Skip to content

พลิกปฐพี 127-2

ตอนที่ 127-2

ยาและพิษเป็นสิ่งเดียวกัน!

จูหลิงส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าไม่รู้”

ในขณะนั้นเอง ชายผู้นั้นก็พูดอย่างหมดความอดทนว่า “แม่นางซางคิดว่าอย่างไร หากคิดไม่ออกจริงๆ ก็ไปเที่ยวป่ากับข้า ข้ามีเวลาเหลืออีกมากที่จะให้ท่านค่อยๆ คิด”

“ใช่ อยู่กับลูกพี่ของเรา คนสวยจะไม่ผิดหวังเป็นแน่ แน่นอนว่าดีกว่าอยู่กับเจ้าหน้าขาวข้างกายเจ้าผู้นั้น”

“พี่ใหญ่ของเรามากความสามารถ จะดูแลปรนนิบัติคนสวยให้สุขสบาย ทำให้เจ้าเหมือนได้ขึ้นสวรรค์และลืมข้อดีทั้งหมดของเจ้าหน้าขาวนั้น”

“กลัวเพียงว่า ถึงตอนนี้ เจ้าจะอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมไปไหน!”

เหล่าสมุนที่อยู่ข้างกายชายผู้นั้นเสริม

คำพูดที่ไม่น่าฟัง ทำให้สายตาของซางจื่อซูเต็มไปด้วยไอสังหารอันโหดเหี้ยม

“เจ้าหุบปาก!” จ้างหนานซิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าซางจื่อซู ยืดอกปกป้อง บนแขนของเขามีแสงสีเขียวส่องประกายออกมา

“สายเขียว?”

“ฮ่าๆๆ เจ้าสายเขียวริบังอาจอวดดีต่อหน้าพี่ใหญ่ของเราเชียวหรือ!”

เหล่าสมุนหัวเราะเยาะ จ้าวหนานซิงรู้สึกโกรธ แสงสีเขียวที่ส่องประกายทั่วร่าง กายชัดเจนมากกว่าเดิม

สมุนผู้หนึ่งหัวเราะจนพอใจแล้วมองชายหนุ่มผู้เย่อหยิ่ง ที่ในตอนนี้หรี่ตาทั้งคู่ลงอยู่ข้างกายตนเองด้วยสายตาที่ฉายความเหยียดหยาม “พี่ใหญ่ของเราเป็นยอดฝีมือสายนํ้าเงิน สายเขียวอย่างเจ้า แค่การลงมือเพียงครั้งเดียวของเขา เจ้าก็ไม่อาจจะต้านทานได้แล้ว”

“สายน้ำเงิน! สายน้ำเงินเชียวหรือ!” ลูกศิษย์โรงโอสถที่ล้อมรอบอยู่ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่มีศัตรูคนเดียวกันก่อนหน้านี้ล้วนตื่นตกใจ หลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้จากสมุน สีหน้าก็ล้วนเปลี่ยนไปและถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับอยากจะแยกตัวออกมา

พวกเขายังปรุงยาได้ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แน่นอนว่าไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือคำว่า เกียรติยศของนักปรุงยา พอได้ยินว่าเป็นยอดฝีมือสายน้ำเงิน ความกลัวในใจก็ปะทุขึ้น

บรรยากาศรอบๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันทำให้ท่าทางของชายหนุ่มเย่อหยิ่งมากขึ้นกว่าเดิม

ท่าทางเช่นนั้นทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกขบขัน ราวกับว่าทั้งหมดที่คนผู้นี้ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากก็เพื่อจะโอ้อวดต่อสาธารณชนอย่างนั้น

คนที่ล้อมอยู่รอบ ๆ ถอยหลัง เผยให้เห็นคนที่อยู่ตรงกลาง

มู่ชิงเกอและอีกสามคนยืนอยู่บริเวณที่ไกลออกไป แต่ก็อยู่ในนั้น ชายหนุ่มมองอย่างดูถูกแวบหนึ่งแล้วพูดกับจูหลิงว่า “แม่นางจู เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า”

จูหลิงเผยรอยยิ้มอันน่าเย้ายวน แม้จะไม่งดงามเท่ากับซางจื่อซูแต่ก็ให้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ใบหน้างดงามสดใสดั่งดอกโบตั้น ทำให้สายตาชายผู้นั้นราวกับถูกสะกดไปแวบหนึ่ง

ในใจนึกเหยียดหยามความตํ่าทรามของชายหนุ่ม จูหลิงพูดเบาๆ ว่า “วันนี้ก็เย็นมากแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องกลับโรงโอสถ ข้าจะกลับไปพร้อมกับจื่อซู ไม่ทราบว่าท่านจะหลีกทางให้ได้หรือไม่” ในขณะที่พูดนางก็จับมือซางจื่อซูเอาไว้

เว่ยกว่านกว่านพึมพำข้างหลังมู่ชิงเกอ “ดูไม่ออกว่า ศิษย์พี่จูจะเป็นคนที่มีศีลธรรม”

“เขาเรียกว่าอย่าตัดสินคนจากภายนอก” เว่ยฉีพูด

ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นว่าจูหลิงนั้นรูปลักษณ์งดงาม จัดการกับทั้งปัญหาคนและเรื่องราวทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย และยังเป็นศิษย์น้องของเตียวหยวนจึงมีความ คิดที่ไม่ดีมากนักกับนาง แต่เรื่องในวันนี้ ทำให้พวกเขาเปลี่ยนความคิดไปอย่างสิ้นเชิง

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มบางๆ “นั้นเป็นเพราะว่าศิษย์พี่ซาง เป็นเพื่อนแท้ของนาง หากเป็นพวกเจ้า นางก็คงไม่หาเรื่องใส่ตัวเช่นนั้น”

คำพูดของนางก็เป็นการเตือนสองพี่น้องอ้อมๆ ว่า ต่อไปหากเจอกับเรื่องไม่ยุติธรรมโดยบังเอิญ ก็ต้องดูว่าคุ้มหรือไม่ที่จะเข้าไปยุ่ง

หากว่าวันนี้นั้นนางไม่อยู่ที่นี่ หรือยอดฝีมือสายนํ้าเงินผู้นี้ริบังอาจสร้างเรื่องมากกว่านี้ พี่น้องคู่นี้ก็จะโดนลูกหลงไปด้วยไม่ใช่หรือ

“แม่นางจู เห็นแก่หน้าศิษย์พี่ของเจ้า ข้าจะเตือนเจ้าว่า อย่าได้คืบจะเอาศอก” นํ้าเสียงของชายหนุ่มฉายความเคร่งขรึมและมองจูหลิงด้วยสายตาที่ราวกับกำลังจะ บอกว่า ‘เตือนดีๆ ไม่ฟัง อยากมีเรื่องถึงจะพอใจใช่หรือไม่’

“จูหลิง เจ้าไปก่อนเถิด” อยู่ๆ ซางจื่อซูก็พูดขึ้น

หากว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ตอนนี้หนีได้คนหนึ่งก็คนหนึ่ง

จูหลิงอยากจะปฏิเสธแต่กลับได้ยินคำพูดของซางจื่อซูที่ว่า “เจ้ากลับไปที่โรงโอสถ ตามท่านอาจารย์ของข้ามาช่วยข้า” พูดจบนางก็เคลื่อนสายตาไปมองตำแหน่งที่มู่ชิงเกอยืนอยู่อย่างแนบนิ่งพลันกดเสียงตํ่าลงพูดว่า “เมื่อครู่นี้ศิษย์น้องหญิงผู้นั้นบอกว่าจะช่วยข้า ตอนเจ้ากลับไป ก็พาพวกเขาไปด้วย”

“จื่อซู ” จูหลิงมองซางจื่อซูด้วยสายตาที่ฉายความเป็นห่วงแวบหนึ่ง

เห็นความแน่วแน่ในสายตาของนาง จูหลิงจึงทำได้เพียงแค่กัดปากและพยักหน้า

นางหันไปมองชายหนุ่มและพูดอย่างเย็นเยียบว่า “ท่าน อาจารย์ของจื่อซูคือท่านปรมาจารย์โหลว หากว่าเจ้าทำร้ายศิษย์รักของท่านและท่านปรมาจารย์เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา แม้แต่ท่านอาจารย์ของข้ายังต้องถอย พูดเพียงเท่านี้ จะทำอย่างไรต่อไปก็แล้วแต่”

พูดจบ นางก็ไม่สนใจชายผู้นั้นอีกต่อไป พลันเดินเข้าไปหามู่ชิงเกอ และพูดกับพวกเขาว่า “เราไปกันก่อน ไปตามท่านปรมาจารย์โหลวมาช่วยจื่อซู”

“จะทำให้มันยุ่งยากไปทำไม” อยู่ๆ มู่ชิงเกอกลับยิ้มออกมา

จูหลิงยังไม่ทันที่จะเข้าใจคำพูดของมู่ชิงเกอก็เห็นว่านางเดินอ้อมตนเองไปอยู่ข้างซางจื่อซูและจ้าวหนานซิง

ตอนแรก ลูกน้องสายนํ้าเงินขั้นต้นของเตียวหยวนผู้นี้ นางคิดจะเก็บไว้ให้องครักษ์เขี้ยวมังกรฝึกฝีมือ

แต่ว่า ในตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว มู่ชิงเกอค่อยๆ เดินเข้าไปอยู่ข้างกายของจ้าวหนานซิงและซางจื่อซูอย่างผ่อนคลายแล้วพูดกับทั้งสองว่า “ศิษย์พี่จ้าว ศิษย์พี่ซาง”

ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน

จ้าวหนานซิงพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ศิษย์น้องมู่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ ที่เจ้าควรมา กลับไปก่อนเถิด”

แม้ว่าซางจื่อซูจะไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาก็เผยความเป็นห่วงอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ พลันหันไปมองชายผู้นั้น

การปรากฏตัวของมู่ชิงเกอทำให้ชายผู้นั้นตาเป็นประกาย ก่อนจะหรี่ตาลง “พ่อหนุ่มน้อยจากไหนอีกแล้ว หน้าแดงฟันขาวราวกับสร้างจากหยก หากเจ้าเป็น หญิงข้าจะต้องเอาตัวเจ้าไปให้ได้! ฮ่าๆๆๆ”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มจางๆ และพูดตามตรงว่า “เตียนหยวนให้เจ้ามาหาเรื่องลูกศิษย์ของท่านปรมาจารย์โหลวล่ะสิ ทำให้ท่านปรมาจารย์โหลวลำบากใจและทำให้ลูก ศิษย์ในสำนักของท่านเสียชื่อเสียง นี่ถึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเตียวหยวน เหมือนว่าวิธีการปฏิบัติของผู้ทำตามคำสั่งอย่างเจ้าจะผิดเพี้ยนไปเสียแล้ว”

คำพูดของนางทำให้รอยยิ้มอันเบิกบานของชายผู้นั้นหายไป พลันกวาดตามองมู่ชิงเกอด้วยสายตาอันเย็นเยียบ

“เจ้าเป็นใคร!” ชายหนุ่มพูดอย่างระมัดระวัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!