Skip to content

บุรุษน่าตาย 5

Cover Bn For Web

Chapter 5

เข้าเฝ้าตี้จวิน

จิงจ้านอธิบายว่า “ข้าค้นบันทึกของเมืองซินหยางทั้งหมดแล้ว มีแค่ม้วนนี้ม้วนเดียวที่ตรงกับเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้น ข้าเดาว่าหลังจากเด็กคนนี้ตายไปแล้ว เฉินจงกุ้ยคนนั้นคงนำเด็กทารกคนใหม่มาเลี้ยงดูแทนเพื่อหลอกฮูหยินของเขาว่าลูกยังไม่ตายกระมัง”

“หากเป็นเช่นที่เจ้าว่าจริงๆ เช่นนั้นการจะหาตัวเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นก็ยากยิ่งนัก พวกเราไม่รู้ชื่อแซ่แท้จริงของมัน ซ้ำไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นบิดามารดาของมัน มันใช้ชีวิตในฐานะตัวปลอมมาตลอดทั้งชีวิต ฮึ่ม!” หยางเจียงหยุนคำรามอย่างขัดใจ กลิ่นอายกดดันแผ่ออกไป ทำให้จิงจ้านสั่นสะท้านเฮือกๆ หยางเจียงหยุนครุ่นคิดอยู่สักพักจึงเอ่ยออกมา “เช่นนั้นเรื่องตามหาเจ้าเด็กมนุษย์นี่ก็พักไว้ก่อน เจ้าจงไปตามหาเจ้าเด็กเซียนคนนั้นให้เจอ มันเป็นเทพแล้วย่อมอยู่ในแดนเทพแห่งนี้แน่นอน”

“อ่า…ขอรับ” จิงจ้านรับคำแล้วถอยออกไป เขาคิดๆ จะตามหาอย่างไร ได้ยินว่าเทพใหม่ที่บรรลุขึ้นมาจะผ่านประตูสวรรค์ แล้วก็เข้าร่วมกับกองกำลังของแดนเทพแดนใดแดนหนึ่ง เช่นนั้นเขาก็ควรไปสืบข่าวที่ประตูสวรรค์เพื่อหาว่ามันเข้าร่วมกับแดนเทพแดนใด จากนั้นกรอบในการหาตัวมันก็จะแคบลง เขาคิดแล้วก็รีบไปทันที

หยางเจียงหยุนคิดถึงเจ้าเด็กมนุษย์หน้าตาหล่อเหลานั่น หัวใจพลันเต้นตึกๆ ทั้งคิดถึง ทั้งอาวรณ์ ทั้งรักใคร่ ทั้งชิงชัง ทั้งแค้นเคือง จูบนั้นบนหลังม้าก่อนที่จะตกตาย เขายังจำสีหน้าของมันได้ดี มันเบิกตาโตตกใจที่ถูกร่างแยกของเขาจูบ รสจูบนั้นยังตราตรึงอยู่ในหัวใจมิลืมเลือน

ใช่ ยากจะลืมเลือนจริงๆ มันพุ่งมาขวางกระบี่เอาไว้อย่างไม่คิดชีวิต เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะทำเช่นนั้น ยอมสละชีวิตของมันปกป้องเขา เขาตกตายไปพร้อมกับภาพดวงตาเบิกโตราวกับนกฮูกตกใจของมัน ดวงตาที่งดงามสุกสกาวราวดวงจันทร์ ดวงตาคู่นั้นยากจะลืมเลือน แต่แล้วเขาก็พบเจอดวงตาที่เหมือนกันกับดวงตาคู่นั้นอีกครา เพียงแต่ว่าเจ้าเซียนคนนั้นนอกจากดวงตาที่งดงามคู่นั้นแล้ว หน้าตามันสามัญยิ่งหาความหล่อเหลาไม่เจอเอาเสียเลย เขาก็ไม่คิดว่าจะรักใคร่มันถึงขนาดนั้น ถึงขนาดเอาตัวเข้าปกป้องมันจนตกตาย ซ้ำยังหลอมรวมกับจิตบรรพกาลเพราะอยากมีพลังที่แข็งแกร่งเพียงเพื่อปกป้องมัน “หึ! เฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋ง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหนข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ บดขยี้วิญญาณเจ้าให้ดับสลายไปตลอดกาล!”

เฉินมู่อิ๋งที่กำลังอ่านตำราอยู่จู่ๆ ก็จามออกมา 2 ที “ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว!”

เขายกมือขึ้นขยี้จมูกแล้วอ่านตำราต่อ หลังจากอ่านตำราจบแล้วเขาก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เดินกลับเรือนตัวเองไป เขาขลุกอยู่ในหอตำรามาเสียนาน จนอ่านตำราสมุนไพรจบหมดสิ้น จดจำสมุนไพรนับล้านๆ ชนิดเอาไว้ในหัว หยกปราณสวรรค์ที่อาจารย์เฟยเทียนให้มาก็เหลืออยู่เล็กน้อยแล้ว เห็นทีเขาต้องหาวิธีทำให้มี ‘เงินทอง’ เสียแล้ว ต้องหลอมโอสถขาย!

แต่ตอนที่อ่านตำราหลอมโอสถ เขาพบว่ามีแต่วิธีหลอมที่ใช้หม้อหลอมทั้งสิ้น วิธีการที่ไม่ใช้หม้อหลอมนั้นไม่มีตำราเล่มไหนเขียนไว้เลย เท่าที่ถามศิษย์พี่คนอื่น ทุกคนล้วนบอกว่าวิธีการหลอมโดยไม่ใช้หม้อ มีเพียงผู้อาวุโสสิบหกจนถึงยี่สิบสามเท่านั้นที่ทำได้ เท่าที่ฟังๆ มาผู้อาวุโสสิบหกกับผู้อาวุโสสิบเจ็ดเป็นบิดามารดาของผู้อาวุโสสิบแปด ส่วนผู้อาวุโสสิบเก้าจนถึงยี่สิบสามก็เป็นพวกพ้องเดียวกันกับผู้อาวุโสสิบแปด เช่นนั้นเขาควรจะกราบใครเป็นอาจารย์ดีล่ะ?

เขาคิดๆ ขณะแช่น้ำร้อนอยู่ในอ่าง คิดไปคิดมาลองไปดูท่าทีของผู้อาวุโสสิบแปดดูก่อนดีกว่า หากว่าผู้อาวุโสสิบแปดจริงใจที่จะสอนเขาจริงๆ เขาก็จะกราบผู้อาวุโสสิบแปดเป็นอาจารย์ก็ได้

หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เขาจึงออกจากเรือนไปกินข้าวที่โรงครัวซึ่งมีอาหารให้ศิษย์ในสำนักกินตลอดเวลา เพียงแต่ว่าอาหารของโรงครัวนี้รสชาติไม่ได้ล้ำเลิศอะไร เขาจำใจกินอาหารที่นี่ก็เพราะว่าไม่ต้องจ่ายหยกอย่างไรล่ะ หยกปราณสวรรค์ของเขาเหลือน้อยเต็มที ไม่อาจใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้อีก เฮ้อ…

เมื่อกินอิ่มแล้วเขาก็ยกจานไปเก็บ จากนั้นก็เดินไปทางเรือนของผู้อาวุโสสิบแปด เขาสอบถามกับศิษย์พี่มาแล้วว่าเรือนของผู้อาวุโสสิบแปดอยู่ที่ไหน เพียงแต่พวกศิษย์พี่บอกว่าส่วนใหญ่แล้วผู้อาวุโสสิบแปดมักจะไม่ค่อยอยู่ในสำนัก นานๆ ทีเขาถึงจะมาที่สำนักเสียหนหนึ่ง

เขาจึงได้แต่ลองไปเสี่ยงดวงดูเท่านั้น หากโชคดีก็ได้พบ หากว่าโชคไม่ดีไม่ได้เจอ คงต้องคิดๆ ว่าจะกราบอาจารย์ท่านอื่นฝากตัวเป็นศิษย์ไปก่อนกระมัง เขาเดินเรื่อยไปจนกระทั่งถึงเรือนของผู้อาวุโสสิบแปด เขาเห็นผนึกอาคมล้อมรอบเรือนหลังนั้น เขาไม่ได้เดินเข้าไป ทำเพียงยืนมองอยู่นอกผนึกอาคม ขณะที่กำลังยืนมองอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เดินมามองเขา เขามองบุรุษคนนั้น

“เจ้าคือคนที่ผู้อาวุโสสิบแปดคิดจะรับเป็นศิษย์กระมัง?” บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ถาม เฉินมู่อิ๋งมองบุรุษคนนั้นแล้วถามว่า “ท่านเป็นใคร?”

“อ่อ ข้าถางห้าวหมิง(唐浩铭)” ถางห้าวหมิงบอกชื่อแซ่แล้วพูดต่อว่า “ผู้อาวุโสสิบแปดให้ข้ามารอเจ้าอยู่นานแล้ว หากว่าเจ้ามาหาก็ให้พาเจ้าไปพบ”

“ไปพบที่ไหน? แล้วข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร?” เฉินมู่อิ๋งบอกอย่างไม่ไว้ใจ ถางห้าวหมิงจึงบอกว่า “เจ้าตามข้าไปตำหนักไป๋หยุนเถอะ ไปถึงที่นั่นก็เจอผู้อาวุโสสิบแปดเองนั่นแหละ”

“ตำหนักไป๋หยุน? ตำหนักของตี้จวินน่ะหรือ!?” เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต “หรือว่าผู้อาวุโสสิบแปดเป็นหมออยู่ที่นั่น?”

“อืม” ถางห้าวหมิงพยักหน้า เฉินมู่อิ๋งมองแววตาของคนตรงหน้าที่ไม่มีแววหลุกหลิกแม้แต่น้อย อีกทั้งไปตำหนักไป๋หยุน นี่เป็นโอกาสที่คนอื่นอยากมีวาสนาก็ยากจะมีได้ ตำหนักไป๋หยุนเป็นสถานที่เช่นไร คนส่วนมากล้วนอยากไปสักครั้งกลับไม่มีวาสนา ในเมื่อวาสนามาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็อยากไปชมตำหนักไป๋หยุนสักครา ฮี่ๆๆๆ…

“เช่นนั้นเชิญท่านนำทาง” เขาบอกกับถางห้าวหมิงคนนั้น ถางห้าวหมิงพยักหน้า “อืม”

เขาบอกแล้วเอาหยกเคลื่อนย้ายออกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อเฉินมู่อิ๋ง “เจ้าเข้ามาใกล้ๆ ซิ”

เฉินมู่อิ๋งจึงขยับไปใกล้ถางห้าวหมิงก้าวหนึ่ง ถางห้าวหมิงบอก “ใกล้อีก”

เฉินมู่อิ๋งจึงขยับไปอีกก้าว ถางห้าวหมิงจึงบีบหยกเคลื่อนย้ายให้แตกออก ใต้เท้าพลันปรากฏวงอาคมเคลื่อนย้ายขึ้นมา แสงส่องขึ้นมาจากวงอาคม แล้วถางห้าวหมิงก็หายไป เหลือเพียงเฉินมู่อิ๋งที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งแสงของอาคมเคลื่อนย้ายจางหายไป เขามองไปไม่เห็นถางห้าวหมิงคนนั้นแล้ว ส่วนตัวเองยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาทำหน้าฉงน “หือ?”

ณ ตำหนักไป๋หยุน ถางห้าวหมิงปรากฏตัวขึ้นกลางอาคมเคลื่อนย้าย เขามองไปไม่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “หือ?”

“คนล่ะ?” เขามองๆ อย่างงุนงง ทำไมถึงมีแต่เขาที่มาล่ะ แล้วเจ้าเด็กนั่นล่ะ? ไม่ใช่ว่าตกหล่นกลางทางหรอกนะ! หากเป็นเช่นนั้นก็แย่ล่ะ!

เขาคิดแล้วสีหน้าก็ตื่นตกใจ ตกหล่นอยู่กลางทาง คือตกหล่นอยู่ในห้วงมิติ นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย! เขาจึงรีบวิ่งไปรายงานเจ้านายทันที จนกระทั่งเจอตี้โฮ่วนั่งอยู่ที่ศาลากับตี้จวินและองค์รัชทายาท เขาจึงค่อยๆ ก้าวไปหาสีหน้าไม่สู้ดี ตี้โฮ่วเห็นถางห้าวหมิงค่อยๆ เข้ามาหาอย่างเกรงๆ กลัวๆ จึงถาม “มีอะไรรึ? คนล่ะ?”

“อ่า…เกรงว่าคงจะตกหล่นกลางทางตอนใช้อาคมขอรับ” ถางห้าวหมิงบอก ตี้โฮ่วผุดลุกขึ้นมาทันที เธอรีบเดินไปหาถางห้าวหมิง “ตกหล่นได้อย่างไร?”

“ไม่ทราบขอรับ ข้าออกมาแต่ไม่เห็นเขา จึงคาดว่าน่าจะตกหล่นกลางทางขอรับ” ถางห้าวหมิงบอก ตี้โฮ่วสั่ง “ไป”

ถางห้าวหมิงจึงรีบเดินนำไปยังจุดที่เขาปรากฏตัวออกมาทันที ตี้โฮ่วเดินตามไปอย่างร้อนใจ ตี้จวินมองฮูหยินแล้วหันไปพูดกับลูกชายว่า “เอ้า อ่านต่อซิ”

“ขอรับ” องค์รัชทายาทหานปิงเซียน(韩兵仙) จึงอ่านตำราให้ท่านพ่อฟังต่อ

เมื่อไปถึงจุดที่อาคมเคลื่อนย้ายปรากฎ ถางห้าวหมิงก็รีบบอก “ตรงนี้ขอรับ”

ตี้โฮ่วก็ตรวจร่องรอยของอาคมเคลื่อนย้ายทันที เธอย้อนรอยอาคมกลับไป ถางห้าวหมิงมองตี้โฮ่วที่หายไปท่ามกลางแสงอาคมเคลื่อนย้าย เขาหวังว่าเจ้าเด็กคนนั้นคงจะไม่เป็นอะไรนะ

ระหว่างเส้นทางในห้วงมิติ ตี้โฮ่วก็มองตามช่องว่างระหว่างมิติไปด้วย เผื่อว่าเด็กคนนั้นจะตกหล่นอยู่ตรงไหน เธอใช้พลังจิตแผ่ออกไปตรวจหาคน จนกระทั่งปรากฏตัวขึ้น ณ จุดเริ่มต้นของอาคมเคลื่อนย้าย ก็พบเด็กคนนั้นยืนอยู่

“หือ?” เฉินมู่อิ๋งมองสตรีนางหนึ่งที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ตี้โฮ่วมองเด็กคนนั้นแล้วโล่งใจ “ที่แท้ก็อยู่นี่เอง”

เฉินมู่อิ๋งมองสตรีนางนั้นที่งดงามยิ่งนัก ขนาดเขาเป็นสตรีเขายังอดหลงใหลไม่ได้ ช่างงามจริงๆ “ท่านคือ?”

“ผู้อาวุโสสิบแปด” ตี้โฮ่วใช้น้ำเสียงของผู้อาวุโสสิบแปดตอบออกไป แล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงแท้จริงว่า “จริงๆ แล้วข้าก็เป็นสตรี เรื่องนี้เจ้ารู้แล้วก็ปิดเป็นความลับด้วย”

“อ่า…” เฉินมู่อิ๋งตกตะลึงจนอึ้งงันไป น้ำเสียงเมื่อครู่ฟังอย่างไรก็เป็นเสียงบุรุษ ประโยคต่อมาก็กลายเป็นเสียงสตรีที่หวานไพเราะยิ่ง แน่นอนว่าสตรีนางนี้มีความสามารถในการเลียนเสียง ก็เหมือนเช่นเดียวกันกับเขาที่สามารถเลียนเสียงบุรุษได้หลากหลายแบบ และเลียนเสียงสตรีได้แตกต่างกันมากมาย

“เอาล่ะ อย่ามัวแต่ตะลึงอยู่เลย ไปคุยกันที่ตำหนักไป๋หยุนดีกว่า” ตี้โฮ่วบอกแล้วก็จับมือเฉินมู่อิ๋งเอาไว้พลางใช้อาคมเคลื่อนย้าย แต่เมื่ออาคมเริ่มทำงานกลับเป็นเธอคนเดียวที่เข้ามาในห้วงมิติ ทำให้เธอประหลาดใจ “หือ?”

เธอจึงย้อนกลับไปใหม่ ปรากฏตัวขึ้นกลางวงอาคมที่เพิ่งจะสิ้นแสงไป เห็นเฉินมู่อิ๋งยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอจึงเอาหยกอาคมเคลื่อนย้ายยื่นให้ “เอ้า เจ้าบีบหยกอาคมเคลื่อนย้ายนี้ซิ”

เฉินมู่อิ๋งรับหยกชิ้นนั้นมา แล้วบีบหยกให้แตกออก หยกอาคมแตกออกแล้วปรากฏวงอาคมขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา แสงอาคมส่องขึ้นมาโอบล้อมตัวเขาเอาไว้ เมื่อแสงหายไป เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ตี้โฮ่วมองแล้วครุ่นคิด “เพราะอะไรจึงเป็นแบบนี้นะ?”

เธอยื่นมือไปจับชีพจรหมับ เฉินมู่อิ๋งไม่ได้สะบัดมือออกเพราะเห็นว่าเป็นสตรีเหมือนกัน แต่หากเป็นบุรุษล่ะก็เขาคงสะบัดมือออกทันที ตี้โฮ่วส่งพลังจิตเข้าไปตรวจ เฉินมู่อิ๋งก็ใช้มือทารกเล็กๆ คู่นั้นต้านเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ตี้โฮ่วจึงบอกว่า “เจ้าอย่าใช้พลังจิตต้าน ข้าแค่จะตรวจดูสักหน่อยเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจิตเจ้าอาจจะบาดเจ็บได้”

เฉินมู่อิ๋งจึงไม่ต่อต้าน มือทารกเล็กๆ คู่นั้นก็หายไป ตี้โฮ่วใช้พลังจิตตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็เจอสาเหตุ “ที่แท้เป็นเพราะเลือดมังกรในร่างเจ้านี่เอง เจ้าได้ของดีมานี่นา”

เธอดึงพลังจิตกลับแล้ววาดอาคมเคลื่อนย้ายใหม่ จากนั้นก็จับข้อมือเฉินมู่อิ๋งเอาไว้ แสงจากวงอาคมสว่างขึ้นโอบล้อมรอบตัวเขาและตัวตี้โฮ่ว ทั้งสองเคลื่อนย้ายผ่านช่องมิติเวิ้งว้างไปด้วยกัน เฉินมู่อิ๋งเห็นอากาศรอบๆ ตัวหมุนวนราวกับกระแสน้ำวนจึงมองอย่างสนอกสนใจ จนกระทั่งอากาศรอบๆ ตัวหยุดหมุนแล้ว เขาจึงพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่เดิม ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อมองไปก็เห็นถางห้าวหมิงยืนอยู่ไม่ไกลนัก ตี้โฮ่วมองถางห้าวหมิงแล้วสั่งว่า “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปเถอะ”

“ขอรับ” ถางห้าวหมิงรับคำแล้วเดินจากไปทันที ตี้โฮ่วจูงมือเฉินมู่อิ๋ง “ตามมาซิ”

“ไปไหน?” เฉินมู่อิ๋งถาม ตี้โฮ่วตอบ “ไปเข้าเฝ้าตี้จวินก่อน”

“เข้าเฝ้าตี้จวิน!?” เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต ตี้โฮ่วจูงเฉินมู่อิ๋งเดินไปทางศาลาที่สามีกับลูกนั่งกันอยู่ เฉินมู่อิ๋งเดินตามไปอย่างอึ้งๆ งงๆ ปนตื่นเต้น ตี้จวินที่ใครๆ ก็อยากมีโอกาสสักครั้งได้เจอ แต่ก็ยากเย็นยิ่งกว่าปีนสวรรค์เสียอีก บัดนี้เขากำลังจะได้เข้าเฝ้าตี้จวิน!

นี่ต้องเรียกว่าเป็นวาสนาแบบไหนกันนะ!

เมื่อไปถึงศาลา 8 เหลี่ยมหลังหนึ่ง เขาก็เห็นบุรุษคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลายิ่งนักนั่งอยู่กับเด็กชายคนหนึ่งที่หน้าตาหล่อเหลามาก ดูเด็กชายคนนั้นก็รู้ว่าเป็นลูกของบุรุษคนนั้น แต่เค้าหน้า 6 ส่วนกลับละม้ายคล้ายคลึงกับสตรีข้างๆ เขา

“คารวะตี้จวินซิ” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งตั้งสติ กุมมือคารวะตี้จวินอย่างตื่นเต้น “ตี้จวิน ถวาย…”

“ไม่ต้องพูดให้มันยืดยาว” ตี้จวินเอ่ยออกมา แล้วมองฮูหยินพลางถามว่า “เด็กคนนี้น่ะหรือที่เจ้าบอกว่าจะรับเป็นศิษย์?”

“ใช่ ต้นกล้าที่ดีใช่ไหมล่ะ” ตี้โฮ่วยิ้มจนตาหยี ตี้จวินมองแล้วพยักหน้า “อืม”

“งั้นข้าพานางไปคุยกันก่อนนะ” ตี้โฮ่วบอกแล้วจูงมือเฉินมู่อิ๋งเดินจากไป ตี้จวินร้องบอก “เซียนเซียน อย่าคุยเพลินจนลืมมากินข้าวล่ะ”

“อืมๆ ไม่ลืมๆ” ตี้โฮ่วหันหน้าไปบอกแล้วเดินไป เฉินมู่อิ๋งที่สงสัยอยู่ในใจตะหงิดๆ ตั้งแต่เมื่อกี้จึงถาม “เขาเป็นสามีของท่านหรือ?”

“อื้ม” ตี้โฮ่วพยักหน้ารับ เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต “ท่านคือตี้โฮ่ว!”

“อื้ม” ตี้โฮ่วพยักหน้ารับอีก เฉินมู่อิ๋งตกตะลึงเสียจนสมองคล้ายถูกแช่แข็งไปแล้ว จู่ๆ ก็ได้เข้าเฝ้าตี้จวินกับตี้โฮ่วแล้วก็องค์รัชทายาทแห่งตำหนักไป๋หยุน! นี่มันช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ!!!

ตี้โฮ่วพาเฉินมู่อิ๋งไปที่ตำหนักหลังหนึ่ง เธอปล่อยมือเฉินมู่อิ๋งแล้วบอกว่า “เลือดมังกรนั่นถ้าเจ้าหลอมรวมได้จะดีมาก เอาล่ะเจ้าลองหลอมรวมดูซิ”

เฉินมู่อิ๋งที่ยังคงตกตะลึงอยู่สติสตังยังไม่กลับคืนมา นั่งลงอย่างมึนงง ตี้โฮ่วบอกอย่างปรานีว่า “นั่งขัดสมาธิซิ”

เฉินมู่อิ๋งทำตาม เขายังคงมึนงงไม่หาย ตี้โฮ่วยื่นมือไปวางอยู่บนศีรษะของเฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่ามีพลังที่เหมือนกับมือทารกของเขาแล่นเข้ามาในร่าง

“หายใจเข้า หายใจออก” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งก็ทำตามเขารู้สึกว่าพลังในร่างของเขาถูกเหนี่ยวนำให้หมุนวนรอบๆ เลือดมังกรหยดนั้น

“อย่าฝืน ปล่อยตัวปล่อยจิตตามการชักนำของข้า” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งทำตามอย่างเชื่อฟัง แน่นอนว่าได้ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับตี้โฮ่วชี้แนะย่อมเป็นโอกาสที่หาไม่ได้อีกแล้ว เขาเห็นเลือดมังกรหยดนั้นค่อยๆ ละลายรวมกับพลังของเขาทีละนิด…ทีละนิด

เวลาผ่านไปราวๆ 3 ชั่วโมง เลือดมังกรหยดนั้นก็ละลายหลอมรวมกับร่างของเฉินมู่อิ๋งจนหมดสิ้น ตี้โฮ่วก็ดึงมือกลับ เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียวคล้ายกับว่าแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน เขาจึงกุมมือคารวะ “ขอบพระทัยตี้โฮ่วพะย่ะค่ะ”

“เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เถอะ” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งเรียกตาม “พี่ใหญ่”

“ดีๆ” ตี้โฮ่วพยักหน้า “ไหนเจ้าแกะหน้ากากออกให้ข้าดูหน้าจริงๆ หน่อยซิ”

เฉินมู่อิ๋งจึงแกะหน้ากากออกอย่างไม่ลังเลเลย ใบหน้าแท้จริงเผยโฉมออกมา ตี้โฮ่วมองแล้วเอ่ยว่า “มิน่า เจ้าถึงต้องปลอมตัว สวยมากจริงๆ ว่าแต่วิชานี้เจ้าเรียนมาจากใครรึ?”

“เอ่อ อาจารย์เฟยขอรับ นี่เรียกว่าวิชาร้อยหน้าขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก ตี้โฮ่วพยักหน้า “อ่อ งั้นรึ ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าอาจจะมาจากโลกเดียวกันกับข้าเสียอีก”

เธอยื่นมือไปจับหน้ากากผืนนั้นที่คล้ายกับหน้ากากที่เธอทำมาก เพียงแต่ว่าวัสดุที่ใช้ทำหน้ากากนี้ยังไม่นุ่มเท่ากับของเธอ แต่โดยรวมแล้วฝีมือการทำก็จัดว่าเข้าขั้นมืออาชีพทีเดียว เธอมองเฉินมู่อิ๋งแล้วบอกว่า “ตอนอยู่ที่นี่เจ้าไม่ต้องปลอมตัวก็ได้ คนที่นี่ล้วนไว้ใจได้”

“เอ่อ…ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ ตี้โฮ่วจึงบอกอีกว่า “มายาลวงตาก็ไม่ต้องใช้หรอก ถึงอย่างไรก็ปิดบังหลายๆ คนที่นี่ไม่ได้หรอก”

เธอพูดแล้วก็ยื่นหน้ากากคืนให้ เฉินมู่อิ๋งรับมาถือเอาไว้ แล้วบอกว่า “เอ่อ…คือข้าชินแบบนี้แล้วน่ะขอรับ”

ใช่ เขาชินกับการปลอมตัวเป็นบุรุษมาตลอด ตี้โฮ่วก็ไม่พูดอะไรมาก “งั้นก็ตามใจเจ้าล่ะกัน”

“เอ่อ…พี่ใหญ่” เฉินมู่อิ๋งเรียกแล้วถามว่า “เหตุใดท่านจึงปกปิดฐานะเอาไว้ล่ะขอรับ?”

“ง่ายๆ เลยนะ เจ้าลองคิดดูหากคนอื่นรู้ว่าตี้โฮ่วหลอมโอสถระดับสวรรค์ได้ คนส่วนใหญ่คงจะพุ่งมาหาข้าไม่หยุดไม่หย่อนนะซิ มาขอให้ข้าหลอมโอสถให้ ถึงจะเก็บตามราคาของสำนักโอสถก็จริง แต่คงมีคนอีกมากที่เดียวที่อยากเอาไปคุยอวดชาวบ้านว่าเขามีโอสถที่ตี้โฮ่วหลอม เรื่องนี้แค่คิดก็น่าจะมีคนเกินครึ่งแดนเทพแล้วกระมังที่อยากได้โอสถที่ข้าหลอมออกมาน่ะ เรื่องอะไรข้าต้องทำเรื่องที่เหนื่อยตายพรรค์นั้นด้วยล่ะ” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ่งคิดๆ ตามแล้วเห็นภาพขึ้นมาเลย ก็จริงอย่างที่นางพูดนั่นแหละ

“เอาล่ะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลากินข้าวแล้ว เจ้าก็ไปกินข้าวด้วยกันกับข้าเถอะ จะได้รู้จักคนอื่นๆ ด้วย” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับ “ขอรับ”

ตี้โฮ่วเดินนำออกไป เฉินมู่อิ๋งรีบลุกตามไป เขาเก็บหน้ากากใส่แหวนคุนเฉียนเอาไว้

ตี้โฮ่วเดินนำไปที่ห้องกินข้าว ซึ่งอยู่ข้างห้องครัว แน่นอนว่าห้องครัวของที่นี่ย่อมใหญ่โตสมกับที่อยู่กันหลายคน ห้องกินข้าวก็ใหญ่โตไม่แพ้กัน โต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวใหญ่ยาวตั้งอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้วางเรียงสองข้างด้านละ 20 ตัว รวมหัวโต๊ะกับท้ายโต๊ะก็เป็น 42 ตัว บนโต๊ะมีอาหารมากมายวางเรียงตั้งแต่หัวโต๊ะยันท้ายโต๊ะ มีคนหลายคนกำลังเดินขวักไขว่ไปมา พวกเขาหันไปมองตี้โฮ่วแวบหนึ่งแล้วก็มองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เดินอยู่ข้างหลังตี้โฮ่วอย่างสนอกสนใจ

“ทุกคน นี่คือศิษย์ของข้า” ตี้โฮ่วบอก องค์รัชทายาทหลงจิ่งเทียนมองใบหน้าที่หล่อเหลาออกไปทางหวาดหยดอย่างตะลึงงัน ถึงใบหน้าจะไม่เหมือนกับที่เห็นในวันนั้นแต่กลิ่นอายเช่นนี้ไม่ผิดแน่ เป็นเด็กสาวคนนั้นที่เขาเจอในวันนั้นนั่นเอง

เฉินมู่อิ๋งมองทุกคนที่อยู่ที่นั่นอย่างละลานตา แต่ละคนล้วนงดงามและหล่อเหลามาก ขนาดคนที่หล่อน้อยที่สุดก็ยังหล่อกว่าคนทั่วไปมากนัก ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าตำหนักไป๋หยุนเป็นที่รวมของคนงามงั้นหรือ!?

“อะแฮ่มๆ” องค์รัชทายาทเสี่ยวเฟิ่งตบๆ ไหล่สหายรักทีหนึ่ง ที่ดูเหมือนสหายของเขาจะมัวแต่ตะลึงในความงามของเด็กหนุ่ม เอ้ย เด็กสาวคนนั้น หลงจิ่งเทียนตั้งสติ วางจานกับข้าวลงบนโต๊ะ

“นั่นหลงจิ่งเทียน เจ้าเคยเจอเขาแล้ว” ตี้โฮ่วแนะนำตัว “ส่วนนั่นเสี่ยวเฟิ่ง(晓凤) แล้วนั่นก็จินเย่(金叶) ส่วนนกนั่นคือจ้าวซีหง(赵西红) นางเป็นลูกของเฟิ่งรั่วเฟย(凤若飞) กับอาจารย์จ้าวมู่(赵牧) ส่วนนี่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า นั่นท่านย่าข้า นั่นอาจารย์เฉินรุ่ยฟาง(陈瑞芳) นั่นจางจงเหนียน(张宗年) ถางห้าวหมิง(唐浩铭) ถางเส้าเจ๋อ(唐少泽) ถางเชาหราน(唐超然) ถางลี่เฟิง(唐立锋) ส่วนคนนั้นคืออาจารย์เหลียงถิงเวย(梁庭威) เป็นสามีของจินเย่ ส่วนนั่นหานหมิงห้าว(韩明昊) หานห้าวเฟิง(韩昊锋) หานเสียนห้าว(韩贤浩) หานห้าวตง(韩浩冬) หานรั่วเฟย(韩若飞) แล้วนั่นเหอเทียนเหิง(何天恒) สามีของอาจารย์เฉิน”

เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะทุกคน พยายามจดจำชื่อแต่ละคนเอาไว้ แต่ก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะคนเยอะเกินไป

“นอกจากสามีกับลูกชายข้า คนอื่นๆ ที่เห็นพวกนั้นเป็นสาวใช้หุ่นเชิด พวกนางมีสติปัญญานิดหน่อยแต่ก็ไม่มากนัก ทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว” ตี้โฮ่วชี้นิ้วไปทางสาวใช้ทั้งหลาย

“ท่านแม่” เสียงเรียกดังขึ้น ตี้โฮ่วหันไปมองเห็นลูกชายเดินมากับสามี องค์รัชทายาทหานปิงเซียนรีบพุ่งไปกอดท่านแม่ทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!