Skip to content

บุรุษน่าตาย 6

Cover Bn For Web

Chapter 6

หือ? เผ่าวิญญาณ?

“ปิงเซียนอ่านตำราพันอักษรได้ถูกต้องทุกตัวแล้วนะขอรับ” องค์รัชทายาทหานปิงเซียนอวดอย่างภูมิใจ

“ดีๆ” ตี้โฮ่วพยักหน้ายิ้มให้ลูกชายพลางกอดเขาแน่นๆ สองสามที ภาพนั้นทำให้เฉินมู่อิ๋งคิดถึงท่านแม่ขึ้นมาจับใจจนน้ำตาซึม ตี้โฮ่วมองไปเห็นพอดีจึงถาม “เป็นอะไรรึ?”

“ข้าคิดถึงท่านแม่ข้าน่ะ” เฉินมู่อิ๋งบอกพลางรีบซับๆ น้ำตาในดวงตา หลินจือหยี(林姿妤) จึงเดินเข้าไปปลอบ เธอตบๆ ไหล่เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เฉินมู่อิ๋งรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่มาจากสตรีคนนั้น เขายิ้มให้นางอย่างรู้สึกดี

“กินข้าวเถอะ” ตี้จวินบอก เขาเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะ ตี้โฮ่วจึงจูงลูกชายไปนั่งขนาบซ้ายขวา คนอื่นๆ ก็นั่งประจำที่ใครที่มัน อวิ๋นอวี้(韵欲) ย่าของตี้โฮ่วก็ตวาดจางจงเหนียนอีกเช่นเคย “เจ้าไปนั่งห่างๆ ข้าเชียว”

จางจงเหนียนมองตาละห้อย อวิ๋นอวี้จับตะเกียบทำท่าจะทิ่มทั้งถลึงตาใส่ จางจงเหนียนจึงจำต้องถอยห่างจากนาง 1 เก้าอี้ ทำให้ที่นั่งข้างๆ อวิ๋นอวี้ว่างอยู่ คนอื่นๆ ก็ไม่สนท่าทางของอวิ๋นอวี้กับจางจงเหนียนคล้ายกับว่าเห็นเช่นนี้จนชินเสียแล้ว เฉินมู่อิ๋งยังคงยืนเฉยอยู่ตรงนั้น ตี้โฮ่วมองไปเห็นเฉินมู่อิ๋งยังยืนอยู่จึงชี้มือบอก “เจ้ามานั่งข้างท่านย่าก็ได้”

“มาๆ เจ้าหนูรูปหล่อ มานั่งข้างพี่สาวเร็ว” อวิ๋นอวี้กวักมือเรียก ยิ้มแย้มให้เด็กหนุ่มรูปหล่อ แน่นอนว่าเด็กๆ ย่อมน่ามองกว่าตาแก่อย่างจางจงเหนียนอยู่แล้ว

“มาซิ” ตี้โฮ่วบอกอีกที เฉินมู่อิ๋งจึงเดินไปนั่งข้างท่านย่าคนนั้น จางจงเหนียนถลึงตาใส่เด็กหนุ่ม แต่พอได้กลิ่นจากกายเด็กหนุ่มคนนั้นเขาก็เลิกถลึงตาใส่ ซ้ำยังยื่นจมูกไปดมใกล้ๆ ฟุดฟิดๆ

เฉินมู่อิ๋งเอนตัวออกห่างจางจงเหนียนจนเกือบติดอวิ๋นอวี้ อวิ๋นอวี้จึงยื่นมือไปผลักหน้าจางจงเหนียนออกไป “นี่ๆ เจ้าน่ะถอยไปให้ห่างๆ เชียว”

“สตรี เจ้าเป็นสตรี” จางจงเหนียนพูดออกมา เฉินมู่อิ๋งมองอย่างฉงนใจ ตั้งแต่มาแดนเทพก็เจอคน 3 คนแล้วที่มองออกว่าเขาเป็นสตรีไม่ใช่บุรุษ

“รู้ว่านางเป็นสตรีเจ้าก็ถอยไปห่างๆ หน่อยซิ เข้าใกล้นางเช่นนี้นางจะพาลกินข้าวไม่ลงก็เพราะเจ้านี่แหละ” อวิ๋นอวี้บอกน้ำเสียงแข็งกร้าว แล้วพูดกับเฉินมู่อิ๋งว่า “นี่ๆ นังหนูกินเยอะๆ นะ”

นางคีบกับให้เฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งมองกับข้าวที่ถูกคีบมาใส่ชามข้าวตรงหน้าเสียจนพูนเป็นภูเขา ทำให้เขารีบพูดอย่างเกรงใจว่า “พอแล้วขอรับ ขอบคุณมากขอรับ”

“เด็กๆ นี่ช่างน่ารักเสียจริง เห็นแล้วกระชุ่มกระชวยดีจริงๆ ว่าแต่พวกเจ้าเมื่อไหร่จะมีหลานกันอีกล่ะ? รีบๆ มีซิ ข้าอยากอุ้มหลาน” อวิ๋นอวี้มองคนอื่นๆ ทำให้ทุกคนที่แต่งงานแล้วล้วนเขินๆ กันถ้วนหน้า หลินยี่จื่อ(林裕梓) จึงกระแอมไอ “อะแฮ่มๆ คุณแม่ก็พูดอะไรไม่รู้ อายเด็กๆ เขานะครับ”

“อายอะไรล่ะ แม่พูดเรื่องจริงนี่” อวิ๋นอวี้บอก จางจงเหนียนก็พูดแทรกว่า “จะอยากอุ้มหลานไปทำไม รออุ้มลูกของเรามิดีกว่าหรือ”

“เฮอะ น้ำหน้าอย่างเจ้าไม่ได้เห็นขาอ่อนข้าหรอก” อวิ๋นอวี้แค่นเสียงบอก จางจงเหนียนอยากจะพูดยิ่งนักว่า ‘ก็เคยเห็นแล้ว’

ใช่ เขาเห็นตอนนางใส่อาภรณ์รัดรูปชิ้นน้อยๆ(ชุดว่ายน้ำวันพีช) นั่นลงเล่นน้ำอย่างไรล่ะ แต่หากเขาพูดออกไปเช่นนั้นเกรงว่าแม่นางอวิ๋นคงเอาตะเกียบแทงตาเขาแน่แท้ นางงดงามเสียจนเขาหลงรักตั้งแต่แรกเจอ ดังนั้นเขาจึงได้ตามเกี้ยวนางมานานแสนนาน ไม่ว่านางจะด่าว่าอย่างไรเขาก็เมินเฉยไปเสีย ก็อย่างที่เคยได้ยินนังหนูตี้โฮ่วพูดนั่นแหละว่า ‘ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’

เขารักนางก็ต้องหมั่นเกี้ยวซิ ต้องมีสักวันแหละที่นางจะใจอ่อนยอมตกแต่งกับเขา ฮี่ๆๆๆ…

“ในเมื่อท่านย่าพูดเช่นนี้ พวกเราก็รีบกินข้าวเถอะ กินอิ่มแล้วจะได้รีบไปทำหลานให้ท่านย่า” ตี้จวินพูดหน้าตาเฉย คนอื่นๆ ตกตะลึงปากอ้าตาค้าง “อ่า…”

โดยเฉพาะ 5 หานลูกน้องของตี้จวินที่ทำหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว

โห! ท่านช่างกล้าพูดออกมาได้ไม่อายปากบ้างเลยนะขอรับ

ตี้จวินขอรับ หน้าท่านช่างหนายิ่ง! ข้าน้อยขอคารวะ 3 ครั้ง

ฯลฯ พวกเขาล้วนคารวะในความหน้าหนาของเจ้านายอยู่ในใจ

“แค่กๆ” คนอื่นๆ แทบจะสำลักข้าวกันหมด อวิ๋นอวี้ยิ้มถูกใจ “แหมๆ หลานเขยพูดถูกใจย่านัก งั้นพวกเจ้าก็ให้ปิงเซียนอยู่กับย่านี่แหละ แล้วพวกเจ้าจะไปทำหลานก็ไปเถอะ”

“แค่กๆ” คนอื่นๆ สำลักอีกหน ตี้โฮ่วหน้าแดงๆ อย่างอดไม่อยู่ “คุณย่า”

“ตกลงว่าคืนนี้ให้ปิงเซียนนอนกับย่าล่ะกัน” อวิ๋นอวี้บอกพลางพูดกับหลานว่า “ปิงเซียนคืนนี้ไปนอนเรือนย่านะ”

“ขอรับท่านย่า” องค์รัชทายาทหานปิงเซียนรับคำแล้วกินข้าวต่อ คนอื่นๆ ก็กินข้าวกันต่อ เฉินมู่อิ๋งก็กินข้าวอย่างเงียบๆ คอยสังเกตคนนั้นคนนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น

หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว คนก็แยกย้ายกันไป ตี้โฮ่วก็พาเฉินมู่อิ๋งไปคุยกันต่อ แน่นอนว่าเธอต้องอยากรู้ระดับความสามารถของศิษย์ตัวเองก่อนซิ จะได้รู้ว่าควรจะสอนอย่างไร ก็เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเด็กคนนี้แล้วถูกชะตาอย่างแรง ถูกชะตาซะจนต้องชวนมาเป็นศิษย์

เฉินมู่อิ๋งตามตี้โฮ่วไปที่ตำหนักหลังเดิม ตี้โฮ่วนั่งลงแล้วชี้ที่เก้าอี้ข้างๆ “นั่งซิ”

เฉินมู่อิ๋งเดินไปนั่ง ตี้โฮ่วก็บอกว่า “ข้าเรียกเจ้าว่ามู่อิ๋งละกัน”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า ตี้โฮ่วก็ถามว่า “นอกจากความสามารถในการหลอมโอสถแล้วเจ้าทำอะไรเป็นอีก?”

“ก็หลอมอาวุธเซียนได้ขอรับ ส่วนเรื่องงานบ้านงานครัวไม่ค่อยถนัดขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ ตี้โฮ่วยิ้มถูกใจ “โอ หลอมอาวุธได้ด้วยรึ? หลอมแบบไหน? ใช้เตาหลอม เทใส่พิมพ์รึ?”

“แบบนั้นก็หลอมได้ขอรับ แต่ข้าหลอมแบบไม่ใช้เตาหลอมได้ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก ตี้โฮ่วจึงบอก “งั้นลองหลอมอาวุธแบบไม่ใช้เตาหลอมให้ดูหน่อยซิ หากว่าเจ้ามีพรสวรรค์ด้านนี้ข้าจะได้สอนเจ้าหลอมศาสตราเทพ”

“จริงรึขอรับ?” เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต ตี้โฮ่วพยักหน้า เฉินมู่อิ๋งจึงรีบเอาแร่เหล็กดิบๆ ออกมาจากแหวนคุนเฉียน แล้วลงมือหลอมอาวุธแบบไม่ใช้เตาหลอม โอกาสที่จะได้รับคำแนะนำจากตี้โฮ่วเขาจะยอมพลาดโอกาสไปได้อย่างไร ฮี่ๆๆๆ…

เขาเริ่มหลอมอาวุธเซียน ใช้พลังเทพหลอมแร่เหล็กดิบๆ ให้กลายเป็นโลหะเหลว พลางใช้มือทารกเล็กๆ คู่นั้นโอบล้อมโลหะเหลวเอาไว้ แล้วก็ใช้มือทารกเล็กๆ คู่นั้นตบๆ โลหะเหลวขึ้นรูป แน่นอนว่าระยะเวลาตั้งแต่ที่เริ่มหลอมอาวุธจนกระทั่งหลอมเสร็จรวมแล้วเป็นเวลาราวๆ 5 ชั่วโมง กระบี่เทพเล่มหนึ่งก็หลอมเสร็จ เฉินมู่อิ่งปาดเหงื่อมองกระบี่เล่มนั้นแล้วจับกระบี่ส่งให้ตี้โฮ่วที่นั่งมองอยู่ตลอดไม่ละสายตาไปเลย “เป็นอย่างไรขอรับ?”

“อืม มีพรสวรรค์” ตี้โฮ่วชมแล้วบอกว่า “เอาล่ะ เจ้าดูวิธีการหลอมของข้าล่ะกัน”

เธอพูดแล้วก็เอาแร่เหล็กออกมาจากโลกใบเล็ก จากนั้นก็หลอมศาสตราเทพแบบง่ายๆ ให้ดูเป็นตัวอย่าง

เฉินมู่อิ๋งมองจ้องตาไม่กะพริบเลยทีเดียว เขาดูวิธีการหลอมศาสตราเทพเป็นครั้งแรก อีกทั้งไม่ใช่แบบสามัญเสียด้วย แต่เป็นวิธีการหลอมที่ไม่ใช้เตาหลอม เขาเห็นตี้โฮ่วใช้พลังไร้รูปนั้นที่นางเรียกว่า ‘พลังจิต’ แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงหลอมโลหะ ทำให้โลหะหลอมเหลวอยู่ในพลังไร้รูปนั้น จากนั้นก็ขึ้นรูปเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ภาพต่างๆ ดูเหมือนช้า แต่ความจริงแล้วแค่ 5 ลมหายใจเท่านั้น ตี้โฮ่วก็หลอมกระบี่เล่มนั้นเสร็จแล้ว ความเร็วเช่นนี้ทำให้เขาตกตะลึงเสียจนหายใจเข้าลึกเลยทีเดียว ซู๊ด!

ตี้โฮ่วหยิบกระบี่ยื่นส่งให้ “เป็นอย่างไร จำได้ไหม?”

เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ เขารู้สึกทั้งตื่นเต้น ตื่นตะลึง ตกใจ เรียกว่ามันผสมปนเปกันไปหมดเลย ความสามารถของตี้โฮ่วช่างยอดเยี่ยมยิ่ง! เขากุมมือคารวะนาง “ขอบคุณท่านมากขอรับ”

“ไม่สอนเจ้าฟรีๆ หรอก เอาเป็นว่าวันไหนเจ้าหลอมราชันศาสตราได้ก็มอบให้ข้า 1 ชิ้นล่ะกัน” ตี้โฮ่วบอก เฉินมูอิ๋งทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “ฟีๆ?”

“อ่อ ฟรีก็หมายถึงให้เปล่าน่ะ ข้าไม่สอนเจ้าเปล่าๆ หรอก เข้าใจใช่ไหม?” ตี้โฮ่วอธิบาย เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ “ขอรับ”

แล้วเขาก็ถามว่า “ว่าแต่เกล็ดมังกรเอามาหลอมอาวุธได้ไหมขอรับ?”

“ได้ซิ เกล็ดมังกรเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการหลอมศาสตราเลยล่ะ เกล็ดมังกร 1 เกล็ดราคาแพงมากทีเดียว ยิ่งหากได้อาจารย์หลอมศาสตราที่มีความสามารถด้วยแล้วจะยิ่งทำให้หลอมเกล็ดมังกรกลายเป็นศาสตราระดับสูงได้เลย บางทีหากอาจารย์หลอมศาสตรามีความสามารถสูงก็อาจจะหลอมได้ถึงขึ้นราชันศาสตราเลยทีเดียว” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วตาเป็นประกาย แน่นอนว่าเขาอยากหลอมเกล็ดของพี่สาวมังกรเป็นอาวุธด้วยตัวเอง

“ว่าแต่เลือดมังกรของพระชายาเฮยหลงนั่นเจ้าไปได้มายังไงรึ? หรือว่าจะฟลุ๊คได้มาเหมือนเทียนโฮ่ว?” ตี้โฮ่วถาม เฉินมู่อิ๋งทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “ฟุก?”

“อ่อ ฟลุ๊คก็หมายถึงบังเอิญน่ะ” ตี้โฮ่วอธิบาย เฉินมู่อิ๋งจึงส่ายหน้า “เป็นพี่สาวมังกรมอบให้ข้าน่ะขอรับ”

“โอ้ เจ้ารู้จักนางด้วยรึ?” ตี้โฮ่วเลิกคิ้วขึ้น เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า “ขอรับ พี่สาวมังกรให้เลือดหยดนั้นกับข้าขอรับ เอ่อ…จริงซิ หากข้าอยากเจอนาง ข้าจะพบนางได้อย่างไรขอรับ?”

“นางอยู่ที่ตำหนักเทพหมิงเทียนน่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วนางก็ไม่ค่อยอยู่นักหรอก หากอยากพบนางจริงๆ ต้องให้คนส่งจดหมายไปนัดเอาไว้ก่อนน่ะ เห็นว่านางชอบไปที่โลกเบื้องล่างบ่อยๆ ไม่ค่อยอยู่แดนเทพหรอก บางทีก็อาจจะอยู่ที่ถ้ำของนางในแดนมังกรดำกระมัง นางหาตัวยากหน่อยเพราะไม่ค่อยอยู่เป็นที่เป็นทาง” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ “อ่อ ขอบคุณขอรับ ว่าแต่ตำหนักเทพหมิงเทียนอยู่ที่ไหนหรือขอรับ?”

“อยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า” ตี้โฮ่วบอก แล้วก็มองเวลา จากนั้นก็บอกว่า “เจ้ามีความสามารถทั้งหลอมโอสถทั้งหลอมศาสตรา อนาคตคงเป็นใหญ่แน่ๆ เอาล่ะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลากินมื้อเย็นแล้ว ไปๆ พวกเราไปกินข้าวกันก่อน หลังกินข้าวแล้วก็ไปลองฝีมือกับพวกจินเย่ก็ได้”

เธอบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินนำไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป เขาคิดว่าค่าตอบแทนที่ตี้โฮ่วเรียกก็ไม่ถือว่ามากเกินไปเลย วันหน้าถ้าเขาหลอมราชันศาสตราได้ก็มอบให้นาง 1 ชิ้นเป็นค่าตอบแทนที่นางสอนสั่ง ก็ถือว่าไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป ทำให้เขานับถือนางเป็นอาจารย์อย่างหมดใจเลยทีเดียว เขาเดินตามนางไปจนถึงห้องกินข้าวห้องเดิม เห็นทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง นั่งกินข้าวด้วยกันราวกับเป็นครอบครัว ความรู้สึกอบอุ่นนี้ทำให้เขารู้สึกดียิ่งนัก

หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ตี้โฮ่วก็พาเฉินมู่อิ๋งไปที่ลานแห่งหนึ่ง จินเย่ องค์รัชทายาทหลงจิ่งเทียน องค์รัชทายาทเสี่ยวเฟิ่งก็ตามไปด้วย ตี้โฮ่วพยักเพยิดกับจินเย่ “จินเย่ เจ้าจับคู่กับมู่อิ๋งล่ะกัน”

“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” จินเย่รับคำ ยืนอยู่กลางลานพลางกวักมือ “มาๆ น้องชาย เอ้ย น้องสาว มาให้พี่สาวดูหน่อยว่าเจ้ามีฝีมือขนาดไหน”

เฉินมู่อิ๋งจึงเดินไปประจันหน้ากับจินเย่ เห็นนางยังกวักมือคล้ายกับจะให้เขาเป็นคนเริ่มก่อน เขาจึงพุ่งเข้าใส่นาง กำหมัดต่อยออกไป เมื่อนางหลบมาทางซ้ายของเขา เขาก็ต่อยดักทางทันที จินเย่ไวยิ่งนัก นางเอี้ยวหลบหมัดไปอย่างเฉียดฉิว ยกขาวาดเตะสวนอย่างว่องไวยิ่ง

เฉินมู่อิ๋งหลบแทบไม่ทันเลยทีเดียว ความไวของจินเย่ทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น ดวงตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้นที่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือ นานแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอคนที่มีฝีมือเช่นนี้! ทำให้เลือดในกายคล้ายเดือดระอุขึ้นมา “พี่สาวฝีมือเยี่ยมจริงๆ”

“น้องสาวก็ไวดีนี่” จินเย่ชมตอบ จากนั้นทั้งสองคนก็รุกรับใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ชนิดว่าฝีมือมีเท่าไหร่ก็งัดออกมาใช้จนหมดสิ้นเลยทีเดียว ตี้โฮ่วยืนชมดูอย่างพอใจ เด็กเฉินมู่อิ๋งคนนี้มีฝีมือไม่น้อยเลย แต่ว่าท่าต่อสู้ของนางดูคุ้นๆ ตาอยู่นะ อืม…ท่าทางเช่นนี้เคยเห็นที่ไหนนะ?

เธอคิดๆ พลางมองดูท่าต่อสู้ของเฉินมู่อิ๋งอย่างสนใจ หลงจิ่งเทียนที่มองอยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “วรยุทธ์ของนางคล้ายกับเทพสงครามยิ่งนัก”

แน่นอนว่าเขาเคยเห็นเทพสงครามมาบ้าง ตอนออกศึกสู้กับพวกมาร ตอนนั้นเขายังเด็กมากๆ ยังอยู่ในเผ่ามังกร ประจวบกับตอนนั้นเทียนจวินนำทัพสู้กับพวกมารใกล้ๆ กับเกาะเผ่ามังกรของเขา เขาจึงยืนดูการต่อสู้นั้นอย่างตื่นเต้นปนหวาดกลัว

“อืม ใช่แล้ว คล้ายจริงๆ นั่นแหละ” ตี้โฮ่วนึกขึ้นได้ เธอเคยเห็นเทพสงครามคนนั้นมาบ้าง เขาเป็นคนที่โดดเด่นในตำหนักเก้าชั้นฟ้า เธอจึงจำเขาได้ เสี่ยวเฟิ่งก็มองดูสตรีน้อยนางนั้นอย่างสนอกสนใจ เขาก็อยากรู้ว่าคนที่เจ้ใหญ่สนใจจะมีฝีมือขนาดไหน

จินเย่กับเฉินมู่อิ๋งสู้กันอย่างดุเดือดยิ่ง ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว เสียงผั๊วะเผี๊ยะๆ ดังต่อเนื่องไม่หยุดไม่พัก

เวลาผ่านไปราวๆ 2 ชั่วโมง จินเย่ก็ถอยออกไป “ฮู้! น้องสาว เจ้าเก่งจริงๆ”

“พี่สาวก็เก่งมาก” เฉินมู่อิ๋งชมจากใจ เขาไม่ได้สู้สุดแรงเช่นนี้มานานแล้ว สู้เสียจนเหงื่อออกท่วมตัวเลยทีเดียว เขาหันไปมองบุรุษอีก 2 คนที่ยืนดูอยู่แล้วถามตี้โฮ่วว่า “ฝีมือพวกเขาเป็นอย่างไรหรือขอรับ?”

“ก็พอๆ กับจินเย่นั่นแหละ” ตี้โฮ่วตอบ เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ ตี้โฮ่วหันไปกวักมือ “มาๆ พวกเจ้าสองคนก็มาฝึกฝีมือเสียหน่อย”

“อื้ม” เสี่ยวเฟิ่งกับหลงจิ่งเทียนรับคำพร้อมกันแล้วพุ่งเข้าหาเจ้ใหญ่อย่างเร็วยิ่ง เฉินมู่อิ๋งมองดูตี้โฮ่วที่รับมือกับบุรุษทั้งสองอย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งของนางน่าจะพอๆ กับอาจารย์เฟยเทียนกระมัง

จินเย่เห็นเช่นนั้นก็พุ่งเข้าใส่เจ้ใหญ่อีกคน ทั้งยังหันไปชวนเฉินมู่อิ๋งว่า “มาซิน้องสาว มาช่วยกันรุมพี่ใหญ่ ถ้าพวกเราชนะจะได้กินเค้กด้วยนะ”

เฉินมู่อิ๋งไม่รู้ว่า ‘เค้ก’ คืออะไร แต่น่าจะเป็นของดีกระมัง เขาจึงพุ่งเข้าไปร่วมสู้อีกแรง กลายเป็น 4 รุม 1 แต่ตี้โฮ่วก็รับมือเด็ก 4 คนได้อย่างสบายยิ่ง ซ้ำยังเยาะเย้ยว่า “เสี่ยวเฟิ่งเอ้ย ฝีมือเจ้าไม่ค่อยพัฒนาเลยนะ”

“ฮึ่ม เจ้ใหญ่ วันนี้ข้าจะทำให้ท่านต้องเสียเค้กก้อนใหญ่ให้ได้!” เสี่ยวเฟิ่งพูดอย่างมุ่งมั่นมาก เขาพุ่งเข้าไปทุ่มสุดตัวเลยทีเดียว

“เฮอะ! เจ้าไก่อ้วน” ตี้โฮ่วล้อยิ้มๆ เสี่ยวเฟิ่งเถียงทันที “ข้าไม่อ้วนแล้วนะ!”

ถูกยุแหย่ปมในอดีตทำให้เขายิ่งสู้สุดใจเลยทีเดียว เขาจึงกลายร่างเป็นเฟิ่งหวงตัวใหญ่โต พุ่งเข้าสู้กับเจ้ใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย เฉินมู่อิ๋งถึงกับผงะตกใจ “หือ!?”

“เจ้าไม่ต้องตกใจไป เจ้าไก่อ้วนนั่นคือเฟิ่งหวง ส่วนหลงจิ่งเทียนเป็นมังกร” จินเย่บอก เฉินมู่อิ๋งมองเฟิ่งหวงตัวเป็นๆ ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน เขายังไม่ทันหายตกใจก็เห็นหลงจิ่งเทียนกลายเป็นมังกรพุ่งเข้าใส่ตี้โฮ่ว หนึ่งเฟิ่งหวงหนึ่งมังกรพุ่งเข้าใส่เจ้ใหญ่ของพวกเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ตี้โฮ่วก็สู้กับเด็กทั้งสองอย่างไม่ครณามือ จินเย่ก็พุ่งเข้าไปช่วยรุมอีกแรง เจ้ใหญ่ของนางเก่งเกินไป

นางกับเสี่ยงเฟิ่งและหลงจิ่งเทียนสู้กับเจ้ใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่เคยเอาชนะเจ้ใหญ่ได้เลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าพวกเขาฝีมือไม่สูง แต่เป็นเจ้ใหญ่ของพวกเขาที่นับวันก็ยิ่งฝีมือสูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ความเร็วของเจ้ใหญ่พวกเขามองไม่เห็นแม้แต่เงาเลยทีเดียว จินเย่หันไปเรียก “เจ้าก็มาช่วยด้วยซิ”

เฉินมู่อิ๋งเห็นตี้โฮ่วรับมือได้สบายๆ เขาจึงเข้าไปช่วยรุมอีกแรงอย่างไม่เกรงใจ การได้ฝึกฝีมือกับยอดฝีมือย่อมทำให้ฝีมือพัฒนาไปเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสแน่นอน ฮี่ๆๆๆ…

4 รุม 1 ไม่ทำให้ตี้โฮ่วลำบากเลยสักนิด เธอซัดหมัดใส่เสี่ยวเฟิ่งไปทีหนึ่ง ผั๊วะ!

“โอ๊ย!” เสี่ยวเฟิ่งถูกต่อยจนเซไป ตี้โฮ่วเตะหลงจิ่งเทียนไปทีหนึ่ง ผั๊วะ!

“โอ้ย!” หลงจิ่งเทียนถลาไป ตี้โฮ่วผลักจินเย่จนกระเด็นออกไป จินเย่ร้องคำหนึ่ง “อ้า!”

ตี้โฮ่วใช้ขาอีกข้างถีบเฉินมู่อิ๋ง วืดดดด…

เฉินมู่อิ๋งหลบได้อย่างเฉียดฉิวยิ่ง เขาต่อยสวนออกไป ตี้โฮ่วโก่งตัวหลบหมัด เฉินมู่อิ๋งก็ตีเข่าเสย ตี้โฮ่วเอียงหลบด้วยองศาที่ประหลาดยิ่งในสายตาของเฉินมู่อิ๋ง เขารู้สึกว่าร่างกายตี้โฮ่วราวกับงูที่เคลื่อนไหวไร้กระดูกอย่างไรอย่างนั้น หลบหลีกได้ว่องไวในมุมที่เขาคาดไม่ถึงจริงๆ เขาว่าเขาตัวอ่อนแล้วนะ เห็นท่าทางของตี้โฮ่วแล้วนางตัวอ่อนยิ่งกว่าเขาเสียอีก ร่างกายนางราวกับไร้กระดูกจริงๆ!!!

“โอ้ ฝีมือใช้ได้นี่น้องสาว” ตี้โฮ่วชมขณะที่ทรงตัวตรงถอยห่างไป 1 ก้าวแล้วเตะกวาดตัดขา เฉินมู่อิ๋งกระโดดหลบ กลับถูกนางถีบเข้ากลางตัว พลั่ก!

“อุบ!” เฉินมู่อิ๋งจุกกระเด็นจนตกพื้นดังพลั่ก!

“อุก!” เขาจุกซ้ำอีกรอบ ตี้โฮ่วมองยิ้มๆ “ยังต้องฝึกอีกเยอะทีเดียว”

เธอมองเด็กทั้ง 4 คนแล้วกวักมือ “มาๆ”

เสี่ยวเฟิ่งตั้งท่าพ่นสายฟ้าใส่ หลงจิ่งเทียนก็พ่นไฟใส่ ทั้งสองรุมหน้าหลัง จินเย่พุ่งเข้าใส่ทางด้านซ้าย นางใช้เถาวัลย์ธาตุไม้โจมตีออกไป เฉินมู่อิ๋งกลับดูดกลืนพลังสายฟ้า เปลวเพลิงและธาตุไม้เข้าไป วู้มมมม—

ธาตุ 3 ธาตุถูกดูดหายไปสิ้น ทำให้เสี่ยวเฟิ่ง หลงจิ่งเทียน จินเย่ชะงักกึก มองอย่างตะลึงงัน! “อา…!!!”

“หือ?” ตี้โฮ่วก็มองเช่นกัน “ดูดซับ 3 ธาตุเชียวรึ?”

เธอเห็นแสงสีน้ำเงินเปล่งออกมาจากร่างของเฉินมู่อิ๋ง กลิ่นอายนั้นต่างจากเทพโดยสิ้นเชิง ตี้จวินที่เดินมาตามฮูหยินพอดีเห็นแสงสีน้ำเงินนั้นก็ชะงักงันไป “เผ่าวิญญาณ”

“หือ? เผ่าวิญญาณ?” ตี้โฮ่วหันไปมองสามี ตี้จวินเดินไปหาฮูหยิน มองเฉินมู่อิ๋งที่แสงสีน้ำเงินเพิ่งจะจางหายไป พลางพูดว่า “เจ้ามีสายเลือดเผ่าวิญญาณ”

“ปิงเกอ เผ่าวิญญาณคือเผ่าไหนรึ?” ตี้โฮ่วถาม ตี้จวินอธิบายว่า “เผ่าวิญญาณมีดินแดนอยู่ไกลจากแดนเทพพอสมควร พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ลึกลับที่มีมาตั้งแต่บรรพกาล เชี่ยวชาญการควบคุมวิญญาณ กลืนวิญญาณ หลอมวิญญาณ ตัดวิญญาณ หนึ่งในของวิเศษที่เลื่องชื่อของเผ่านี้ก็คือไพลินวิญญาณ แสงเมื่อกี้นี้ก็คือไพลินวิญญาณ”

“อ่อ” ตี้โฮ่วฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เธอไม่รู้เรื่องเผ่าวิญญาณเลย ตี้จวินยื่นมือไป ปล่อยพลังกวาดผ่านร่างเฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งก็ใช้มือทารกเล็กๆ ไร้รูปคู่นั้นต้านพลังเอาไว้ ตี้จวินเลิกคิ้วขึ้น “หือ? นางเป็นชิงเฉินด้วยรึ?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!