ตอนที่ 119-3
การแก้แค้นช่างเดินทางมาถึงไวนัก!
เนื้อหาบนตำราถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างมากและเป็นการเขียนที่ดีเยี่ยม ทำให้คนอ่านไม่รู้เบื่อ มีคนไข้ที่รักษายาก ทำให้นางรู้สึกแปลกใหม่เป็นอย่างมาก
ผ่านมาอีกครู่หนึ่ง อยู่ ๆ ป้ายที่อยู่ตรงเอวของมู่ชิงเกอก็กะพริบ
เสียงอันเคร่งขรึมที่ดังจากฟ้าดังขึ้นอีกหน “ถึงเวลาแล้ว ออก”
พูดจบ มู่ชิงเกอก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเองราวกับถูกแรงอันมหาศาลดึงนางออกไปจากหอตำรา
เมื่อพลังนั้นหายไป นางก็ได้ยืนอยู่นอกหอตำราแล้ว ‘ช่างเป็นพลังต้องห้ามที่ทรงพลังนัก!’ มู่ชิงเกอแอบพึมพำ
นางเคยเรียนมนต์ต้องห้าม และสามารถรู้ได้เลยว่าพลังของหอตำรานี้ เป็นมนต์ต้องห้าม
ก้มลงมองป้ายหยกตรงเอวของตนเอง มู่ชิงเกอจากไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ค่อยมาที่นี่ แล้วอ่านตำราที่ดึงดูดความสนใจจากนางใหม่
เมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้ทำสัญลักษณ์ที่ห้องปรุงยาของตนเอง มู่ชิงเกอก็รีบไปที่อาณาเขตการปรุงยา
เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็ได้ยินคนจากสองข้างทาง พูดว่าศิษย์บางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้ถูกท่านปรมาจารย์บางท่านหมายปองว่าจะรับเป็นศิษย์
สำหรับเรื่องนี้ มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก
เมื่อมาถึงอาณาเขตการปรุงยาที่เป็นดั่งรังผึ้งรังใหญ่ กลับไม่เห็นใครเลย
ไม่รู้ว่าทุกคนกำลังปรุงยา หรือไปที่อื่นแล้ว
เพราะแผนที่ที่คอยนำทาง มู่ชิงเกอหาห้องปรุงยาของตนเองเจออย่างง่ายดาย
ดึงป้ายหยกที่แขวนอยู่บริเวณเอวออก แล้วแนบลงบนช่อง ห้องปรุงยาก็ค่อย ๆ เปิดออก ในขณะเดียวกันก็จำกลิ่นไอของป้ายหยกในมือของมู่ชิงเกอไปด้วย
นับจากนี้ นอกจากแผ่นหยกในมือของนาง ก็ไม่มีอะไรที่สามารถเปิดประตูห้องปรุงยาได้อีก ก้มศีรษะเดินเข้าห้องปรุงยาไป มู่ชิงเกอพบว่า ที่นี่เป็นดั่งถํ้าถํ้าหนึ่ง
ขนาดไม่ใหญ่มากนัก เป็นเพียงแค่ห้องขนาดเล็ก
ภายในกลับมีอุปกรณ์การปรุงยาทุกอย่างตามต้องการ และหลากหลายมากกว่าห้องที่ใช้ทดสอบ
เมื่อมองทุกอย่างอย่างผ่านตารอบหนึ่ง มู่ชิงเกอพอใจกับห้องปรุงยานี้เป็นอย่างมาก “ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาปรุงยาที่นี่หรือไม่” มู่ชิงเกอพูดอย่างขบขัน
แผนการในตอนแรกของนางคืออยู่ในโรงโอสถเพียงปีเดียว แต่ในตอนนี้ต้องการจะได้คุณสมบัติเป็นผู้คุ้มกันเรือส่งยา อย่างนั้นคาดว่าคงต้องใช้เวลานานกว่านั้น แล้ว
ระยะเวลาหนึ่งปี สำหรับคนฝึกฝนแล้ว มันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บางทีจำนวนครั้งที่นางจะมีโอกาสได้ปรุงยาในนี้ก็ไม่มากนักจริงๆ
เดินออกจากห้องปรุงยา แล้วปิดประตู มู่ชิงเกอพลันเดินจากไป
เพียงแต่ว่า นางออกไปได้ไม่นาน หนทางตรงหน้านางก็ถูกร่างอันสูงโปร่งบดบังเอาไว้
มู่ชิงเกอเงยสายตาขึ้นมองผู้มาเยือนด้วยความฉงนใจ เห็นหน้าผู้มาเยือนชัดเจนแล้ว มู่ชิงเกอพลันตาเป็นประกาย รู้สึกเพียงแค่ว่า มีอะไรบางอย่างที่สาดฉาย ความบริสุทธิ์ไหลผ่านจนกวาดล้างทุกอย่างที่อยู่ภายในใจ
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า งดงามไร้มลทิน ดังเทพบุตรมาบันดาล
เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ราวกับก้อนเมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนฟากฟ้าในขณะเดียวกัน
“ศิษย์น้องมู่” ผู้มาเยือนเอ่ยเรียกชื่อของตนเองอย่างไม่ผิดเพี้ยน ทำให้มู่ชิงเกอแน่ใจว่าเขาไม่ได้ทักคนผิด
ดวงตาอันสว่างหรี่ลง มู่ชิงเกอพูดด้วยนํ้าเสียงที่แฝงความมั่นใจว่า “ศิษย์พี่เหมย” รอยยิ้มตรงมุมปากของเหมยจื่อจ้งชัดเจนเป็นอย่างมาก ความอ่อนโยนในดวงตาซัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม “ไม่คิดว่าศิษย์น้องมู่จะรู้จักข้า”
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ “ผู้ที่มีสง่าราศีถึงเพียงนี้ ข้าว่านอกจากอันดับหนึ่งแห่งโรงโอสถแล้วคงจะไม่มีใครอีก”
“ศิษย์น้องมู่ก็ชมเกินไป” เหมยจื่อจ้งเผยรอยยิ้มจางๆ ไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่งหรือความได้ใจเพราะคำพูดของมู่ชิงเกอเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่เหมยมาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ” มู่ชิงเกอถาม
ในสายตาของเหมยจื่อจ้งแฝงรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่ามีปรมาจารย์มาขอศิษย์น้องมู่ไปเป็นศิษย์หรือยัง”
“ไม่มี” มู่ชิงเกอพูดไปตรง ๆ
“ถ้าเช่นนั้น…” รอยยิ้มในสายตาของเหมยจื่อจ้ง
ชัดเจนมากขึ้น และพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าอยากจะมารับลูกศิษย์แทนท่านอาจารย์ไม่รู้ว่าศิษย์น้องมู่ยินดีที่จะเข้าโหลวชวนป่าย เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์โหลวหรือไม่”
“มารับศิษย์แทนท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอยกมุมปากอย่างขบขัน
เหมยจื่อจ้งจึงอธิบายว่า “ศิษย์น้องมู่อย่าได้ถือสา เพราะในตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ภายในโรงโอสถ ท่านกำลังท่องโลกกว้าง คาดว่าอีกหลายวันกว่าจะกลับ มา จึงจำเป็นต้องให้ศิษย์พี่มารับศิษย์ใหม่”
มู่ชิงเกอพูดอย่างแฝงความขบขันว่า “ศิษย์พี่เหมยตัดสินใจด้วยตนเองเช่นนี้ ไม่กลัวว่าท่านอาจารย์กลับมาแล้วจะไม่พอใจหรือ”
เหมยจื่อจ้งพยักหน้าเบาๆ “เป็นความจริงที่ท่านอาจารย์รับลูกศิษย์น้อยคนนัก นอกจากข้าแล้ว ก็มีเพียงศิษย์น้องซางและศิษย์น้องจ้าว แต่ทว่า ข้ากลับรู้นิสัยของท่านอาจารย์เป็นอย่างดี หากเขารู้ว่าในโรงโอสถนี้มีผู้ที่อัจฉริยะดั่งเจ้า จะต้องรับเป็นศิษย์เป็นแน่ ที่ข้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อที่จะไม่ให้ท่านอาจารย์ต่อว่าข้าที่ยอมให้ผู้มีความสามารถหลุดมือไปหลังจากที่เขากลับมาก็เท่านั้น”
คำพูดติดตลกประโยคหลัง แสดงให้เห็นถึงความเข้ากับคนง่ายและฉลาดในการดึงระยะห่างระหว่างคนสองคนให้เข้าหากัน
เหมยจื่อจ้งที่ดูไม่มีพิษมีภัย ทำให้มู่ชิงเกอเกิดความรู้สึกดีได้ไม่น้อย
แต่ว่า ความรู้สึกดีเช่นนี้ไม่ได้เพียงพอที่จะทำให้การตัดสินใจก่อนหน้านี้ของนางเปลี่ยนไปได้ เพราะฉะนั้น หลังจากที่เหมยจื่อด้งพูดจบ ก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ขอ อภัยศิษย์พี่เหมย ข้ายังไม่มีความคิดที่จะกราบอาจารย์ อีกทั้งข้าเองก็ไม่ใช่อัจฉริยะอันใด หรือท่านไม่รู้ว่ายาที่ข้าปรุงออกมานั้นเป็นเพียงแค่ยาระดับตํ่า”
“มันไม่ได้มีความหมายอันใดเลย” เหมยจื่อจ้งที่ถูกปฏิเสธไม่ได้แสดงความไม่พอใจแต่อย่างไร นํ้าเสียงยังคงอ่อนโยน “เรื่องที่ศิษย์น้องมู่เป็นอัจฉริยะนี้เป็น ความจริง บางทีเจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่า ก่อนที่เจ้ายังไม่ได้เข้าสู่โรงโอสถอย่างเป็นทางการ ก็ได้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงของโรงโอสถแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง ในใจตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที ความคิดแรกของนางคือ ฐานะคุณชายตระกูลมู่แห่งแคว้นฉินของนางได้ถูกเปิดเผยแล้ว
แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด ในโรงโอสถนี้ ผู้ที่มีฐานะมีเบี้องหลังนั้นมีจำนวนไม่น้อย นางรู้สึกเพียงว่า หลังจากที่ฐานะถูกเปิดเผยแล้ว จะทำให้การลงมือในเรื่องต่างๆของตนเองถูกปิดกั้นก็เท่านั้น
เหมยจื่อจ้งพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ในโรงโอสถแห่งนี้ ศิษย์น้องมู่ได้ทำลายสถิติที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ความแข็งแกร่งด้านพลังจิตของเจ้ามีมากกว่าทุกคนในโรง โอสถ เพราะฉะนั้น เจ้าจึงเป็นอาจารย์ปรุงยาโดยแท้ เรื่องนี้ไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่”
ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้
มู่ชิงเกอกระจ่างแล้ว
แต่ทว่า นางกลับรู้สึกไม่ดีขึ้นมา นางไม่คิดเลยว่า เพิ่งจะเข้าสู่โรงโอสถก็สร้างความตื่นตระหนกโดยการทำลายสถิติเช่นนี้
‘เฮ้อ เปิดเผยเกินไปแล้ว!’ บางคนกำลังรู้สึกได้ใจ
“เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ” มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ
เหมยจื่อจ้งกลับพยักหน้าอย่างตั้งใจ “นี่เป็นความสามารถ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตอนนี้ศิษย์น้องยังไม่จำเป็น ต้องให้คำตอบข้า แต่ข้าหวังให้เจ้าได้ลองไตร่ตรองดู ใน โรงโอสถนี้ การมีอาจารย์จะทำให้สามารถเรียนรู้ได้มากกว่า และจะไม่ทำให้ความสามารถของเจ้าต้องเสียเปล่า”
“ได้” เห็นท่าทางที่ตั้งใจของเขา มู่ชิงเกอจึงไม่ได้ปฏิเสธไปในทันที
เมื่อเห็นว่านางตอบตกลง รอยยิ้มตรงมุมปากของเหมยจื่อจ้งก็ชัดเจนมากยิ่งขึ้น “ไม่ว่าเมื่อไหร่ สำนักของเราก็เปิดต้อนรับศิษย์น้องอยู่เสมอ หากศิษย์น้องมู่พบ เจอกับปัญหาอันใดก็สามารถมาหาข้าได้ ข้าจะช่วยศิษย์น้องมู่แก้ไขอย่างสุดความสามารถ ต่อไปคงต้องเจอกับความยากลำบากไม่น้อย หากต้องการก็มาหา ข้า”
“ขอบคุณศิษย์พี่เหมยมาก” มู่ชิงเกอแสดงความขอบคุณ
ไม่ว่านางจะต้องการหรือไม่ต้องการ ก็ถือเป็นความหวังดีของอีกฝ่าย แต่การให้คำสัญญาเช่นนี้ ก็มากพอที่นางจะเอ่ยคำขอบคุณ
“เอาเถิด ข้าไม่รบกวนเวลาศิษย์น้องมู่แล้ว” หลังจากที่พูดในสิ่งที่ต้องการจะพูดจนหมดสิ้นแล้ว เหมยจื่อจ้งก็หันหลังและเดินจากไป ท่าทางอันนุ่มนวลเช่นนั้นราวกับ เป็นสายนํ้าที่สง่างามเป็นอย่างมาก
พอมู่ชิงเกอกลับมาถึง ‘หอพัก’ พี่น้องตระกูลเว่ยก็ได้รอนางอยู่ที่นั้นแล้ว
แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของสุ่ยหลิงและฟู่เทียนหลง ก็ไม่รู้ว่าทั้งสองหายไปไหน “มู่เกอมานี่เร็ว!” เว่ยกว่านกว่านยังคงลุกลี้ลุกลนเหมือนเคย เพิ่งจะเจอมู่ชิงเกอก็รีบกระโดด มู่ชิงเกอสะดุ้งเบาๆ และเดินไปยังประตูหน้าห้องของตนเอง
ยื่นมือออกไปเปิดประตู และเดินเข้าไปคนแรก พลันพูดกับทั้งสองว่า “เข้ามาสิ” เว่ยฉีและเว่ยกว่านกว่านที่ได้รับคำเชิญมองหน้ากันและยิ้มให้กัน ก่อนจะเดินเข้าห้องของมู่ชิงเกอไป หลังจากที่เข้าไปแล้ว ทั้งสองก็ดึงเก้าอี้มานั่งอย่างคุ้นชิน และเริ่มเล่าสู่การฟังในสิ่งที่พบเจอในวันนี้กับมู่ชิงเกอ
“มู่เกอ วันนี้ท่านได้ไปที่สวนสมุนไพรหรือไม่ หูว สวนสมุนไพรนั่นช่างกว้างใหญ่จนไม่เห็นที่สิ้นสุด โชคดีที่ส่วนที่ข้าและเว่ยฉีรับผิดชอบนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ไม่เช่นนั้นคงเหนื่อยตายเป็นแน่! อีกอย่าง ท่านรู้หรือยังว่า เจ้าองค์ชายสามฟ่งนั่นเป็นถึงอาจารย์ปรุงยาระดับกลาง รู้อย่างนี้มู่เกอไม่น่าปิดบังความสามารถเลย ตอนนี้ทำให้เจ้านั่นได้ใจไปแล้ว” เว่ยกว่านกว่านพูดไม่หยุด
‘ฟ่งอวี๋กุยเป็นอาจารย์ปรุงยาระดับกลางอย่างนั้นหรือ
เกินจากที่คาดการณ์เอาไว้ แต่ก็ไม่มากไปกว่าความเป็นไปได้’ มู่ชิงเกอประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อเห็นความไม่พอใจของเว่ยกว่านกว่าน นางก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “หากเขาไม่พอมีความสามารถอยู่บ้าง จะกล้าบอกว่าตนเองสามารถปรุงยาระดับสูงได้ อย่างไรเล่า”
“ข้ารู้ แต่ก็ทนดูความเย่อหยิ่งและความได้ใจของเขาไม่ได้” เว่ยกว่านกว่านพูดด้วยความโกรธพร้อมเบ้ปาก
จากนั้น นางก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่รู้ว่าท่านทราบข่าวหรือยัง แม้ว่าระดับขั้นของเขาจะสูงไม่ใช่น้อย แต่วันนี้มีคนไปสบประมาทเขา ว่าเขาคือคนที่ลือกันว่า สามารถปรุงยาระดับสูงได้มิใช่หรือ เหตุใดการทดสอบเข้าสู่โรงโอสถจึงปรุงได้เพียงแค่ยาระดับกลาง ช่างน่าขันนัก ข้ายังได้ข่าวอีกว่า มีคนท้าประลองกับเขาและจะนัดวันประลองการปรุงยาเชียวนะ,,
“ประลองการปรุงยาอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอรู้สึกตื่นเต้น
“ได้ข่าวว่าคนที่ท้าประลองกับฟ่งอวี๋กุย แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่ติดอันดับ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในอันดับที่ทิ้งท้ายมากนัก ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ติดตามของเตียวหยวน ก็ไม่รู้ว่าการท้าประลองของเขากับฟ่งอวี๋กุยในครั้งนี้ จะเป็นคำสั่งจากเตียวหยวนหรือไม่ หากฟ่งอวี๋กุยแพ้ชื่อเสียงที่สร้างมาก็หมดสิ้น หากว่าชนะ ก็ถือว่าเขาได้เปรียบ” เว่ยฉีพูด
“คนของเตียวหยวนหรือ บางทีอาจจะเป็นวิธีการการทดลองความสามารถของฟ่งอวี๋กุยจากเตียวหยวนก็เป็นได้” มู่ชิงเกอคาดเดาเป้าหมายในการประลองการปรุง ยาในครั้งนี้ทันที
“มีอีกเรื่องหนึ่ง มู่เกอท่านรู้หรือไม่” เว่ยกว่านกว่านยักคิ้วให้กับมู่ชิงเกอหลายที
ราวกับกำลังรอให้มู่ชิงเกอถาม
แต่ทว่า มู่ชิงเกอกลับนิ่ง ทำให้นางผิดหวังในทันที
มู่ชิงเกอมองเว่ยฉีและถามว่า “พวกเขานัดประลองกันเมื่อไหร่”
เว่ยฉีพูดว่า “นัดหมายกันในอีกสามวันนับจากนี้”
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ เรื่องราวน่าตื่นเต้นเช่นนี้ นางสนใจที่จะตามไปดู
จากนั้นนางก็มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจของเว่ยกว่านกว่านแล้วถามว่า “มีเรื่องแปลกใหม่อันใดอีกหรือ”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมู่เกอ” เว่ยฉีแทรกขึ้นมา