ตอนที่ 143-4
ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน
ขณะที่ฟ่งอวี๋กุยไปหาพวกกุนซือหารือเรื่องวิธีการรับมือ ฟ่งอวี๋เฟยก็พามู่ชิงเกอไปถึงที่พักแล้ว
หลังจากคนจากไปจนหมด ฟ่งอวี๋เฟยกับมู่ชิงเกอก็นั่งอยู่ด้วยกัน
หลังจากฟ่งอวี๋เฟยรินชาให้มู่ชิงเกอแล้วก็พลันกล่าวขึ้นเสียงเบา “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะมาด้วยตัวเอง”
มู่ชิงเกอยกถ้วยชาขึ้น ยกไปสูดกลิ่นตรงจมูกอยู่หลายที
ก่อนจะแย้มยิ้มพลางกล่าวขึ้น “ทำไมรึ? ข้าก็นึกว่าเจ้าจะคิดออกได้ตั้งนานแล้ว” นางที่มาก็เพราะว่าต้องการ มาเอาคืน
“แคว้นฉินมีเรื่องราวมากมาย ข้ายังนึกว่า…” ฟ่งอวี๋เฟยขบริมฝีปาก
มู่ชิงเกอวางถ้วยชาลง หลังพิงไปที่ผนักเก้าอี้ ท่าทีเกียจคร้านอย่างถึงที่สุด “ราชกิจของแคว้นฉิน ก็มีฮ่องเต้แคว้นฉินคอยจัดการ ส่วนข้านั้นก็ว่างมาก”
“แคว้นฉินตั้งฮ่องเต้พระองค์ใหม่แล้วรึ?” ฟ่งอวี๋เฟยกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจ
มู่ชิงเกอผงะหัวเบาๆ “บ้านเมืองก็ไม่อาจขาดผู้นำได้แม้เพียงวันเดียว แคว้นฉินฮ่องเต้สวรรคตไปพระองค์หนึ่ง แน่นอนว่า ต้องมีคนแทนที่ขึ้นไป”
พอได้ฟังคำกล่าวสบายๆ ของเขาเช่นนั้น ฟ่งอวี๋เฟยก็ส่ายหน้าอย่างหมดวาจาจะกล่าว “ในใต้หล้า คนที่สามารถพูดเรื่องประมุขครองแคว้นได้ง่ายดายเช่นนี้ ก็คงมีแต่ท่านแล้ว”
มู่ชิงเกอแสยะยิ้ม นางก็ไม่ได้คิดว่าฮ่องเต้มีอะไรพิเศษ ก็แค่พนักงานตำแหน่งสูงก็เท่านั้น
“เช่นนั้นเป็นใครกันที่ขึ้นครองบัลลังก์?” ฟ่งอวี๋เฟยกล่าวขึ้นอย่างใคร่รู้ “ฉินจิ่นเฉิน” มู่ชิงเกอกล่าวขึ้นท่าทีสบายๆ
ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วหนังสือประกาศการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จะต้องส่งไปให้แคว้นต่างๆ อยู่แล้ว นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร
“อดีตท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ?” ฟ่งอวี๋เฟยก็ยิ่งประหลาดใจขึ้นไปอีก นางเม้มริมฝีปากพลางกล่าวขึ้นอย่างลังเล “แต่ว่าข้าได้ยินมาว่าสุขภาพของท่านอ๋องผู้สำเร็จ ราชการแทนค่อนข้างไม่ค่อยดีนัก”
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว” มู่ชิงเกอตอบขึ้นอย่างรวบรัด
ฟ่งอวี๋เฟยแววตาพลันกระจ่างวูบ ลุกยืนขึ้น ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “เป็นคุณชายที่ลงมือเองรึ? ฮ่องเต้ฉินได้ยินมาว่าป่วยออดๆ แอดๆ มาตั้งแต่เล็ก ชีพจรอ่อนแอ ตอนนี้คุณชายสามารถรักษาเขาจนหายดีได้ ก็สามารถยืนยันได้ว่าคุณชายมีความสามารถเทียมฟ้า อวี๋เฟยมีเรื่องอยากขอร้องเรื่องหนึ่ง ขอคุณชายได้โปรดตอบรับด้วย”
กล่าวจบ นางก็พลันคุกเข่าลง ราวกับว่านางองค์หญิงใหญ่ของแคว้นลี่ผู้นี้ พออยู่ต่อหน้ามู่ชิงเกอก็ไม่ต่างจากฮวาเยวี่ย โย่วเหอแม้แต่น้อย มู่ชิงเกอเงยหน้าไปมองนางพลางถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“เป็นเสด็จพ่อของข้า” ฟ่งอวี๋เฟยเงยหน้าขึ้น แววตางามปรากฏหยาดนํ้าตาขึ้นชั้นหนึ่ง นางข่มกลั้นความเจ็บปวดในใจ นำบทสนทนาที่กล่าวกับฟ่งหลันในวันนั้น รวมถึงคำพูดตอนหลังของหัวหน้าขันที พูดออกไปทีละเรื่อง
“เสด็จพ่อก็ต้องรับผลร้ายที่ข้าก่อจนกลายเป็นเช่นนี้ ข้าไม่สามารถมองแล้วไม่สนใจ คุณชายถ้าหากสามารถออกหน้าช่วยเหลือ อวี๋เฟยจากนี้เป็นต้นไปก็จะทำตามคำสั่งของคุณชายทุกประการ” ฟ่งอวี๋เฟยโน้มกายตํ่าลง
มู่ชิงเกอมองไปที่นางสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถิด”
ฟ่งอวี๋เฟยก็ลุกขึ้นตามวาจาที่กล่าว เพียงแต่แววตายังคงเต็มไปด้วยการขอร้องอ้อนวอน
มู่ชิงเกอชี้ไปทางเก้าอี้ข้างกาย “นั่ง”
ฟ่งอวี๋เฟยนั่งลงตามคำบอกของมู่ชิงเกอ เพิ่งจะนั่งลงได้ไม่ทันไร ก็มีขวดยาขวดหนึ่งตกลงบนตักของนาง
นางพอก้มหน้ามองลงไป ในแววตาก็เต็มไปด้วยความดีใจ
“ตัวยาที่อยู่ด้านในก็เพียงพอที่จะประคองอาการให้ทรงตัว เจ้าเอามันไปให้ฟ่งหลันกินก่อน รอเรื่องราวของพวกเราจัดการเสร็จแล้ว ข้าค่อยไปดูว่าอาการของเขาว่าเป็นเช่นไร” มู่ชิงเกอกล่าวขึ้น
ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้า เอาขวดยาเก็บติดตัวเอาไว้อย่างดี
“ตอนนี้สถานการณ์ในแคว้นลี่เป็นอย่างไรบ้าง” มู่ชิงเกอถามขึ้นเสียงเบา
ฟ่งอวี๋เฟยเล่าสถานการณ์ในแคว้นลี่ออกมาอย่างละเอียด “…ข้าสัมผัสได้ว่า เสด็จพ่อในใจอยากให้ข้าเป็นรัชทายาท แล้วก็ยังสัมผัสได้ว่าเขาไม่ค่อยพอใจในตัวฟ่งอวี๋กุย แต่ว่าเพราะฐานอำนาจของฟ่งอวี๋กุยนั้นไม่น้อย อีกทั้งข้ายังจากวังหลวงไปหลายปี เขาจะต้องมีเหตุที่ดีเพียงพอเหตุผลหนึ่ง หรือกล่าวได้ว่าตัวข้าต้องมี ความพร้อมที่มากกว่านี้ ให้พวกขุนนางของแคว้นลี่ไม่มีอะไรมากล่าวโต้แย้งได้”
“ดังนั้น ฟ่งหลันก็เลยจัดงานเลี้ยงห้าแคว้นครั้งนี้ขึ้น?” มู่ชิงเกอแววตาไหววูบ
ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้า “เสด็จพ่ออาจอยากจะดูว่าในงานเลี้ยงห้าแคว้น เวลาเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่มาจากด้านนอก คนในแคว้นมีมากน้อยเพียงไรที่จะสนับสนุนฟ่งอวี๋กุย ข้าเข้าใจเสด็จพ่อของข้าดี หากจะตั้งรัชทายาท ก็จะต้องช่วยรัชทายาททำลายอุปสรรคต่างๆ ให้หมดไป ไม่ว่าการลงมือจะโหดเหี้ยมและต้อง แบกรับเสียงด่าว่ามากเพียงไรก็ตาม”
“ได้ ข้ารู้แล้ว” มู่ชิงเกอค่อยๆ กล่าวขึ้น
“ท่านวางแผนจะจัดการเช่นไร?” ฟ่งอวี๋เฟยกล่าวถามขึ้น
มู่ชิงเกอกลับไม่คิดจะตอบคำถาม “เรื่องเรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจ ทำเรื่องที่เจ้าควรทำต่อไปก็พอแล้ว แต่ว่า…” หัวข้อของเขาอยู่ๆ ก็พลิกเปลี่ยนไป เอ่ยว่า “เรื่องของมู่ยี่กลับทำให้ข้าเกิดความสนใจขึ้นอีกหลายส่วน”
“คุณชายคิดอะไรออกรึ?” ฟ่งอวี๋เฟยกล่าวขึ้นอย่างรีบร้อน
มู่ชิงเกอหรี่นัยน์ตาทั้งสองข้างลง ก่อนจะค่อยๆ กล่าวขึ้น “เจ้าบอกว่า คนผู้นั้นแต่เดิมอยากจะสังหารเสด็จพ่อของเจ้า ทั้งยังคิดจะฆ่าล้างเมือง แต่อยู่ๆ ก็เปลี่ยน ความคิดเปลี่ยนเป็นจากไป หากจะว่าไปแล้ว เวลาที่เรื่องนี้เกิดขึ้น หากลองคำนวณให้ละเอียด พอเทียบกับตอนที่มู่ยี่หายตัวไปก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก?”
ฟ่งอวี๋เฟยพยักหน้า ในใจของนางเกิดเต้นระรัวขึ้น มีความรู้สึกสายหนึ่งบอกว่ามู่ชิงเกอได้พบเจอเบาะแสอะไรบางอย่างแล้ว
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าก็สามารถคาดเดาได้ว่า สิ่งที่ทำให้คนผู้นั้นเปลี่ยนความคิดก็จะต้องเกี่ยวกับตัวมู่ยี่เอง บางทีระหว่างพวกเขาอาจจะมีการเชื่อมโยงบางอย่าง ให้พวกเขาสามารถรู้สึกถึงฝ่ายตรงข้ามได้ ดังนั้นมู่ยี่ที่ มาหลินชวนก็เลยถูกคนผู้นั้นตามมาเจอ อีกทั้งหลังจากเขาสัมผัสได้ว่ามู่ยี่จากไปแล้วก็เลยเร่งตามติดไป เพียง แต่ ยังมีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ…” มู่ชิงเกอส่ายหัวไปมาเบาๆ ขมวดคิ้วกล่าวขึ้น
“เรื่องอะไรรึ?” ฟ่งอวี๋เฟยกล่าวขึ้นเสียงร้อนใจ
นิ้วมือของมู่ชิงเกอลูบไล้ใปที่คางเบาๆ “จริงๆ แล้วเขากับตระกูลมู่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่ ถึงทำให้เขาทนรอไม่ไหวแม้แต่เค่อ (หน่วยเวลาจีนเท่ากับ15นาที) เดียวถึงขนาดกับต้องเปลี่ยนการตัดสินใจที่ตัวเองคิดเอาไว้”
ฟ่งอวี๋เฟยเงียบขรึมลง กลิ่นไอบนร่างถูกความเศร้าโศก เข้ารุมเร้า
พอสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอบนตัวนาง มู่ชิงเกอก็แววตาไหววูบ แย้มยิ้มพลางกล่าวขึ้น “คำตอบนี้ เกรงว่าคงมีเพียง มู่ยี่เท่านั้นถึงจะรู้”
ฟ่งอวี๋เฟยฝืนยิ้มขึ้นมา “ใช่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าปีไหนเดือนไหนถึงจะได้พบเขา”
“เจ้าก็รอมาสิบปีแล้ว ยังมีอะไรที่รอต่อไปไม่ได้อีก?” มู่ชิงเกอแย้มยิ้มพลางกล่าว
ฟ่งอวี๋เฟยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าแรงๆ ก่อนจะกล่าวขึ้นแววตามุ่งมั่น “ไม่ผิด ข้าก็รอมาสิบปีแล้ว ให้รอไปอีกสิบปีก็ไม่เป็นอันใด?”
จัดการกับอารมณ์ในใจจนคงที่แล้ว ฟ่งอวี๋เฟยก็กลับไปมีท่าทางสูงศักดิ์ขององค์ใหญ่ใหญ่แคว้นลี่ตามเดิม
นางหันไปกล่าวกับมู่ชิงเกอ “วันนี้กับพรุ่งนี้สองวัน รอจนคณะทูตแต่ละแคว้นมาถึงแล้ว คืนพรุ่งนี้เสด็จพ่อก็จะจัดงานเลี้ยงยามคํ่าในวังหลวง เป็นการให้เกียรติคณะทูตแต่ละแคว้น ถ้าหากไม่เปลี่ยนแปลงจากที่ข้าคาดการณ์ เสด็จพ่อก็อาจจะพูดถึงเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท”
“อืม จัดการให้เสร็จแต่เนิ่นๆ ก็ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้า พลางกล่าวขึ้น นางถึงแม้จะดูว่างๆ แต่เวลานั้นก็มีไม่มาก หลังจากเอาคืนฟ่งอวี๋กุยแล้ว นางก็ต้องรีบกลับไปที่แคว้นฉิน หลังจากนั้นก็จะเป็นวันที่จะต้องไปรวมตัวกับคนจากโรงโอสถที่เมืองมู่
“วันที่เจ้าได้นั่งบนตำแหน่งรัชทายาท ข้าต้องการชีวิตของฟ่งอวี๋กุย” มู่ชิงเกออยู่ๆ ก็กล่าวขึ้น
ฟ่งอวี๋เฟยแย้มยิ้มพลางกล่าว “เรื่องนี้พวกเราก็พูดตกลงกันดีแล้ว ชีวิตของเขาเป็นของท่าน ส่วนชีวิตมารดาเขาเป็นของข้า”
มู่ชิงเกอเงยหน้ามองไปที่นาง ดวงตาทั้งสองคู่ของทั้งสองคนสบตากัน ทั้งหมดเสร็จสิ้นลงโดยปราศจากวาจาคำพูด