ตอนที่ 155-4
สงครามอันโหดร้ายที่แม่นํ้าไร้พรมแดน
และความโกรธของซือมั่ว!
มู่ชิงเกอสายตาเย็นชา แสงสีเงินเปล่งประกายบนมือขวา กลายเป็นทวนหลิงหลงบนมือของนาง “จะรบก็รบ!”
“ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ!”
“ในมือของเขาเป็นยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ!
ผู้อาวุโสท่านอื่นของหอหลอมศาสตราต่างพากันจ้องทวนหลิงหลง ในตาเปล่งประกายความละโมบอย่างไร้ที่เปรียบ
“ฆ่าเขาซะ!”
แย่งสมบัติลํ้าค่าไปสองชิ้นก็ถือเป็นโทษหนักแล้ว ทั้งยังทำร้ายนายน้อยสำนักหมื่นอสูร สังหารศิษย์รักของผู้อาวุโสจินแห่งหอหลอมศาสตรา ก็มีโทษอีก ตอนนี้ยังมีอสูรวิญญาณและยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะปรากฏขึ้นอีก ราวกับว่าเป็นเหตุผลที่ต้องสังหารมู่ชิงเกอเพิ่มขึ้น!
การปรากฏตัวของทวนหลิงหลงทำให้บรรดาศิษย์หอหลอมศาสตราตกอยู่ในอาการบ้าคลั่ง
ส่วนการแปลงกายของราชาจิ้งจอกหิมะกลับทำให้ดวงตาของคนสำนักหมื่นอสูรร้อนรุ่ม
แม้ไม่มีคำสั่งจากเฮยมู่ พวกเขาก็ร่วมล้อมโจมตีด้วยความบ้าคลั่ง
ร่างกายมหึมาดุจขุนเขาของหยินเฉินปราดเปรียวไร้ที่เปรียบ หางจิ้งจอกทั้งเก้าไม่หยุดสะบัดพัดพาเอาศิษย์สำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราไปอยู่ด้านหนึ่ง แบ่งเบาความกดดันของมู่ชิงเกอ
“อสูรเทวะจำแลง!” เมื่อกลิ่นอายที่แท้จริงของหยินเฉินเผยออกมา เฮยมู่ก็ตื่นเต้นจนคุมไว้ไม่อยู่ ร่วมวงเข้าต่อสู้ด้วย
มู่ชิงเกอกระชับทวนหลิงหลงในมือ รับมืออยู่กับจินกุ้ย และเฝิงคุนไห่
ด้วยพลังของนางในตอนนี้รับมือกับการโจมตีของสองคนไม่ใช่เรืองยากอะไร
แต่ว่าพอมีเฮยมู่เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งคนก็พลันทำให้ความกดดันของนางเพิ่มขึ้นทวีคูณ
“หยินเฉิน!” มู่ชิงเกอตะโกนร้องเรียก
นางต้องการให้หยินเฉินมาช่วยแบ่งภาระของนางให้ นางจะได้จัดการไปทีละคน
แต่ว่าเฮยมู่กลับเพิ่มความกลิ้งกลอกปล่อยอสูรวิญญาณชั้นสูงของตนเองออกมาหลายตัวรั้งหยินเฉินเอาไว้ ทำให้มันไม่สามารถแยกร่างมาช่วยได้
หยินเฉินส่งเสียงร้องด้วยความร้อนใจ อยากที่จะพุ่งมาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอแต่ก็ถูกอสูรวิญญาณของเฮยมู่รั้งไว้
มีการชักนำของเฮยมู่ ศิษย์สำนักหมื่นอสูรคนอื่นๆ ก็ทยอยปล่อยอสูรวิญญาณของตนเองออกมา ให้พวกมันทำหน้าที่รั้งหยินเฉินเอาไว้ ส่วนพวกเขาก็รวมตัวอยู่กับ ศิษย์หอหลอมศาสตรา ก่อกวนมู่ชิงเกอเป็นระยะๆ การสู้รบดำเนินไปด้วยความดุเดือด
ลำแสงที่เป็นตัวแทนพลังสายต่างๆ เป็นประกายระยิบระยับอยู่บนแม่นํ้าไร้พรมแดน ส่องให้แม่นํ้าไร้พรมแดนที่มืดมิดสว่างไสว
“พลังขั้นสีม่วง! เขาอยู่ระดับขั้นสีม่วง!”
เมื่อมู่ชิงเกอปล่องพลังเวทของตนเองออกมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตกตะลึง
ระดับพลังสีม่วงที่อายุน้อยเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ทั้งระดับพลังสีม่วง มีอสูรวิญญาณในครอบครอง ยังมียุทธภัณฑ์ชั้นเทวะ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นไปในทางเดียวว่า เบื้องหลังเขามีตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ยากจะคาดเดา
มีเพียงสมมติฐานนี้เท่านั้นที่สามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมด สร้างสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นเบื้องหน้านี้ได้ นัยน์ตาของเฝิงคุนไห่เคร่งขรึมลง เอ่ยกับเฮยมู่ด้วยเสียงทุ้มตํ่าว่า “ต้องสังหารเขาทิ้งเสีย! หากเขาหนีรอดไปได้ ความหายนะมาเยือนเราสองสำนักไม่มีที่สิ้นสุดแน่!” หากไม่ได้ประมือกันก่อนหน้านี้แล้วรู้เบื้องหลังของมู่ชิงเกอ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะรักษาเหตุผล ไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเลวร้าย
แต่ว่าตอนนี้ในเมื่อลงมือไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถประสานกันได้แล้ว เช่นนั้นก็จำเป็นต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
ไม่เช่นนั้นหากหนีรอดไปได้ สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้า เกรงว่าจะเป็นความโกรธเกรี้ยวของตระกูลอันน่าสะพรึง!
มู่ชิงเกอไม่รู้ว่าในระหว่างนี้ เฮยมู่กับเฝิงคุนไห่คิดมากมายขนาดนี้ นางถูกศิษย์ของสำนักหมื่นอสูรและหอหลอมศาสตราก่อกวนยุ่งมากจนปลีกตัวไม่ได้
สะบัดมือคราหนึ่งปืนพกก็ปรากฏอยู่บนมือนาง
มือหนึ่งนางถือทวนหลิงหลงมือหนึ่งถือปืนพก ทวนหลิงหลงส่องไปที่ผู้อาวุโสที่ล้อมโจมตี ส่วนปืนพกก็ยิงไปทางบรรดาลูกศิษย์อย่างไม่ระบุเป้าหมาย ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง !
“โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย !”
“นี่มันอาวุธอะไรกัน?!”
“ช่วยด้วย !”
“ทรมานยิ่งนัก!” การกราดยิงของมู่ชิงเกอก็มีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิตหรือถูกยิงจนได้รับบาดเจ็บ
ปืนพกในมือของนางใช้แก่นอสูรของอสูรวิญญาณระดับสูงแปลงมาเป็นพลัง สำหรับจัดการลูกศิษย์ระดับพลังสีเขียว สีคราม มีบ้างที่เป็นสีเหลืองย่อมมากเกินพอ
“นี่คืออะไร?”
“ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน!”
ผู้อาวุโสสองคนของหอหลอมศาสตราหลบพ้นวิถีการยิงของปืนพก รวมตัวกันเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
ในจังหวะนี้มู่ชิงเกอก็เล็งไปตำแหน่งหัวใจของพวกเขา ยิงออกไปสองนัด ความเร็วระดับนั้นยิงผ่านเกราะพลังของพวกเขา เหลือไว้เพียงรอยเลือดบนหัวใจสองรูเท่านั้น ผู้อาวุโสหอหลอมศาสตราสองท่านนั้นยังไม่ทันได้ร้องออกมาด้วยความตกใจ ก็ร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศไร้สุ่มเสียง ถูกแม่นํ้าไร้พรมแดนกลืนกินหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหตุการณ์นี้ทำให้คนตกตะลึงไม่น้อย
คนที่เหลือมองปืนพกในมือของมู่ชิงเกอด้วยความหวาดกลัว
มู่ชิงเกอมือหนึ่งถือทวนหลิงหลงมือหนึ่งถือปืนพก ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือฝูงชน ชุดสีแดงราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามหมายเอาชีวิตศัตรู
ริมฝีปากแดงระเรื่อของนางยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มท้าทาย
เฮยมู่ทำเสียงแข็งในลำคอ ร่างกายเป็นสีม่วงเข้มข้นพุ่ง โจมตีใส่มู่ชิงเกอ
‘ระดับสีม่วงขั้นสูงสุด!’ ดวงตาสองข้างของมู่ชิงเกอเกร็งตัว
ระดับพลังของเฮยมู่สูงกว่าระดับพลังของนางถึงสองขั้น!
รวมกับอสูรวิญญาณสี่เท้าขั้นสูงหมาป่าทมิฬที่อยู่ข้างกายเขา พลังการต่อสู้เรียกได้ว่าน่าสะพรึงมาก ถึงขั้นที่ว่าหากตระกูลเล่อจากโลกยุคกลางสามคนนั้นต่อกรกับ เฮยมู่ก็คงไม่อาจรับมือได้
ความเร็วของเฮยมู่ว่องไวมาก พริบตาเดียวก็เข้าสู่ระยะต่อสู้ แล้วต่อสู่กับมู่ชิงเกอ
จินกุ้ยแห่งหอหลอมศาสตราก็ไม่ยอมด้อยกว่า หรือเป็นเพราะว่าความแค้นที่สุมไว้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะทะลวงผ่านด่านจนพลังตนเองไปถึงระดับขั้นม่วง ล้อมโจมตีมู่ชิงเกอต่อไป
แม้เฝิงคุนไห่จะเป็นเพียงระดับสีนํ้าเงินขั้นสูง แต่ก็ไม่ได้ถอนตัวแต่รอเวลาที่เหมาะสมยิงธนูเยือกแข็งใส่มู่ชิงเกอเป็นระยะๆ
ผู้มากฝีมือทั้งสามจากหอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูรร่วมมือกันล้อมโจมตีมู่ชิงเกอ ทั้งสี่คนต่อสู้กันจนมองเห็นได้ไม่ชัด
หยินเฉินเองก็ถูกอสูรวิญญาณล้อมโจมตีอยู่ไม่สามารถปลีกตัวไปช่วยมู่ชิงเกอได้ ลำพังแค่อสูรวิญญาณสี่เท้า เทียบเท่าระดับพลังสีม่วงขั้นสูงของเฮยมู่ก็ยากที่หยิน เฉินจะสลัดทิ้งได้แล้ว
แม้ว่ามันจะเป็นสายเลือดขั้นสูง แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ได้เป็นอสูรเทวะเต็มตัว อำนาจของมันใช้ได้กับอสูรวิญญาณทั่วไป แต่ว่าใช้ไม่ได้กับอสูรวิญญาณระดับสีม่วงขั้นสูง!
ปัง!
ทันใดนั้นพลังอันดุดัน ก็หล่นลงมาจากฟ้า ระเบิดลงใส่เรือลำน้อยของหอหลอมศาสตรากับจุดที่ศิษย์สำนักหมื่นอสูรยืนอยู่
พริบตาเดียวคนสิบกว่าคนก็กระเด็นลงแม่นํ้า ถูกกลืนกินเรียบไม่มีเหลือ
เหล่าศิษย์ที่เหลืออยู่ก็ถูกคลื่นลมกระแทกทะยานขึ้นกลางอากาศ ส่งเสียงร้องน่าเวทนาก่อนจะตกลงที่จุดเดิม พริบตาเดียวก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้สี่คนที่ต่อสู้กันอยู่ด้านบนแยกไม่ออกผละจากกันชั่วครู่
เฮยมู่และจินกุ้ยมองมู่ชิงเกอด้วยสายตาขึงขัง
สีหน้าของมู่ชิงเกอซีดขาวอยู่บ้าง ในมือถือกระจกทองแดง บนกระจกทองแดงนั้นยังหลงเหลือควันสีดำอยู่เล็กน้อย
เมื่อครู่เฮยมู่กับจินกุ้ยโจมตีนางเข้ามาพร้อมกัน นางรีบร้อนคว้ากระจกทองแดงขึ้นมาต้านไว้ จนการโจมตีถูกสะท้อนกลับไปตกอยู่ที่ศิษย์ของหอหลอมศาสตราและสำนักหมื่นอสูร
สิ่งใดเรียกว่าการกำจัดหมู่ในกระบวนท่าเดียว มู่ชิงเกอถือว่าได้ตระหนักรู้แล้ว!
นางเม้มริมฝีปากแน่น หว่างคิ้วมีร่อยรอยความเคร่งขรึม
นางสัมผัสได้ว่ากระจกทองแดงในมือกำลังมีความร้อนแผ่ออกมา คล้ายกับว่าในระยะเวลาอันสั้นนี้ไม่สามารถรับการโจมตีขนาดนี้ได้อีก
สามคนที่ล้อมโจมตีนาง ถ้าหากเป็นหนึ่งต่อหนึ่งนางไม่เกรงกลัวใครทั้งนั้น แต่ว่าหากล้อมโจมตีเช่นนี้ต่อไปผู้ที่จะเพลี่ยงพลํ้าเป็นตนเองอย่างแน่นอน
‘ทำอย่างไรดี?’ มู่ชิงเกอครุ่นคิดในหัวด้วยความรวดเร็ว
“อ๊าก! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
จู่ๆ จินกุ้ยก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าอนาถ
ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว คล้ายกับลูกโป่งที่พองตัวขึ้น
“ไม่ดีแล้ว เขากำลังจะระเบิดตัวเอง รีบถอยเร็ว!” นัยน์ตาสองข้างของเฮยมู่หดเล็กอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ถอยไปข้างหลัง
เฝิงคุนไห่ก็สูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง ทะยานออกไปไกลๆ อย่างไม่รอช้า
ผู้แข็งแกร่ง ‘ระดับพลังสีม่วง’ ระเบิดตัวเองก็นับว่ามีความรุนแรงเท่าใดกัน?
อีกไม่นานพวกเขาจะได้สัมผัสถึง
จินกุ้ยพุ่งเข้ามาอย่างบ้าระหํ่า อากาศที่หมุนเวียนอยู่รอบๆ ดุเดือดเหลือกำลัง พลังเวทก็ถูกปลุกปั่นราวกับระเบิดรุนแรงนับสิบตัน!
ตาทั้งสองข้างของมู่ชิงเกอเบิกกว้าง นัยน์ตากระจ่างใส สะท้อนภาพจินกุ้ยผู้คลุ้มคลั่ง
บางทีนางไม่มีโอกาสได้สัมผัสถึงความเศร้าเสียใจราวหัวใจสลายยามที่จินทุ้ยได้ข่าวการตายของติงเหม่า แก้แค้นให้ติงเหม่ากลายเป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของจินกุ้ย
หลังจากเห็นว่ายากที่จะสังหารมู่ชิงเกอลงได้ มีเพียงใช้กระบวนท่าระเบิดตัวเองร่วมตายไปพร้อมกับมู่ชิงเกอเท่านั้น
ตูม!
เสียงระเบิดดังกึกก้อง สะเทือนจนแม่นํ้าไร้พรมแดนไหวกระเพื่อม ท้องฟ้าราวกับว่าถูกแรงระเบิดนี้ฉีกขาด เกิดเป็นรอยแยก พลังเช่นนี้ดั่งระลอกคลื่นกระจายไปทั่วแม่นํ้าไร้พรมแดนอย่างรวดเร็ว
เฮยมู่และเฝิงคุนไห่แม้ว่าจะมีการเตรียมพร้อมล่วงหน้า แต่ก็ยังถูกพลังอานุภาพนี้กระแทกจนกระอักเลือด อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ
ณ เมืองๆ หนึ่งที่อยู่กลางอากาศห่างไกลจากแม่นํ้าไร้พรมแดนเป็นหมื่นลี้ จู่ๆ ซือมั่วก็ลืมตาขึ้น ดวงตาสุกใสราวกระจกนั้นลึกลับซับซ้อนดุจน้ำวน แผ่กระจายไอ ความเย็นออกมา
ทันใดนั้นเงาร่างของเขาก็หายไปจากตำหนักเทพอันแสนสูงส่งเหนือใดเปรียบ
“แค่ก แค่ก” เฮยมู่กระอักเลือดเสียออกมาก มองไปยังจุดที่เกิดการต่อสู้รุนแรงเมื่อครู่
ไม่มีอะไรสักอย่าง อสูรวิญญาณ คน…
ราวกับว่าทั้งหมดกลายเป็นความว่างเปล่า เหลือเพียงเขากับเฝิงคุนไห่ที่มีลมหายใจเฮือกสุดท้าย
เฝิงคุนไห่พยุงตัวเองมาอยู่ข้างๆ เฮยมู่ เอ่ยถามขึ้นว่า “คนผู้นั้นตายหรือไม่”
เฮยมู่ตอบว่า “ไม่มีผู้ใดรอดพ้นจากการที่ผู้แข็งแกร่งระดับพลังสีม่วงระเบิดตนเองหรอก” แต่จู่ๆ ก็เหมือนจะลังเลขึ้นมา “แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ธรรมดา ฝีมือก็ ประหลาด…”
“เช่นนั้นพวกเราจะทำเช่นไรดี?” เฝิงคุนไห่สีหน้าซีดขาวไร้ที่เปรียบ
ภารกิจครั้งนี้ย่อยยับทั้งกองทัพ เหลือเพียงเขาผู้เดียว ยังไม่รู้ว่าจะกลับไปรายงานอย่างไรเลยจริงๆ
เฮยมู่นิ่งไปชั่วครู่เอ่ยกับเขาว่า “ออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยว่ากัน”
พูดจบ เขาทั้งสองคนก็ช่วยกันพยุงเดินออกไปจากแม่นํ้าไร้พรมแดน
หลังจากที่พวกเขาจากไปได้ไม่นาน เงาร่างสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ดุจหิมะของซือมั่วก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางแม่นํ้าไร้พรมแดน ราวกับเทพเซียนจุติลงมากลางแม่นํ้าไร้พรมแดน นัยน์ตาเย็นชาของเขาเพ่งมองไปยังแม่นํ้าไร้พรมแดนที่อยู่เบื้องล่าง สัมผัสถึงไอชีวิตที่จางหายไป
ขุมพลังมหาศาล พละกำลังเพียงพอที่จะทำให้ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือนแผ่ออกมาจากร่างของเขา
“เป็นผู้ใดที่ทำร้ายนาง?” นํ้าเลียงเย็นชาเข้ากระดูกราว กับเสียงอัสนีบาตฟาดลงมาบนโลกมนุษย์
เสียงนั้นลอยแว่วมาจากแม่นํ้าไร้พรมแดนสะท้อนก้องไปทั่วแคว้นหรง ทำเอาเฮยมู่และเฝิงคุนไห่ที่เพิ่งเดินออกไปจากแม่นํ้าไร้พรมแดนตัวแข็งทื่อ ความเย็นเข้ากระดูกแผ่ออกมามาจากกระดูกสันหลัง
เสียงนั้นไม่หยุดสะท้อน แต่กลับไม่มีผู้ใดตอบกลับ
พลังของซือมั่วทวีความเย็นขึ้น แม่นํ้าไร้พรมแดนที่อยู่เบื้องล่างเริ่มระอุปะทุขึ้นมา สารพิษลอยขึ้นท้องฟ้ารวมตัวกันเป็นเมฆสีดำปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าแคว้นหรง
จากนั้นฝนพิษก็ตกทั่วแคว้นหรง ผู้ที่โดนนํ้าฝนก็มีอาการผิวหนังผุพองเกิดเป็นตุ่มหนอง
ส่วนแม่นํ้าไร้พรมแดน ท่ามกลางความโกรธของซือมั่วก็กลายเป็นพื้นดินที่แห้งแล้งแตกระแหง ไม่มีแม่นํ้าไร้พรมแดนบนแผ่นดินนี้อีกต่อไป