึกม้วนอื่นๆ มาดู แต่ก็ไม่เจอเลย ส่วนใหญ่ชื่อเหมือน แต่เมืองที่เกิดไม่ใช่ ซ้ำชื่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่ใช่เฉินจงกุ้ยและเฉินม่านอิ๋งเลย เขาค้นๆ บันทึกจนหมดทั้งชั้นนั้นเลยทีเดียว แต่ก็ไม่พบบันทึกของ ‘เฉินมู่อิ๋ง’ ที่เป็นลูกของเสนาบดีเฉินกับเฉินม่านอิ๋งเลย เขาพบบันทึกที่ตรงกับเจ้าเด็กนั่นเพียงม้วนเดียว ซ้ำยังเป็น ‘หญิง’ ที่เกิดได้เพียงเดือนกว่าๆ ก็ตกตายไปเสียแล้ว ช่างอายุสั้นยิ่งนัก แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา “หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะถูกนำมาเลี้ยงดูแทนเด็กคนนี้?”

ใช่! มักมีบ่อยไปที่เด็กทารกตายไปแล้ว ครอบครัวแอบนำทารกคนใหม่มาเลี้ยงดูแทนทารกที่ตายเพื่อหลอกปู่ย่าตายายหรือไม่ก็พ่อหรือแม่ของเด็ก เพื่อมิให้เสียใจหรือไม่ก็หวังผลในการสืบตระกูล หากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ การจะสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเด็กคนนั้นก็ยากเสียแล้ว เพราะบันทึกย่อมบันทึกข้อมูลตามความจริง แต่เจ้าเด็กนั่นกลับใช้ชีวิตแทนเด็กเฉินมู่อิ๋งที่ตายไป ดังนั้นชื่อของเจ้าเด็กคนนั่นย่อมไม่ใช่เฉินมู่อิ๋งแน่นอน เขาเอาบันทึกม้วนนั้นใส่เข้าไปในถุงคุนเฉียนแล้วลอบออกจากห้องเก็บบันทึกอย่างเงียบกริบ

ขณะที่เขากำลังเดินจากไปนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “เจ้าคนนั้นน่ะ หยุดก่อน”

จิงจ้านหันไปมองแล้วรีบกุมมือคารวะ “ท่านเทพ”

วะ! ไยต้องมาเจอตอนนี้ด้วยนะ! เขาแอบก่นด่าอยู่ในใจ เทพหมิงเทียนมองบ่าวคนนั้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหน้าตาไม่คุ้นเลย”

“อ่า…” จิงจ้านไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดี

“ไอหยา! เจ้ามาทำอะไรที่นี่!? ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้เดินเพ่นพ่านน่ะ” เทพบริวารคนหนึ่งปราดเข้ามาตะคอกบ่าวใหม่ เทพหมิงเทียนจึงโบกมือไล่ “ไปๆ”

เทพบริวารจึงรีบรับคำ “พะย่ะค่ะๆ”

จากนั้นเขาก็รีบลากบ่าวใหม่ออกไปทันที จิงจ้านแอบโล่งอก ขณะเดียวกันเทพบริวารก็ด่า “เจ้านี่นะ เที่ยวเดินเพ่นพ่านไปเช่นนี้ไม่ได้นะ ทีหลังอย่าได้ทำเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นข้าจะไล่เจ้าออกไปเสีย ท่านเทพยิ่งไม่ชอบให้ใครเดินเพ่นพ่านเสียด้วย”

“อ่า ขออภัยขอรับ ขออภัยขอรับ ข้าหลงทางขอรับ” จิงจ้านแก้ตัว เทพบริวารไล่ “ไปๆ รีบไปทำงานของเจ้าเสีย”

จิงจ้านจึงรีบเดินไปทันที เมื่อเดินลับตาไปแล้วเขาก็รีบหลบออกจากตำหนักเทพดวงชะตาไปทันที แล้วรีบไปพบเจ้านาย นำม้วนบันทึกมอบให้เจ้านาย “องค์…เอ่อ นายท่านขอรับ”

เขาส่งม้วนบันทึกให้ หยางเจียงหยุนรับมาเปิดอ่าน เขาอ่านจบแล้วก็เงยหน้ามองจิงจ้าน “นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”

“อ่า ข้าพบบันทึกนี้ม้วนเดียวขอรับที่มีบันทึกตรงกับเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งที่ท่านให้ตามหาขอรับ” จิงจ้านตอบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!