ตอนที่ 129-3
ศิษย์น้องจูยังไม่ลงมืออีก?
ค่ำคืน ผ่านไปอย่างเงียบเชียบ
ในยามเช้า กองเพลิงภายในถํ้ามอดดับลง แสงอาทิตย์สาดส่องความสว่างไสวเข้ามายังปากถํ้า ทำให้ความมืดมนภายในถํ้าหายไป
เหมยจื่อจ้งเสร็จจากการฝึกเป็นคนแรก สายตาอันนิ่งสงบกวาดผ่านหน้าใบของทั้งสี่คนไปช้าๆ ในที่สุด เขาก็หยุดอยู่บนใบหน้าของมู่ชิงเกอ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เขาจ้องมู่ชิงเกออย่างเหม่อลอย ราวกับถูกความงดงามของนางดึงดูดไว้
ผู้ที่ตื่นเป็นคนที่สองคือจ้าวหนานซิง ทันทีที่เขาตื่นมาก็บิดขี้เกียจทีหนึ่ง
การกระทำนี้ ทำให้เหมยจื่อจ้งได้สติ เขาก้มสายตาลง ขนตาอันยาวงอนบดบังความลนลานภายใต้สายตาของเขา
หลังจากที่พยายามปกปิดความรู้สึก เขาจึงหันไปมองจ้าวนานชิงและพูดว่า “ศิษย์น้องเจ้าตื่นแล้วหรือ”
จ้าวหนานซิงเผยรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่” ในระหว่างบทสนทนาของทั้งสอง ซางจื่อซูและจูหลิงก็ลืมตาขึ้นพร้อมกัน
ทั้งสี่สบตากัน ท้ายที่สุดก็หยุดสายตาบนร่างของปูชิงเกอที่ยังคงหลับตาอยู่
“เหตุใดศิษย์น้องมู่จึงยังฝึกอยู่” จ้าวหนานซิงลุกขึ้น และเดินเข้าไปหามู่ชิงเกอ
เหมยจื่อจ้งรีบพูดว่า “อย่ารบกวนการฝึกของศิษย์น้องมู่”
ในตอนนั้นเอง ซางจื่อซูก็มองมือของมู่ชิงเกอและพบความผิดแปลก “เหตุใดเวลาฝึกพลังเวทศิษย์น้องมู่จึงคลายมือออก”
คำพูดนี้ของนาง ดึงดูดความสนใจจากอีกสามคนได้
เหมยจื่อจ้งและจูหลิงต่างเดินเข้ามา ทั้งสี่ยืนล้อมกันอยู่ข้างตัวมู่ชิงเกอ
รับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เป็นจังหวะของมู่ชิงเกอ ราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ
จ้าวหนานซิงขมวดคิ้วและพูดว่า “หรือศิษย์น้องมู่จะหลับไปในขณะที่ฝึกพลังเวท”
ซางจื่อซูส่ายหน้าเบาๆ “แม้ว่าจะหลับไปจริงๆ ตอนนี้ก็ควรจะตื่นได้แล้ว”
“ต้องมีอะไรผิดปกติแน่” จูหลิงพึมพำเบาๆ “แม้ว่าจะหลับไป เรามาล้อมกันอยู่เช่นนี้และยังคุยกันเช่นนี้ เขาก็ควรจะตื่นได้แล้ว”
“หรือจะไม่สบาย” จ้าวหนานซิงพูดขึ้นอีก ในขณะที่พูด เขาก็หันมองเหมยจื่อจ้ง
เหมยจื่อจ้งเดินเข้าไปคุกเข่าอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ และ เรียกเบาๆ ว่า “ศิษย์น้องมู่ ศิษย์น้องมู่ ตื่นเถอะ”
แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับนิ่งราวกับเป็นรูปปั้นและไม่มีปฏิกิริยาเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่ ท่านจับชีพจรให้ศิษย์น้องมู่เสียหน่อยเถิด’’ ซางจื่อซูเสนอ
เหมยจื่อจ้งพยักหน้า พลิกมือของมู่ชิงเกอมาวางนิ้วทั้งคู่วางลงบนชีพจรของนาง…
ทันใดนั้น เขาก็คลายมือออกอย่างกะทันหัน นัยน์ตาพลันแสดงความตื่นตระหนกออกมา
ปฏิกิริยาเช่นนี้ ทำลายความสงบก่อนหน้านี้ของเขาลง ราวกับโลกของเขาได้รับการกระทบกระเทือนเป็นอย่างมาก
“ศิษย์พี่ท่านเป็นอะไรไป ชีพจรของศิษย์น้องมู่มีอะไรแปลกหรือ” จ้าวหนานซิงมอง เหมยจื่อจ้งที่กำลังอึ้งอยู่ แวบหนึ่ง พลันยื่นมือออกไปอยากจะจับชีพจรของมู่ชิงเกอ
แต่ทว่า ยังไม่ทันที่เขาจะได้สัมผัสกับข้อมือของมู่ชิงเกอ มือของเขาก็ถูกเหมยจื่อจ้งจับเอาไว้ในทันที
จ้าวหนานซิงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ท่าทางของเหมยจื่อจ้งก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม และยิ้มจางๆ กับเขากล่าว ว่า “ให้ข้าทำเองเถอะ” พูดจบ เขาก็คลายมือออกและ วางนิ้วทั้งสองลงบนชีพจรของมู่ชิงเกอ
‘เป็นผู้หญิง! เป็นชีพจรของผู้หญิง! ศิษย์น้องมู่จะมีชีพจรเป็นหญิงได้อย่างไร! นอกเสียจากว่า…’ ท่าทางของเหมยจื่อจ้งนิ่งสงบ แต่ในใจกลับราวกับมีคลื่นลมแรงพัดกระหน่ำอยู่ ความลับนี้ ทำให้เขาไม่รู้ว่าควรจะบอกอย่างไร แต่ก็รู้ดีว่า ไม่ควรพูด!
แม้ว่าเขาไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอใช้วิธีการอำพรางอย่างไรจึงได้แนบเนียนถึงเพียงนี้ สร้างภาพลวงตา แต่ทว่าในเมื่อนางเลือกที่จะเปิดเผยตัวตนในฐานะชาย ก็ต้องมีเหตุผล
ของนาง
‘ข้ามารู้เรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจก็ถือว่าผิดแล้ว จะเปิดเผยความลับนี้ออกไปไม่ได้เป็นอันขาด’ เหมยจื่อจ้งบอกกับตนเองในใจ
ไม่นาน เขาก็คลายนิ้วออก พลันเงยสายตาขึ้นมองทั้งสามที่กำลังรอคอย บางทีอาจเป็นเพราะปฏิกิริยาเมื่อครู่นี้ของเขารุนแรงเกินไป ทำให้ในตอนนี้ทั้งสามใช้สายตาที่แฝงความสงสัย และความกังวลมองมาที่เขา
“ชีพจรของศิษย์น้องมู่สงบดี ไม่เหมือนมีอาการป่วยอันใด” เหมยจื่อจ้งบอกการคาดการณ์ของตนเอง
“แล้วเหตุใดเขาจึงยังไม่ตื่น” จ้าวหนานซิงบอกความสงสัยของตนเองออกมา
เหมยจื่อจ้งพยักหน้าเบาๆ พลันลุกขึ้นยืน และพูดกับทั้งสามว่า “บางทีศิษย์น้องมู่อาจจะกำลังฝึกอะไรบางอย่างที่เราไม่เข้าใจ เราอย่าพึ่งรบกวนเขา รออีกสัก หน่อยเถอะ”
สำหรับคำพูดของเขา จ้าวหนานซิงและซางจื่อซูไม่ตอบโต้ ทุกคนล้วนนั่งลง และกินยาปีกู่ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องความอบอุ่นและความหิว จูหลิงเดินเข้าไปหาเหมยจื่อจ้ง และพูดอย่างเป็นกังวลว่า “ศิษย์พี่เหมยท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” สายตาอันเย็นชาของเหมยจื่อจ้งหยุดอยู่ที่จูหลิง พร้อมพูดอย่างนอบน้อมและห่างเหินว่า “ศิษย์น้องจูอย่าได้เป็นห่วง ข้าไม่เป็นอะไร”
“…” ความห่างเหินของเหมยจื่อจ้ง ทำให้จูหลิงอ้าปากแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร ถอยกลับไปนั่งลงข้างซางจื่อซู
เหมยจื่อจ้งนั่งลงข้างมู่ชิงเกอ และหลับตาลง
ภายนอกที่นิ่งสงบของเขา ทว่าในใจกลับตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ราวกับกำลังประมวลความลับที่รู้มาโดยมิได้ตั้งใจ
บางที มู่ชิงเกออาจจะคิดไม่ถึงว่าตนเองจะพลาดได้ อาวุธอำพรางสามารถลวงตาคน และเปลี่ยนแปลงร่างกายของนางให้เหมือนผู้ชายอย่างสมบูรณ์แบบ แต่กลับ ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างภายในร่างกายของนางได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่สามารถเปลี่ยนชีพจรของนางได้
บางที ไม่ใช่ว่านางไม่รู้ แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ว่าจะมีคนมาจับชีพจรของตนเองและรู้ความลับที่ตนเองเป็นหญิงผ่านการเต้นของชีพจร
ภายในถํ้า ได้กลับสู่การรอคอยอย่างเงียบสงบ
แต่ว่า มู่ชิงเกอกลับอยู่ใน ‘โลกลวงตา’ และลึกเข้าไป เรื่อยๆ
“เขี้ยวมังกรออกมา!”
“มาค่ะ!” มู่ชิงเกอเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และออกจากแถวมา
ครูฝึกมองนางแวบหนึ่ง และพูดอย่างเย็นชาว่า “การตรวจร่างกายของคุณมีบางรายการที่ไม่ผ่าน ไปรายงานตัวที่ห้องพยาบาลเดี๋ยวนี้”
“รับทราบ!” มู่ชิงเกอไม่ปฏิเสธและไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ยกมือทั้งคู่ขึ้นข้างเอว วิ่งเหยาะๆไปยังห้องพยาบาลของค่าย
ยังไม่ถึงห้องพยาบาล ก็ได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ มู่ชิงเกอเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูและตะโกนเข้าไปในประตูที่ปิดอยู่ “รายงานตัว!”
“เข้ามา” เสียงอันไพเราะของชายหนุ่มดังขึ้น
นํ้าเสียงนั้นแฝงความยโส แถมยังมีความเย่อหยิ่ง และความเกียจคร้าน
มู่ชิงเกอผลักประตูเข้าไป สิ่งที่เห็นนอกจาก ห้องที่ขาวสะอาดแล้ว ยังมีแผ่นหลังอันสูงโปร่งในเสื้อคลุมสีขาว
แผ่นหลังแผ่นนั้นงดงามเป็นอย่างมาก และมีสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบดุจรูปปั้นยุโรป
เขาราวกับกำลังจัดเตรียมอะไรบางอย่าง หลังจากที่มู่ชิงเกอเดินเข้าไป เขาจึงหยุดการกระทำในมือ และค่อยๆ หันกลับมา
เมื่อเขาหันกลับไป ในสายตาของมู่ชิงเกอก็แฝงความตื่นตะลึง
ผู้ชายคนนี้งดงามจริงๆ!
ดวงตาอันเรียวยาวดั่งสุนัขจิ้งจอก ราวกับมีความน่าเย้ายวนลุ่มหลงที่ติดตัวมาแต่เกิด จมูกอันสูงโด่ง ริมฝีปากบาง ทุกรายละเอียดราวกับเนรมิตขึ้นมาอย่างตั้งใจโดยพระเจ้า
แม้ชายหนุ่มทั้งค่ายมารวมกัน ก็ไม่สามารถทำให้ความน่าเย้ายวนในตัวเขาลดน้อยลงได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ว่า ในดวงตาจิ้งจอกที่กระชากวิญญาณนั้น แฝงความเย็นชา และภายใต้ความเย็นชานั้น มีความเย็นเยียบซ่อนอยู่
“ไปนอนลงบนเตียงนั้น รายงานการตรวจสุขภาพของคุณมีปัญหา ผมจะต้องตรวจร่างกายให้คุณด้วยตนเอง” ชายหนุ่มพูดอย่างช้าๆ นํ้าเสียงแฝงความสูงส่งที่สง่างาม
“ได้ ” มู่ชิงเกอไม่สนใจเขา และหันกลับไปที่เตียงคไข้
ผ้าปูที่นอนสีขาว มีกลิ่นยาฆ่าเชื้อจางๆ ไม่ได้กระตุ้นการต่อต้านอะไรนัก
มู่ชิงเกอนอนลงโดยไม่พูดสักคำ ตาทั้งสองข้างจ้องหลอดไฟบนเพดานอย่างสงบ
ทันใดนั้น ก็ได้มีเงาหนึ่งปกคลุมเข้ามา