ตอนที่ 113-3
ลูกพี่ลูกน้องของคุณชาย
ร่างในชุดสีขาวปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน หลังจากที่ทุกคนเห็นรูปลักษณ์ของซือมั่วชัดเจนแล้ว ทุกคนต่างราวกับถูกมนตร์สะกดให้เป็นรูปปั้น และอึ้งอยู่กับที่
‘ในโลกนี้มีคนที่งดงามได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ’
‘ความงดงามระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะมีได้’
‘ในตอนแรกคิดว่าประมุขหานนั้นงดงามไร้ที่เปรียบแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ชายผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น เขาก็พ่ายแพ้จนหมดรูป ไม่ไม่ไม่ ประมุขหานเทียบไม่ได้กับเจ้านายของพวกเขาด้วยซํ้า แล้วจะเทียบกับคนที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร’
‘หึ ประมุขหานหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีใครจำได้บ้าง’
‘ดูเหมือนว่า ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก ในที่สุดคุณชายก็มีคู่แข่งแล้ว’
ความคิดมากมาย เกิดขึ้นในใจของทุกคน จากความตะลึงก็กลายเป็นความอึ้ง ความอึ้งค่อยๆ หายไปจากสายตาของทุกคนพวกเขาสงสัยว่าชายผู้นี้เป็นใคร เหตุไฉนจึงมาอยู่กับเจ้านายของพวกเขา ทั้งยังเรียกนางอย่างสนิทสนมเช่นนี้
เสี่ยว เสี่ยวเกอเอ๋อร์!
พวกเขากล้ายืนยันว่า หากพวกเขากล้าเรียกเช่นนี้ จะต้องถูกสังหารอย่างสิ้นซากแน่นอน! เหอะๆ!
มั่วหยางมองทั้งสองที่ยืนเคียงข้างกัน เมือเทียบกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือความสง่าล้วนเทียบเท่ากัน ราวกับว่ามีเพียงผู้ชายเช่นนี้เท่านั้นที่จะเหมาะสมกับคุณชายของพวกเขา
ความเคร่งขรึมที่ซ่อนอยู่ในสายตาค่อยๆ จางหายไป
“คุณชาย ท่านนี้คือ…” โย่วเหอถามขึ้นเบาๆ
มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่ใส่ใจมากนัก “อ่อ พวกเจ้าเรียกเขาว่าท่านมั่วแล้วกัน เป็นญาติฝ่ายท่านแม่ของข้าเอง”
“คารวะท่านมั่ว ข้าเป็นสาวใช้ของคุณชาย ชื่อโย่วเหอเจ้าค่ะ” โย่วเหอรีบโค้งคำนับให้กับซือมั่ว
แต่ทว่า นางกลับมองตาฮวาเยวี่ยที่สายตามีแต่คำถามว่า ฮูหยินมีญาติตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไหนบอกว่าฮูหยินเป็นกำพร้ามิใช่หรือ
สาวใช้ทั้งสองรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม ในขณะเดียวกัน มั่วหยางที่อยู่กับมู่ชิงเกอมาตั้งแต่เด็ก เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองซือมั่วอย่างสงสัย ในสายตาแฝงความระแวง
สำหรับองครักษ์เขี้ยวมังกรคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องของท่านแม่ของมู่ชิงเกอ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และกระทำเช่นเดียวกันกับโย่วเหอ เรียกซือมั่วว่า “ท่านมั่ว”
หลังจากที่อึ้งไปครู่หนึ่ง ฮวาเยวี่ยก็ได้เรียกตาม
สามารถปรากฏตัวตรงหน้าคนของมู่ชิงเกออย่างเป็นทางการเช่นนี้ทำให้ซือมั่วมีความสุขเป็นอย่างมาก
ไม่ได้เสียเวลามากนัก ทุกคนก็ได้เดินทางมุ่งไปยังแคว้นอวี๋
มู่ชิงเกอได้เพลิงรัตติกาลของตนเองกลับคืนมา รวมทั้งรถม้า แน่นอนว่าต้องปฏิเสธคำเชิญชวนที่ให้นั่งรถม้าคันเดียวกันกับซือมั่ว เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายกลับหน้าไม่อาย แล้วเบียดเข้ามาในรถม้าของนาง
ในตอนแรก ภายในรถม้าของนาง นอกจากนางและสาวใช้ทั้งสอง ก็ไม่ถือว่าแออัดมากนัก แต่ว่า พอซือมั่วเบียดเข้ามา ก็ทำให้ภายในรถม้าดูแออัด แม้กระทั้งอากาศหายใจ มู่ชิงเกอยังรู้สึกว่าน้อยลงไปมาก
และที่แย่ที่สุดคือ เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกรู้สาอันใด!
ทำให้มู่ชิงเกอโกรธจนกัดฟันส่งเสียงดัง ‘กรอดๆๆๆ’ ตลอดทาง
ในตอนแรก ทั้งโย่วเหอและฮวาเยวี่ยต่างก็ยังสนใจในความเป็นมาของซือมั่ว แต่เมื่อเห็นเจ้านายของตนเองดูสนิทสนมกับเขา ก็ได้ล้มเลิกความคิดไป
เพราะอย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่คนที่เป็นอันตรายต่อคุณชาย พวกนางจะไปสนใจมากถึงเพียงนั้นเพื่ออะไรกัน
เมืองหลวงของแคว้นอวี๋ ชื่อว่าเฟิ่งเจียแต่ที่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายของมู่ชิงเกอ
ในตอนแรก แผนการของนางคือหลังจากที่ผ่านเมือง ส่งเจียแล้ว จึงค่อยเดินทางไปยังโรงโอสถสาขาย่อยที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แต่ทว่าระหว่างทาง ได้ เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมากมาย ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย การรับสมัครนักเรียนประจำปีของโรงโอสถก็ได้ใกล้เข้ามาแล้ว หากว่าจะท่องเที่ยวในเมืองส่งเจียให้ทั่วอย่างที่ได้วางแผนเอาไว้นางก็อาจจะเสียโอกาสที่จะได้เข้าไปในโรงโอสถ และต้องรออีก 1 ปี
เพราะฉะนั้น นางจึงเลือกใช้ทางลัด เลี่ยงการเข้าสู่เมืองส่งเจีย แล้วออกเดินทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของแคว้นอวี๋โดยตรงเพื่อมุ่งไปยังเมืองซางจื่อที่เป็นที่ตั้งของโรงโอสถ เพื่อไปรวมตัวกับพี่น้องตระกูลเว่ย
แต่ไม่รู้ว่า พวกเขาจะมาที่โรงโอสถแล้วหรือยัง
“เมืองซางจื่อ” มู่ชิงเกอดูแผนที่ในมือ และไม่รู้สึกว่าเมืองซางจื่อจะมีจุดเด่นอันใด ตอนแรกเป็นเพียงแค่เมืองธรรมดาๆ เมืองหนึ่ง
“โรงโอสถสาขาย่อย ความจริงแล้วไม่ได้ตั้งอยู่ในเมืองซางจื่อ เมืองซางจี่อเป็นเพียงแค่เมืองที่อยู่ใกล้กับโรงโอสถสาขาย่อยเท่านั้น และเพราะโรงโอสถจึงทำให้เมืองนี้เป็นที่รู้จัก” อยู่ๆซือมั่วก็พูดขึ้น
มู่ชิงเกอปิดแผนที่และหันหน้าไปหาเขาพร้อมถามว่า “เหตุใดโรงโอสถสาขาย่อยจึงเลือกที่จะมาตั้งอยู่ในแคว้นอวี๋ เหตุใดจึงไม่ใช่แคว้นลี่ แคว้นฉินหรือแคว้นปา หรือเพราะว่าในเรื่องของการปรุงยาคนในแคว้นอวี๋เหนือกว่า แคว้นอี่นๆหรือเพราะในผืนป่าหมีเมิ่งมีสมุนไพร”
ซือมั่วยิ้มและตอบว่า “คนนอกมักจะพูดกันว่า ที่โรงโอสถสาขาย่อยเลือกที่จะตั้งอยู่ในแคว้นอวี๋เป็น เพราะความสามารถในการปรุงยาของคนในแคว้นอวี๋ จึงอยากจะดึงผู้มีความสามารถให้เข้ามาอยู่ในโรงโอสถกลาง แต่ความจริงแล้ว นี่เป็นเพียงแค่การทำให้ทุกคนเบี่ยงความสนใจจากความจริงเท่านั้น”
“หืม? โรงโอสถมีจุดประสงค์แอบแฝงหรือ” มู่ชิงเกอตาเป็นประกาย
ซือมั่วส่ายหน้า “ก็ไม่ถือว่ามีจุดประสงค์อันใด ที่โรงโอสถเลือกที่จะมาตั้งที่แคว้นอวี๋และยังเลือกที่ที่ทุรกันดารเช่นนี้ ก็เพราะผืนป่าหมีเมิ่ง”
“ผืนป่าหมีเมิ่งอย่างนั้นหรือ ก็เพียงแค่มีสมุนไพรอยู่บ้างก็เท่านั้น แล้วมีอันใดอีก” มู่ชิงเกอพูดอย่างไม่เข้าใจ
ซือมั่วยื่นมืออันเรียวยาวออกมาดึงแผนที่จากมือนางออกมา แล้วคลี่ออกตรงหน้านางอย่างช้าๆ พลันชี้ผืนป่าหมีเมิ่งแล้วพูดว่า “ผืนป่าแห่งนี้ เป็นสิ่งเดียวที่โรง โอสถทูลขอจากฮ่องเต้แคว้นอวี๋เมื่อครั้งมาตั้งโรงโอสถที่แคว้นอวี๋ เจ้าคิดว่า มันจะธรรมดาหรือไม่”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากลง มองผืนป่าหมีเมิ่งในแผนที่โดยไม่พูดอะไร
“ความจริงแล้ว ผืนป่าหมีเมิ่งก็ไม่ถือว่ามีอะไรที่ลึกลับ เป็นเพียงแค่คลังสมุนไพรตามธรรมชาติก็เท่านั้น คนที่ปรุงยา เห็นยาสำคัญกว่าชีวิต พื้นที่เช่นนี้ถือเป็นขุม สมบัติ โรงโอสถจะไม่ให้ความสำคัญได้อย่างไร แน่นอนว่าในหลินชวน แทบจะทุกผืนป่าล้วนมีสมุนไพร แต่ไม่มีผืนป่าใดเลยที่มีสมุนไพรครบทุกชนิดและมีปริมาณมากดังเช่นผืนป่าหมีเมิ่ง และที่สำคัญที่สุด มีสมุนไพรที่หายากบางชนิดเจริญเติบโตได้ดีในผืนป่าหมีเมิ่ง เพราะฉะนั้น ที่โรงโอสถเลือกที่จะสร้างสาขาย่อยที่แคว้นอวี๋ เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือผืนป่าหมีเมิ่งอันลํ้าค่านี้ การคัดเลือกนักปรุงยาเป็นเพียงผลพลอยได้ก็เท่านั้น” หลังจากที่ซือมั่วอธิบายจบแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หัวเราะเยาะพวกประชาชนที่แทบจะสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งเพราะสมุนไพรไม่กี่ต้นพวกนั้น เขาก็รู้สึกว่าน่าขำนัก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” มู่ชิงเกอกระจ่างแล้ว
“โรงโอสถสาขาย่อย ในทุกๆ ปี จะมีการลำเลียงยาจำนวนมากและเลือกปรมาจารย์แห่งการปรุงยากลับไปยังโรงโอสถกลาง” อยู่ๆ ซือมั่วก็พูดออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
มู่ชิงเกอตาเป็นประกายและฟังเข้าใจแล้ว
โรงโอสถกลางอยู่ภายในอาณาจักรเซิ่งหยวน และแคว้นหรงก็อยู่ใกล้กับอาณาจักรเซิ่งหยวนด้วย หากว่านางสามารถใช้โอกาสนี้ในการโดยสารเรือของ
โรงโอสถล่องเข้าสู่อาณาจักรเซิ่งหยวน และหาโอกาสไปแคว้นหรง ก็จะสามารถย่นระยะเวลาในการเดินทาง และลดความเสี่ยงจากอันตรายที่อาจจะเกิดได้อีกด้วย
มองซือมั่วด้วยท่าทางอันแนบนิ่ง นางไม่ยอมพูดอะไร การเดินทางโดยอาชาเพลิงนี้ใช้เวลาเดินทางเกือบเดือน ทุกคนจึงเดินทางมาถึงเมืองซางจื่อ
และกองทัพที่มาถึงเมืองซางจื่อต่างก็ผอมซูบลงมาก
นอกจากมู่ชิงเกอแล้ว ก็มีเพียงแค่สาวใช้ทั้งสองที่ตามมา แน่นอนว่าซือมั่วก็เดินตามหลังนางมาเช่นกัน