Skip to content

พลิกปฐพี 112-3

ตอนที่ 112-3

ลูบคลำก้นท่านมั่ว

ด้านนอกของประตู มีเสียงเคาะดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้มู่ชิงเกอลุกขึ้นถามว่า “ใคร”

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์” นํ้าเสียงโทนต่ำที่แฝงความน่าดึงดูด ยังคงหอมหวานละมุนและชวนหลงใหลดังเคย ในวันนี้ ราวกับเป็นเสียงระฆังยามเช้า ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกตื่นขึ้นมาในทันที

“เดี๋ยวก่อน” มู่ชิงเกอรีบส่งเสียง ทันใดนั้น นางก็รีบก้มลงตรวจสอบว่าเครื่องแต่งกายของตนเองเรียบร้อยหรือไม่

ทันทีที่มองก็พบว่า เครื่องมือมายาของตนเองได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ในตอนนี้นางได้กลายเป็นหนุ่มเจ้าสำอางที่สะอาดสะอ้านดูแลตัวเองเป็นอย่างดี

รู้สึกโล่งอกอย่างไม่อาจจะอธิบายได้ มู่ชิงเกอเปิดผ้าห่มออก แล้วลุกขึ้นในขณะเดียวกันก็พูดกับคนนอกประตูว่า “เข้ามา”

เมื่อได้รับอนุญาต ประตูที่ปิดสนิทก็ถูกเปิดออก ชายของชุดสีขาวได้ปรากฏตัวขึ้น บนชุดนั้น มีลายดอกไม้ที่ปักด้วยด้ายอย่างดี เพื่อเสริมชุดสีขาวให้ดูหรูหรามากขึ้นกว่าเดิม

มู่ชิงเกอมองชุดสีขาวที่ปรากฏขึ้น แล้วค่อยๆ เคลื่อนสายตาขึ้นไป

เมื่อเห็นชัดแล้วว่าผู้มาเยือนคือใคร นางก็ขมวดคิ้ว อย่างอดไม่ได้และพูดว่า ร้าท้ทื่“ท่านเล่นอะไรอีก”

“เล่น?” ซือมั่วที่เดินเข้ามา มองนางอย่างไม่เข้าใจ

เมื่อเห็นว่านางกำลังวิเคราะห์การแต่งกายของตนเอง เขาเองก็ก้มลงมองอย่างไม่รู้ตัว

แต่ว่า ก็ไม่ได้เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ เขาจึงเงยหน้าขึ้นถามมู่ชิงเกอ “เสื้อผ้าของข้าไม่ดีหรือ”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า ในใจปฏิเสธว่า ไม่ดีอะไรกันล่ะ มันดีมากเกินไปต่างหาก

รูปลักษณ์งดงามไร้ที่เปรียบอยู่แล้ว การแต่งกายที่ผ่านมา ล้วนทำให้เขาเป็นดั่งเทพบุตร ที่สูงส่งจนไม่อาจจะเข้าใกล้ได้ แต่การแต่งกายในวันนี้ มู่ชิงเกอมองชุดสีขาวที่แนบติดร่างกายของเขา ชายเสื้อรวมทั้งแขนเสื้อล้วนใช้สีม่วงอันสูงส่งเป็นการตกแต่ง บริเวณเอวมีเข็มขัดคาดอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้มีเพชรเม็ดงามประดับ แต่ก็ยังมีลวดลายดอกไม้ที่แฝงความลึกลับ ไม่ดูไร้ค่าเลยแม้แต่น้อย

ตลอดเวลาที่ผ่านมาซือมั่วมักจะปล่อยผมยาวลง น้อยมากที่จะเกล้าขึ้น

อีกประการหนึ่ง ผมของเขายาวมาก ลงมาถึงข้อเท้า และปลิวไสวไปมาอย่างเป็นธรรมชาติ

แต่ในตอนนี้ เขารวบผมขึ้นด้วยรัดเกล้าสีขาวม่วง ด้านบนมีสีทองจางๆ ตกแต่งอยู่ ดั่งองค์ชายผู้สูงศักดิ์บันดาลลงจากฟากฟ้า งดงามจนไม่อยากจะละลายตา

“หากเสื้อผ้าไม่มีปัญหา แล้วเพราะเหตุอันใดเสี่ยวเกอจึงมองข้าเช่นนั้น” ซือมั่วมองนางด้วยความฉงนใจ ทันใดนั้น ดวงตาสีนํ้าผึ้งก็เป็นประกาย และพูดอย่างเข้าใจว่า “ดูเหมือนว่า เสี่ยวเกอเอ๋อร์จะชอบการแต่งตัวของข้า”

“หน้าหนา” มู่ชิงเกอเชิดใส่เขา แต่ยังไม่ละสายตา พลันพูดอย่างเย็นเยียบว่า “การแต่งกายเช่นนี้ของท่านไม่ได้ดูเป็นคนธรรมดาเลย”

ซือมั่วขมวดคิ้ว เม้มปากคิดและเดินเข้าไปถามมู่ชิงเกอว่า “ถ้าเช่นนั้น เสี่ยวเกอเอ๋อร็คิดว่าข้าควรจะเพิ่มอะไร หรือลดอะไรหรือไม่”

เพราะเขาถามขึ้น มู่ชิงเกอจึงหันไปมองเขา

แต่ว่า นางกลับพบว่า ด้วยหน้าตาของซือมั่วแล้ว นอกเสียจากการเปลี่ยนใบหน้าใหม่ ไม่เช่นนั้นจะแต่งกายอย่างไรก็ไม่สามารถดูธรรมดาลงได้ เมื่อไม่สามารถจะทำอะไรได้ นางจึงได้แต่พูดว่า “เช่นนี้ ก็ดีอยู่แล้ว”

พูดจบ นางก็คิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกทุกคนว่า ท่านเป็นพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับข้า บังเอิญมีจุดหมายเดียวกันจึงได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน มารดาของข้าแซ่ซาง ส่วนชื่อนั้นท่านคิดเอง”

“ซางอย่างนั้นหรือ” ซือมั่วก้มสายตาลงแล้วทวนคำทีหนึ่ง ในดวงตาสีนํ้าผึ้งมีแสงประกายเกิดขึ้น พลันพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าชื่อซางมั่วดีหรือไม่”

“แล้วแต่” มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ไม่ได้สนใจคุณตัวประหลาด มู่ชิงเกอรีบอาบน้ำและ จัดการธุระส่วนตัวของตนเอง

ซือมั่วมองนางด้วยรอยยิ้มอันร่าเริง พลางพึมพำว่า ‘ซาง ที่แท้เสี่ยวเกอเอ๋อร์มีความเกี่ยวข้องเช่นนี้กับตระกูลซางแห่งซีโจวด้วย’

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์สายโลหิตในตัวของเจ้าได้ถูกกระตุ้นหรือยัง” อยู่ๆ ซือมั่วก็ถามขึ้น มู่ชิงเกอถูกเตือนสติในทันทีและก็รีบคิดว่า ชายผู้นี้ได้ปรากฏตัวขึ้นในขณะที่นางกระตุ้นสายโลหิต ทั้งยังมีอายุนานมากถึงเพียงนี้ ยังจะมีอะไรที่ไม่รู้บ้าง

แอบถอนหายใจอย่างอึดอัดทีหนึ่ง แล้วพูดด้วยนํ้าเสียงที่ไม่พอใจว่า “อาจจะ” หลังจากออกจากที่ราบลั่วรื่อเมื่อวานนี้ ก็ยุ่งอยู่นาน นางจะมีเวลาสนใจเรื่องการกระตุ้นโลหิตของตนเองได้อย่างไร อย่างไรก็ตามในขั้นตอนของการกระตุ้นสายโลหิต ได้รับความรู้สึกดังเช่นที่เหมิงเหมิงพูดถึงจริงๆ คิดว่าคงจะไม่มีปัญหาอันใด หลังจากที่สิ้นเสียงของนาง ข้อมือของนางก็ได้วางอยู่บนฝ่ามือของซือมั่ว

นางมองเขาด้วยความแปลกใจ แต่กลับเห็นถึงท่าทางอันเคร่งขรึมของเขา จึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวน

เพียงครู่หนึ่ง ซือมั่วก็ปล่อยมือของนางลง พลันพยักหน้า และพูดว่า “อืม สายโลหิตได้ถูกเปิดแล้วจริงๆ แต่ทว่า…” เขามองนาง ในดวงตาสีนํ้าผึ้งเป็นประกาย “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ความสามารถของเจ้าช่างน่าตกใจ!” พลังความสามารถของสายโลหิตในตำนานเข้มข้นมากกว่าทีเขาคิดเอาไว้

เกรงว่า คนในตระกูลซางแห่งซีโจวรุ่นนี้เองก็อาจจะไม่มีใครมีความสามารถมากกว่าเสี่ยวเกอเอ๋อร์แม้กระทั่งผู้อาวุโสของตระกูลก็อาจจะสู้ไม่ได้

ความสามารถอันพลิกปฐพีเช่นนี้ กำหนดให้ชีวิตต่อจากนี้ของนางจำต้องยากลำบาก

และหากอยากจะยืนอยู่ในที่ๆ สูงกว่า และอยากจะผจญใต้ฟ้านี้ ก็จำต้องผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไป

เขาเชื่อในตัวเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา!

“สายโลหิตถูกกระตุ้นแล้ว!” มู่ชิงเกอพูดอย่างตื่นเต้น

ได้รับคำยืนยันจากซือมั่ว นางจึงมั่นใจว่าสายโลหิตได้ถูกกระตุ้นแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นางเชื่อในทุกคำพูดของชายผู้นี้ บางทีนางเองก็ยังไม่รู้

“แต่ก็เสียดาย” ทันใดนั้น สีหน้าของมู่ชิงเกอก็มืดมนลง ในใจเต็มไปด้วยความเสียดาย

“เป็นอะไรไป” ซือมั่วยื่นมือออกมา ดึงตัวมู่ชิงเกอเข้าสู่อ้อมกอดของตนเองอีกครั้ง

ถูกชายหนุ่มกอดเอาไว้ แผ่นหลังแนบอยู่กับหน้าอกอันอบอุ่นและแข็งแรง มู่ชิงเกอหน้าแดงในทันที พลันดึงมือทั้งคู่ของเขาออก แล้วเดินออกไป

“เสียดายที่ข้าไม่สามารถทำได้อย่างหานฉายไฉ่ที่จะกลืนกินพญาเพลิงเป็นของตนเอง” มู่ชิงเกอเม้มปาก พญาเพลิงน่ะ! ได้ข่าวว่า มีปรมาจารย์แห่งการปรุงยาหลายท่านที่มีเพลิงระดับเทพ และยาที่ปรุงออกมาดีกว่าการใช้เพลิงธรรมดาอยู่มาก หากว่านางมีพญาเพลิง และใช้มันในการปรุงยา สร้างอาวุธ แน่นอนว่าจะสามารถยกระดับคุณภาพของสิ่งที่สร้างให้สูงขึ้นหลายระดับ ของดีเช่นนี้ นางกลับไม่มีบุญมากพอที่จะได้ครอบครอง หากบอกว่าไม่เสียใจก็คงจะโกหก

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลังจากที่ซือมั่วได้ยินแล้ว นํ้าเสียงก็ยังคงแนบนิ่ง

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ได้สติ พลันหันไปมองเขาและถามว่า “ท่านมีวิธีใช่หรือไม่”

ซือมั่วพูดพร้อมรอยยิ้ม “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่สามารถกลืนกินพญาเพลิงจริงๆ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเก็บไว้ได้” เขาเสนออีกทางเลือกหนึ่ง

“เก็บเอาไว้อย่างนั้นหรือ!” มู่ชิงเกอตาเป็นประกาย และดีใจขึ้นมาในทันที

“เราทานอาหารเช้ากันก่อน เราคุยไปด้วยกินไปด้วย” ซือมั่วยื่นมือออกไปสะกิดปลายจมูกของนาง แต่นางหลบอย่างว่องไว

หากไม่พูดถึงของกินก็ดี แต่พอพูดถึงมู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าตนเองหิวแล้ว จึงพยักหน้าตอบรับ “ได้”

ในขณะที่พูดก็กำลังเดินออกไปหาอาหาร

แต่ทว่า เพิ่งจะก้าวเท้าออกไป ก็ถูกซือมั่วขวางเอาไว้และถามว่า “เจ้าจะไปไหน”

“จะกินอาหารมิใช่หรือ” มู่ชิงเกอหันไปมองเขาด้วยความแปลกใจ

ซือมั่วยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ มือคู่ใหญ่โบกเหนือโต๊ะอาหารที่วางอยู่ทีหนึ่ง ทันใดนั้น บนโต๊ะอันว่างเปล่าก็มีอาหารอันเลิศรสปรากฏอยู่เต็มโต๊ะ

สุดยอด!

มู่ชิงเกอลืมตาโต ค่อยๆ โน้มตัวเข้าหาโต๊ะอย่างทนไม่ได้ ปลายจมูกมีกลิ่นหอมของข้าวต้มและอาหารเข้ามาแตะ ทั้งยังมีซาลาเปาร้อนๆ รวมถึงเกี๊ยวกุ้งที่สีสันสดใส กลืนนํ้าลายหลายที มู่ชิงเกอพยายามห้ามมือที่อยากจะยื่นออกไป หันไปมองชายหนุ่มข้างหลังที่ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่ แล้วถามว่า “ของพวกนี้กินได้หรือไม่”

“แน่นอนว่าได้” ซือมั่วตอบโดยการพยักหน้า

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วอย่างลังเล “แต่นี้เป็นสิ่งที่ท่านเสกออกมามิใช่หรือ คงจะไม่ใช่อาหารจริงใช่หรือไม่”

ซือมั่วเดินเข้ามาคว้ามือของมู่ชิงเกอ และพานางเดินเข้ามานั่งอยู่บนเก้าอี้ และตนเองก็นั่งลงข้างๆ นาง แล้วพูดว่า “ข้าเพียงใช้พลังในการในการเอาพวกมันเข้ามา และพวกมันคืออาหารที่มีอยู่จริง”

คำอธิบายนี้ ทำให้มู่ชิงเกอวางใจลง

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว!” มู่ชิงเกอยิ้มจนดวงตาโค้งลงดั่งพระจันทร์เสี้ยว และเริ่มรับประทานในทันที

ซือมั่วมองท่าทางกินอาหารของนาง รอยยิ้มตรงมุมปากเต็มไปด้วยความเอ็นดู เขากินน้อยมาก เวลาส่วนมากของเขาเสียไปกับการบริการอาหารให้มู่ชิงเกอ

หลังจากที่นางพอจะกินอิ่มแล้ว ซือมั่วจึงได้ทำตามที่ได้สัญญาเอาไว้ก่อนหน้านี้ และพูดว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์เข้าใจพญาเพลิงมากน้อยเพียงใด”

มู่ชิงเกออึ้ง เงยสายตาขึ้นมองเขา ในปากยังเหลือซาลาเปาอีกครึ่งลูกที่ยังมิได้กลืนลงคอ ทำให้แก้มข้างหนึ่งป่องขึ้นมา คำถามของซือมั่ว ทำให้นางคิดอย่าง รอบคอบครู่หนึ่ง ในระหว่างที่คิด ก็ได้เป็นช่วงที่ทำให้นางสามารถกินซาลาเปาในปากได้อย่างสะดวก

ความเข้าใจเกี่ยวกับพญาเพลิง และเริ่มรู้จักพญาเพลิงเพราะเหมิงเหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!