ตอนที่ 113-5
ลูกพี่ลูกน้องของคุณชาย
ระหว่างทาง มู่ชิงเกอพูดกับซือมั่วเบาๆ ว่า “ถึงเมืองซางจื่อแล้ว ท่านจะออกจากที่นี่เมื่อไหร่”
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์อยากให้ข้าไปหรือ” ในส่วนลึกของดวงตาสีนํ้าผึ้งของซือมั่วมองมู่ชิงเกอย่างเจ็บปวด
ราวกับว่า มู่ชิงเกอเป็นลูกผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบ
มาทำให้ว้าวุ่นแล้วจากไปอย่างนั้น
“ตอนแรกท่านบอกว่ามีเรื่องต้องทำไปทำมิใช่หรือ ยังไม่รีบไปทำเรื่องของตนเอง มัวทำอะไรอยู่ที่นี่” มู่ชิงเกอพูดพลางขมวดคิ้ว
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์คิดว่าข้าวุ่นวายหรือ” นํ้าเสียงของซือมั่วเศร้ามากขึ้นกว่าเดิม
มู่ชิงเกอพูดอย่างหมดความอดทนว่า “ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”
‘ไม่ได้คิดจะทำอะไรแค่อยากอยู่ข้างๆ เจ้า’ ซือมั่วพูดในใจ เมื่อเห็นสีหน้าที่มืดครึ้ม ก็ไม่ได้พูดอะไร
ครู่หนึ่ง เขาจึงตอบว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์วางใจเถิด เมื่อถึงเวลาที่ควรไป ข้าจะไปเอง หลังจากที่เจ้าเข้าสู่โรงโอสถ ข้าจะไป”
“หึ” มู่ชิงเกอสะบัดแขนเสื้อและเดินไวขึ้น เพื่อเว้นระยะห่างของทั้งสอง
ท่าทางเช่นนั้น ราวกับกำลังโกรธที่ซือมั่วขี้โกง
แต่ความจริงแล้ว นางไม่ชอบใจหลังจากที่รู้เวลาอันแน่นอนที่เขาจะจากไป
ความรู้สึกเช่นนั้น ทั้งอยากจะให้ซือมั่วจากไปตอนนี้ และหลังจากที่รู้ว่าเขาจะไปจริงๆ นางก็ไม่ชอบใจ
“เหตุใดจึงรู้สึกแปลกเช่นนี้” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วพลางพึมพำ
ความรู้สึกเช่นนี้นางไม่คุ้นเคย ทำให้นางไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
‘เมื่อคิดไม่ออก ก็ไม่ต้องคิดต่อแล้ว! ปล่อยมันเป็นไปตามที่ควรจะเป็นเถิด!’ มู่ชิงเกอบอกกับตนเอง ใบหน้าที่มืดมนก็ค่อยๆ สงบลง
ซือมั่วที่จ้องมู่ชิงเกออยู่ตลอดเวลาเมื่อเห็นว่าสีหน้าของมู่ชิงเกอดูดีขึ้น ก็รู้สึกผิดหวัง ‘ดูเหมือนว่านางจะอยากให้เขาจากไปจริงๆ พอได้ยินว่า เขาจะจากไป หน้าตาก็ดูดีขึ้นมาในทันที’ ผลลัพธ์เช่นนี้ ทำให้ซือมั่วไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เมืองซางจื่อไม่ได้กว้างใหญ่มากนัก ตึกร้อยหญ้าก็มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก
เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องเสียแรงมากนัก ทั้งสามก็ได้มายืนอยู่หน้าตึกร้อยหญ้าแล้ว
เพียงแต่ว่า หน้าตึกยังมีขบวนคนอีกหลายขบวน ดูเหมือนว่า ต่างก็มาเพื่อสมัครเป็นศิษย์ของโรงโอสถ
มู่ชิงเกอกวาดสายตามองขบวนคนรอบหนึ่ง ขบวนที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้หากยืนอยู่หลังสุด ในหนึ่งชั่วยามแน่นอนว่าไม่ทันเป็นแน่
“ไอ้เว่ยฉีข้าเห็นมู่เกอแล้ว!”
“ยัยเด็กบ้าตะโกนอะไร! ข้าเองก็เห็นแล้ว!”
มีเสียงถกเถียงคุ้นหูดังขึ้น ยังไม่ทันที่มู่ชิงเกอจะหันไปมอง ก็ได้ยินว่ามีคนเอ่ยชื่อของตนเอง
“มู่เกอ!”
เงยหน้าขึ้นมอง มู่ชิงเกอกระตุกยิ้ม
พี่น้องตระกูลเว่ยก็มาแล้วหรือ
เมื่อเห็นสองพี่น้องที่พยายามโบกมือให้ตนเองอย่างสุดแรง มู่ชิงเกอจึงพูดกับซือมั่วว่า “ข้าจะไปพบสหาย”
“ทำไมรึ ข้าไปพบสหายของเสี่ยวเกอเอ๋อร์ด้วยไม่ได้หรือ”
ซือมั่วมองมู่ชิงเกอด้วยรอยยิ้มอันคลุมเครือ
มู่ชิงเกอมองเขา พร้อมหรี่ตาลง
นางรู้ว่า แม้นางจะไม่พาเขาไปด้วย เขาก็จะต้องเดินตามมา
“ไปเถิด” ขมวดคิ้วหนหนึ่ง มู่ชิงเกอยอมถอยให้เขา
ซือมั่วยิ้มอย่างได้ใจ บนใบหน้าอันงดงามดูกระหยิ่ม
เขาเดินตามมู่ชิงเกออย่างเงียบๆ พร้อมวิเคราะห์สหายของนาง
“มู่เกอในที่สุดเราก็พบท่านแล้ว! กำลังกลัวว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว!” ทันทีที่พบกัน เว่ยกว่านกว่านก็พุ่งมาอยู่ข้างๆ มู่ชิงเกออย่างสนิทสนม พลันคล้องแขนของนางเอาไว้
สำหรับการกระทำอันสนิทสนมเช่นนี้ของเว่ยกว่านกว่าน มู่ชิงเกอชินแล้ว จึงไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างไร
แต่เว่ยฉี หลังจากที่เดินมาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ ท่าทางก็พลันอึดอัด พักใหญ่จึงได้ประสานหมัดทำความเคารพ และเรียกมู่ชิงเกอว่า “ท่านอามู่”
“แค่กๆ” ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ทำให้มู่ชิงเกอหายใจติดขัดจนสำลัก
“ไอ้เว่ยฉีเจ้าดูสิ เจ้าทำให้มู่เกอตกใจ!” เว่ยกว่านกว่านรีบออกตัวปกป้อง คนที่ไม่รู้ คงคิดว่ามู่ชิงเกอเป็นญาติพี่น้องของนาง แต่เว่ยฉีนั้นเป็นศัตรู
‘ท่านอามู่?’ ซือมั่วมองท้ายทอยของมู่ชิงเกออย่างรู้สึกขัน พลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง
“เจ้าคิดว่าข้าอยากจะทำเช่นนี้หรือ! ท่านพ่อนั้นแหละที่เป็นตัวการ” เว่ยฉีพูดด้วยนํ้าเสียงไม่ชอบใจ
“พอเถิด ท่านพ่อของพวกเจ้าคือท่านพ่อของพวกเจ้า ส่วนพวกเจ้าก็คือพวกเจ้า เราอยู่ด้วยกันอย่างคนรุ่นราวคราวเดียวกันเถิด เรียกข้าว่าท่านอาอะไรนั่น น่าอึดอัด เสียจริง” มู่ชิงเกอได้ตัดสินใจแล้ว
ทันใดนั้น ท่าทางอึดอัดของสองพี่น้องก็เปลี่ยนเป็นตีปีกในทันที
“หืม? ท่านเป็นผู้ใดกัน หน้าตางดงามถึงเพียงนี้” ในขณะนั้นเอง ทั้งสองจึงสังเกตเห็นซือมั่ว และแน่นอนว่าคนที่พูดขึ้นก่อนคือเว่ยกว่านกว่าน
ซือมั่วผุดรอยยิ้มตรงมุมปาก และรอให้มู่ชิงเกอเป็นคนแนะนำ
ม่ขิงกอกระตุกมุมปาก และพูดกับสองพี่น้องตระกูลเว่ยว่า “นี่คือพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า พวกเจ้าเรียกเขาว่าท่านมั่วเถิด” พูดจบ ก็หันไปพูดกับซือมั่วว่า “พวกเขาเป็นลูกของเจ้าเมืองเมืองถัวเว่ยหลินหลางแห่งแคว้นลี่ เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่าน”
“ที่แท้ก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของมู่เกอ! แล้วเหตุใดจึงต้อง เรียกว่าท่านมั่วล่ะ เราก็เรียกว่าพี่ชายเหมือนเจ้าไม่ได้หรือ” เว่ยกว่านกว่านพูดพร้อมรอยยิ้มอันสดใส
ชายผู้นี้รูปงามนัก แม้ว่านางจะชอบมู่ชิงเกอมากกว่า แต่ชายที่เป็นอาหารตาเช่นนี้ คงจะทำให้เจริญอาหารเป็นอย่างมาก!
“ตามสบาย” ซือมั่วยิ้มจางๆ กับเพื่อนที่มู่ชิงเกอเชื่อใจ เขาใจกว้างเป็นอย่างมาก “ถ้าเช่นนั้น เราก็เรียกท่านว่าพี่ชาย” เว่ยฉีเองก็ผุดรอยยิ้ม
มู่ชิงเกอพูดอะไรไม่ออก นางไม่เคยเรียกซือมั่วว่า ‘พี่ชาย’ แต่ว่าฐานะนี้ นางเองที่เป็นคนตั้งให้ ตอนนี้จะคืนคำอย่างไรก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว
“ใช่สิ ทั้งสองท่านนี้คือ…” มู่ชิงเกอเงยสายตาขึ้น มองไปยังชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังของสองพี่น้อง
ทั้งสองมีการแต่งกายที่แปลกตา ให้ความรู้สึกราวกับชุดชนเผ่าที่มู่ชิงเกอเคยเห็นเมื่อชาติที่แล้ว
หนึ่งในนั้น เป็นหนุ่มน้อยแข็งแรงองอาจ สีผิวค่อนข้างคลํ้า ผมยาวถักเป็นเปียเดี่ยวโดยมีเครื่องประดับร้อยรัดเอาไว้ ส่วนสาวน้อยดูน่ารักไร้เดียงสา ดั่งเพชรเม็ดงามที่เล็กแต่คงความงดงาม บนศีรษะมีผ้าที่ปักลายดอกไม้ผูกอยู่ เรียวขาทั้งสองข้างเผยอยู่ข้างนอก แต่ใช้ผ้าอันงดงามบางๆ ผืนหนึ่งพันเอาไว้
“ใช่สิ! ลืมแนะนำไปเลย” เว่ยฉีเอามือลูบศีรษะรีบพูด กับมู่ชิงเกอว่า “ทั้งสองเป็นเพื่อนใหม่ของข้าฟู้เทียนหลงและลุ่ยหลิง พวกเขามาจากแคว้นปา”
“ท่านคือมู่เกอหรือ ข้าได้ยินเว่ยฉีและเว่ยเว่ยกว่านกว่านพูดถึงมาตั้งนานแล้ว ในที่สุดวันนี้ก็ได้เจอตัวจริง” ลุ่ยหสิงสาวน้อยแห่งแคว้นปาได้เอ่ยขึ้น และโค้งคำนับ สำหรับการพบกันครั้งแรกอย่างมีมารยาท หลังจากที่เว่ยฉีแนะนำเสร็จแล้ว นางก็พุ่งตัวเข้ามาอยู่อีกข้างหนึ่งของมู่ชิงเกอ และเอามือคล้องแขนของนางเอาไว้ดั่งเช่นเว่ยกว่านกว่าน ซํ้ายังกะพริบตาใส่นางอีกหลายที มู่ชิงเกออึ้งกับความเป็นกันเองของสาวน้อย ในขณะที่กำลังจะดึงแขนออก กลับได้ยินเสียงที่บีบให้เบาลงของหญิงสาวที่ข้างหู “ข้ารู้ความลับของท่านนะพี่สาว!”