ตอนที่ 132-3
โชคชะตาของมู่ชิงเกอ
“เหอะ เอาสิ! ในเมื่อเจ้าบอกว่าในทะเลสาบเยวี่ยมีมังกรวารี ถ้าเช่นนี้ตอนนี้เจ้าก็นำทางพาท่านผู้อาวุโส แห่งโรงโอสถไปดูมังกรวารีที่เจ้าอ้างถึงสักรอบ!” โหลวชวนป่ายยิ้มอย่างเย็นเยียบทีหนึ่ง
เตียวหยวนเม้มปากเงียบ
แน่นอนว่าเขาไม่อาจพามนุษย์ไปหามังกรวารี มังกรวารีตัวนั้นสามารถพูดภาษาคนได้ หากพบกันจริงๆ ใครจะรู้ ว่ามันจะพูดอะไรบ้าง ในใจของเตียวหยวน เขาเองก็ไม่เชื่อว่าพวกของเหมยจื่อจ้งจะสามารถฆ่ามังกรวารีได้ อย่างมากคงจะแค่โชคดีที่หนีออกมาได้ ส่วนหน่อจันทร์มายานั้น คงจะฉวยโอกาสตอนที่มังกรวารีไม่ทันตั้งตัว แอบว่ายลงใต้ทะเลสาบไปเอามาได้
“จนถึงตอนนี้แล้ว เจ้ายังปากแข็งถึงเพียงนี้! จงพูดมาว่า เหตุใดเจ้าจึงใส่ความลูกศิษย์ของข้า เหตุใดจึงสร้างเรื่องโกหกที่ไม่แนบเนียนเช่นนี้!” โหลวชวนป่าย พยายามเค้นเพื่อเอาความจริงทุกทาง
“พี่ชวนป่าย จะตื่นเต้นไปเพื่อเหตุใด” อยู่ๆ หัวชางซู่ก็พูดขึ้น
แผนการล้มเหลว ทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก
แต่ทว่า ในตอนนี้กลับไม่ใช่เวลาที่จะมาโทษเตียวหยวน หากว่าในตอนนี้เขาไม่สนใจ ก็ทำให้เรื่องบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ
โหลวชวนป่ายมองหัวชางซู่ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ทำไมรึ ลูกศิษย์ของข้าโดนคนให้ร้าย ข้าที่เป็นอาจารย์จะตื่นตระหนกไม่ได้หรืออย่างไร” สายตาของหัวชางซู่เย็นเยียบลง และพูดเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้ข้าจะสืบเอง ในเมื่อพวกของเหมยจื่อจ้งกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ท่านจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย หรือ”
โหลวชวนป่ายไม่ยอมถอย “ที่ลูกศิษย์ของข้ากลับมา เพราะโชคดีของพวกเขาเอง ที่ไม่ถูกกำจัดเพราะสัตว์เดรัจฉาน เรื่องนี้เกี่ยวอะไรการที่เตียวหยวนตั้งใจใส่ความและสร้างเรื่องโกหกเกี่ยวกับลูกศิษย์ของข้าด้วย”
“ข้าเองก็บอกแล้วว่าจะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง!” หัวชางซู่ ขมวดคิ้วพูด
ท่าทางภายนอกที่ดูสง่างาม ในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม
บนใบหน้าของโหลวชวนป่ายเต็มไปด้วยความไม่เชื่อถือ “ท่านจะสืบจากลูกศิษย์ของตนเอง จะได้ความว่าอย่างไรเล่า”
“แล้วท่านจะให้ทำอย่างไร” หัวชางซู่พูดด้วยความเกลียดชัง
โหลวชวนป่ายเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยท่าทางอันแข็งกร้าวว่า “เตียวหยวนจะต้องให้คำอธิบายกับข้า แล้วจะต้องขอโทษลูกศิษย์ของข้าต่อหน้าทุกคน นอกจากนั้น เขาพูดจาให้ร้ายลูกศิษย์สำนักเดียวกันเอง จะต้องได้รับบทลงโทษ!”
หัวชางซู่หรี่ตาลง ในร่องแววตามีความอันตรายปรากฏอยู่
มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้ม นางดูจนพอใจแล้ว ถึงเวลาที่นางจะพูดอะไรบ้าง นางเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าโหลวชวนป่าย และพูดกับเขาว่า “อาจารย์อย่าลืมว่า เรายังเอาหน่อ จันทร์มายากลับมาด้วย”
“อ่อ ใช่!” ถูกนางเตือนเช่นนี้โหลวชวนป่ายก็พูดทันทีว่า “รางวัลที่คุยกันไว้ต้องเป็นทบทวี เพื่อเป็นการปลอบใจเหล่าลูกศิษย์ของข้าที่เสียขวัญ และต้องประกาศต่อทุกคนว่า ภารกิจในครั้งนี้ ลูกศิษย์ของข้าคือผู้ชนะ ลูกศิษย์ของท่านแพ้”
รอยยิ้มของมู่ชิงเกอชัดเจนมากขึ้น แอบคิดในใจว่า อาจารย์ท่านนี้ช่างรู้ใจข้าเป็นอย่างดี
รางวัลในการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ คือ ผู้ที่ชนะสามารถ ครอบครองยาสมุนไพรอันลํ้าค่าได้เป็นร้อยชนิดตามที่ตนเลือก ทั้งยังสามารถไปเลือกหม้อหลอมยาที่มาจากโรงโอสถกลางได้ที่หอโอสถ ตอนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณอีก ช่างดึงดูดกันมากเกินไปแล้ว
สีหน้าของหัวชางซู่แข็งกร้าวดังเหล็ก
เขาอยากจะปฏิเสธคำพูดของโหลวชวนป่ายเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่หวังให้เรื่องนี้มันบานปลายมากไปกว่านี้
เขากวาดสายตาอันโหดเหี้ยมผ่านเตียวหยวน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าขอประกาศว่า ในการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ ผู้ชนะคือเหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิง ซางจื่อซู มู่ชิงเกอและจูหลิง” แน่นอนว่าในขณะที่เขากวาดสายตามองจูหลิง สายตาของเขาก็เย็นเยียบลงกว่าเดิม
“พรุ่งนี้พวกเขาทั้งห้าสามารถไปที่สวนสมุนไพรเด็ดยาสมุนไพรคนละสองร้อยชนิด จากนั้นก็ไปเลือกหม้อหลอมยาได้ที่หอโอสถ นอกจากนั้น ยังสามารถไปเลือกยาระดับจิตที่มาจากโรงโอสถกลางที่หอโอสถได้คนละหนึ่งเม็ด” หัวชางซู่พูดถึงตอนท้าย รู้สึกว่าในใจของตนเองกำลังหลั่งเลือด ทันทีที่ลูกศิษย์ที่อยู่ในลานได้ยินเช่นนั้นก็ต่างเงียบลง
ทุกคนล้วนมองทั้งห้าที่อยู่ในสถานการณ์นี้อย่างอิจฉา ยังไม่ต้องพูดถึงยาสมุนไพรอันลํ้าค่าเหล่านั้น เพียงแค่หม้อหลอมยาที่มาจากโรงโอสถกลางและยาระดับจิต ก็ทำให้พวกเขาอยากเข้าไปแทนที่เป็นอย่างมากแล้ว
ยาระดับจิต! คนอย่างพวกเขาชาตินี้คงจะไม่มีโอกาสได้พบเจอแม้แต่ครั้งเดียว
“อะแฮ่ม หัวหน้าหัว แล้วเตียวหยวนเล่า” มู่ชิงเกอแกล้งไอทีหนึ่งและพูดเตือน ทันใดนั้น ก็ได้ดึงสติของเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์ที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ความรู้สึกตะลึงกับรางวัลให้กลับมา
ใช่สิ! ยังเหลือเตียวหยวนอีกคนนะ!
ความเกลียดชังเข้าครอบงำจิตใจของหัวชางซู่ ที่เขาใจกว้างมากถึงเพียงนั้น เพราะอยากจะใช้เรื่องนี้ในการเบี่ยงเบนความสนใจ และกลบเรื่องของเตียวหยวนลงไป เห็นว่ากำลังจะสำเร็จแล้ว แต่กลับถูกคำพูดของมู่ชิงเกอทำลายลงจนหมดสิ้น
ในวินาทีนั้น เขาเกิดอยากจะสังหารมู่ชิงเกอขึ้นมา
อ้อ ไม่ใช่สิ! นับตั้งแต่วินาทีที่มู่ชิงเกอเข้าสู่สำนักของโหลวชวนป่าย เขาก็ได้เขียนคำว่า ‘ต้องตาย’ ลงบนชื่อของมู่ชิงเกอแล้ว
“เตียวหยวน” ท่ามกลางความสนใจของทุกคน หัวชางซู่ ถูกบีบจนต้องพูดอย่างเย็นเยียบว่า “เตียวหยวนสร้างเรื่องโกหก ใส่ความให้ร้ายลูกศิษย์ในโรงโอสถ ฉะนั้นก็ ยกเลิกสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหมดในการใช้ชีวิตภายในสามปี นอกจากนั้น ลูกศิษย์ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ล้วนไปรับโทษที่ตึกว่าความ โทษของเตียวหยวนเพิ่มเป็นเท่าตัว ลงโทษเป็นสองเท่า หลังจากรับการลงโทษ ถูกกัก บริเวณอยู่ในห้องหนึ่งเดือน เพื่อทบทวนตนเอง”
พูดจบ เขาก็หันมองโหลวชวนป่ายและกัดฟันพูดว่า “พี่ชวนป่ายพอใจหรือยัง” โหลวชวนป่ายยิ้มอย่างเย็นเยียบทีหนึ่ง พลันประสานหมัดพอเป็นพิธี “หัวหน้าหัวช่างยุติธรรมจริงๆ”
หัวชางซู่อุทานอย่างเย็นเยียบคำหนึ่ง พลันสะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินจากไป อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็ถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่จ้าว ให้ร้ายลูกศิษย์ในโรงโอสถ สร้างเรื่องโกหก โทษเช่นนี้ที่ตึกว่าความจะมีการลงโทษอย่างไร”
จ้าวหนานซิงพยุดคิดครู่หนึ่งและตอบว่า “คงจะฟาดด้วยเถาวัลย์พิษห้าสิบที”
“เถาวัลย์พิษอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
จ้าวหนานซิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ว่ากันว่าบนเถาวัลย์พิษนั้นมีพิษอยู่อ่อนๆ สามารถทำให้เจ็บปวดสาหัสและบาด แผลยากที่จะประสาน จะต้องให้ผ่านขั้นที่แผลเน่าเสียก่อน และในการรักษาจะต้องกรีดเนื้อที่เสียออกก่อน จึงจะสามารถรักษาให้หายดีได้”
มู่ชิงเกอเผยรอยยมตรงมุมปาก “อืม ไม่เลว”
พูดจบ นางก็หันไปพูดกับจูหลิงว่า “ศิษย์พี่จูคืนนื้ไปพักกับศิษย์พี่ซางจะดีที่สุด พรุ่งนี้หลังจากที่เราไปรับรางวัลด้วยกันแล้ว ท่านค่อยไปซ่อนตัว”
สายตาที่หัวชางซู่มองจูหลิงครู่หนึ่ง มู่ชิงเกอเห็นอย่างชัดเจน
จูหลิงเม้มปากพร้อมพยักหน้า ในขณะนั้นเอง ซางจื่อซูก็เดินเข้าไปหาจูหลิง หัวชางซู่กลับไปแล้ว เรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว ในขณะนี้เองมู่ชิงเกอจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเตียวหยวนผู้ที่กำลังจะถูกส่งตัวไปที่ตึกว่าความ และกระซิบข้างหูเขา อย่างแผ่วเบาราวเสียงยุงว่า “ศิษย์พี่เตียว อย่าเพิ่งรีบร้อน ละครสนุกเพิ่งจะเริ่มเปิดฉากเท่านั้น”
เตียวหยวนสาดสายตาอำมหิตให้นาง แต่กลับถูกรอยยิ้มบางๆ ของมู่ชิงเกอต้านเอาไว้
เตียวหยวนถูกเอาตัวออกไป ในขณะนี้เองพี่น้องตระกูลเว่ย สุ่ยหลิง ฟู่เทียนหลงและทุกคนจึงรีบเข้ามารุมล้อม มู่ชิงเกอพาพวกเขาออกไป เหมยจื่อจ้งหันหลังและเดินกลับไปยังที่พักของโหลวชวนป่าย
รุ่งเช้าในวันต่อมา ทั้งห้าก็ไปเลือกยาสมุนไพรอันลํ้าค่าที่สวนสมุนไพร โดยมีโหลวชวนป่ายเป็นผู้นำ
จนถึงวันนี้ มู่ชิงเกอเพิ่งจะรู้ว่าในสวนสมุนไพรของโรงโอสถก็แบ่งประเภทเอาไว้มากมายหลากหลาย พวกยาสมุนไพรที่มีค่าล้วนดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ ปกติแล้วผู้คนไม่สามารถเข้าใกล้ได้
มู่ชิงเกอและทุกคนถูกพามาที่สวนสมุนไพรลํ้าค่า ต่างเลือกสมุนไพรคนละสองร้อยชนิดตามที่โหลวชวนป่ายชี้แนะ ทำให้ผู้ดูแลสวนสมุนไพรเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก
หลังจากเสร็จจากการเลือกสมุนไพร โหลวชวนป่ายก็พาทุกคนไปหยุดอยู่ตรงหน้าหอโอสถ
ตอนยืนอยู่หน้าประตู เขาหันกลับมาพูดกับทุกคนว่า “เรื่องที่ทะเลสาบเยวี่ย พวกเจ้าไม่อยากลงรายละเอียด ข้าเองก็จะไม่ถาม แต่ว่าพวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่า ไม่ว่า อย่างไรข้าก็เป็นอาจารย์ของพวกเจ้า” พูดจนถึงตอนนี้ เขาหันมองจูหลิงแวบหนึ่ง นางตอบกลับด้วยรอยยิ้ม โหลวชวนป่ายพูดต่ออีกว่า “หม้อหลอมยาในหอโอสถ ล้วนมาจากโรงโอสถกลาง เป็นสิ่งของของแคว้นระดับหนึ่ง แม้จะอยู่ในระดับที่ตํ่าสุด แต่เมื่ออยู่ที่นี่ล้วนเป็นของลํ้าค่า อีกทั้งหม้อหลอมนั้นยังมีจิตวิญญาณ หลังจากที่พวกเจ้าเข้าไปแล้ว อย่าเลือกซี้ซั้ว จะต้องเลือกอันที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด และถูกชะตามากที่สุด โอกาสไม่ได้มีง่ายๆ อย่าปล่อยให้เปล่าประโยชน์ สำหรับ ยาระดับจิต ข้าแนะนำว่าพวกเจ้าควรเลือกยาที่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ใด้นั้นหมายความว่า ในอนาคตพวกเจ้าจะมีชีวิตเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งชีวิต เอาล่ะ ที่ควรพูดข้าก็ พูดไปแล้ว พวกเจ้าเข้าไปเถิด ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ข้าง นอก”
ทั้งห้าเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ราวกับตกลงไป ท่ามกลางความมืดมิดผืนหนึ่ง
มู่ชิงเกอยืนอยู่ท่ามกลางความมืด รอบๆ ราวกับไม่มีใครเลย ดูเหมือนว่า ทันทีที่พวกเขาเข้ามา ก็ถูกมนต์ควบคุมบางอย่างแยกพวกเขาออกจากกัน
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองกลางอากาศ เห็นจุดแสงทรงกลมจำนวนนับไม่ถ้วนลอยไปมาอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
แววตาของมู่ชิงเกอไหววูบ และคว้าเม็ดกลมเกลี้ยงเม็ดหนึ่งเอาไว้ในมือ
แบมือออก กลับเห็นเป็นยาที่เปล่งประกายสีทองอ่อนๆ เม็ดหนึ่ง
นางขมวดคิ้ว และพึมพำว่า “นี่หรือว่าจะเป็นยาระดับจิต?”
กลิ่นหอมของยาระดับจิต ไม่แสดงออกมาอย่างชัดเจน เหมือนยาระดับสูง ที่หอมจนสะกดทุกคน ดูจากภายนอกของยาแล้ว ไม่อาจรู้ได้เลยว่ามันมีสรรพคุณอย่างไร