ตอนที่ 159-3
ท่านแม่! ลูกพี่? ลูกพี่ท่านแม่!
รอจนกงเจี้ยงเสวี่ยออกไปแล้ว กงเสวี่ยหยาก็พลันกล่าวกับมู่ชิงเกอว่า “กฎเกณฑ์ของหุบเขาสงบใจ คิดว่าคุณชายมู่คงได้ยินมาบ้าง ข้าก็หวังว่าจะหาลูกเขยที่สามารถพึ่งพาได้ให้กับเจี้ยงเสวี่ยสักคนหนึ่ง และก็คาดหวังว่าคนผู้นี้จะสามารถทำลายคำสัตย์สาบานของหุบเขาสงบใจได้ แล้วสามารถดูแลเจี้ยงเสวี่ยไปชั่วชีวิต ข้าก็ไม่อยากให้นางต้องเดินตามเส้นทางเดิมของเหล่าบรรพชนและ ตัวข้าอีก คุณชายมู่ก็ถือเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ข้าเชื่อว่าท่านสามารถทำได้”
มู่ชิงเกอหลังจากฟังจนจบกลับส่ายหน้าขึ้น “ท่านเจ้าหุบเขา ที่ข้าต้องการพูดถึงก็ไม่ใช่เรื่องงานแต่งงานกับลูกสาวท่านแต่อย่างใด ลูกสาวของท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่ชอบ และผู้ชายที่ถูกชอบก็จะต้องสามารถร่วมชีวิตไปด้วยกันกับนางจนแก่เฒ่าได้ และข้าก็ไม่ได้เป็นคนที่นางเลือก สิ่งที่นางอยากได้ข้าก็ไม่อาจมอบให้นางได้”
“เพียงแค่เพราะว่าท่านมีภรรยาแล้วอย่างนั้นรึ?” กงเสวี่ยหยาเร่งถามขึ้น
“ไม่ใช่ แต่เป็นเหตุผลส่วนตัวของข้า” มู่ชิงเกอกล่าว
“เช่นนั้นท่านต้องการจะพูดอะไรกับข้า?” กงเสวี่ยหยาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่ค่อยพอใจ
มู่ชิงเกอก็ราวกับว่ามองไม่เห็นความไม่พอใจของนาง “ที่ข้าอยากจะกล่าวก็คือ ทำไมถึงมีเพียงสามีของเจ้าหุบเขาคนปัจจุบันเท่านั้นที่มีโอกาสหนึ่งครั้งในการสยบพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่?”
คำพูดของนางพอจบลง นัยน์ตาทั้งสองข้างของกงเสวี่ยหยาก็พลันหดเล็กลงไปรอบหนึ่ง หลังจากก็กล่าวด้วยรอยยิ้มขันว่า “ข้าก็รู้ว่าเด็กสาวนั้นจะต้องไปหาท่าน เอาเถอะในเมื่อพูดกันออกมาตรงๆ เช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่ขอปิดบังอันใดแล้ว”
พอกล่าวจบ นางก็พลันเคร่งขรึมลงไปครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังเรียบเรียงความคิดอันใดบางอย่าง
ผ่านไปอึดใจหนึ่ง นางก็ค่อยๆ เล่าถึงความลับของเกี่ยวกับตระกูลกงเมื่อหลายพันปีก่อน
“เมื่อนานมาแล้ว มีคุณหนูตระกูลกงผู้หนึ่งเพราะว่าถูกสามีปฏิเสธและทอดทิ้ง ได้เกิดคิดสั้นอยากฆ่าตัวตายบนหุบเขาหิมะแห่งนี้ แต่บังเอิญตอนนั้นนางไปพบกับผู้สูงส่งผู้หนึ่งเข้า และได้ใปช่วยเหลือผู้สูงส่งผู้นั้นในตอนที่เขาบาดเจ็บ หลังจากนั้น นางและผู้สูงส่งผู้นั้นก็ได้ใช้ชีวิตอยู่บนหุบเขาหิมะด้วยกันเกือบครึ่งเดือนกว่า ระหว่างนั้นนางก็เอาเรื่องที่ตนได้เผชิญเล่าให้เขาฟัง ทั้งยังกล่าวกับเขาอย่างคับข้องใจว่าบุรุษในใต้หล้าล้วนไม่อาจเชื่อถือได้บุรุษเห็นสตรีเป็นแค่เครื่องมือในการให้กำเนิด ถ้าหากมีวันหนึ่งนางสามารถผงาดขึ้นมาได้ แน่นอนว่าจะต้องเอาบุรุษมาเป็นเครื่องมือในการให้กำเนิดบ้าง…”
กงเสวี่ยหยายิ้มหยันขึ้นมาเสียงหนึ่ง ส่ายหัวยิ้มเยาะไปมา “คาดไม่ถึงว่า ความคาดหวังของนางจะกลายเป็นจริงได้ ผู้สูงส่งผู้นั้นทำความหวังของนางให้เป็นจริง ช่วยนางตั้งหุบเขาสงบใจขึ้น ให้นางกลายเป็นประมุขหญิงของที่นี่ อีกทั้งผู้สูงส่งผู้นั้นยังตั้งอาคมเอาไว้ว่าสามีของเจ้าหุบเขาหลังจากเสร็จสิ้นการให้กำเนิดทายาทสืบทอดตระกูลแล้ว ก็จำเป็นจะต้องจากไป และหากให้กำเนิดทารกชายก็จะต้องพาตัวจากไปด้วย กฎเกณฑ์เช่นนี้อาจจะดูโหดร้ายเกินไป ผู้สูงส่งผู้นั้นเกรงว่าพวกบุรุษจะไม่ยินยอมมาที่หุบเขา ดังนั้นก็เลยวางอาคมเอาไว้ชนิดหนึ่ง ขอเพียง กลายเป็นสามีของเจ้าหุบเขาคนปัจจุบันของหุบเขาสงบใจ คนผู้นั้นก็จะมีสิทธิ์ในการสยบพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ได้หนึ่งครั้ง ความโลภก็เป็นสัจธรรมของโลก ผู้สูงส่งผู้นั้น เชื่อว่าหากมีผลประโยชน์เป็นตัวล่อ หุบเขาสงบใจก็จะไม่มีทางไร้ซึ่งผู้สืบทอด เหมือนกับว่าเขาจะมั่นใจมากว่าจะไม่มีใครสามารถสยบพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ได้”
มู่ชิงเกอฟังจนขมวดคิ้วเข้าหากัน นางพลันรู้สึกว่านี่มันก็เป็นกฎเกณฑ์ที่คนจิตใจไม่ปกติสองคนตั้งขึ้นมาชัดๆ!
อาคมต้องห้ามพวกนี้ที่ทดสอบก็คือจิตใจคน และจิตใจคนก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรได้รับการทดสอบมากที่สุด
“หากไม่ใช่สามีภรรยา ก็จะไม่สามารถแตะต้องพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ได้รึ?” มู่ชิงเกอถาม
นี่ก็ถึงจะถือเป็นจุดสำคัญของปัญหาทั้งหมด
กงเสวี่ยหยามองไปทางมู่ชิงเกอ สีหน้าค่อนข้างสลับซับซ้อน ชายหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ได้ปิดบังความสนใจต่อพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่แม้แต่น้อย แต่กลับปฏิเสธการรับลูกสาวของนางเอาไว้ “เพราะว่าปากทางเข้าของสถานที่ที่กักเก็บพญาเพลิง จำเป็นจะต้องใช้สามีภรรยาทั้งสองคนถึงจะสามารถเปิดออกได้”
“หมายความว่ายังไง?” มู่ชิงเกอฟังจนขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
หรือว่าบนแผ่นดินนี้ยังมีของวิเศษอะไรที่สามารถแยกแยะความเป็นสามีภรรยาได้กัน?
คำถามของมู่ชิงเกอทำเอากงเสวี่ยหยาสีหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย ราวกับไม่สะดวกที่จะกล่าว นางลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าวไปทางมู่ชิงเกอ “ท่านตามข้ามาก็จะรู้เอง”
พอกล่าวจบนางก็กดมือลงไปบนปุ่มกลไกที่อยู่บนพนักเก้าอี้ของตน
ผนังหินด้านหลังของนางค่อยๆ เลื่อนออก เผยให้เห็นทางเดินสายหนึ่ง
มู่ชิงเกอก็ชันกายลุกขึ้น เดินตามกงเสวี่ยหยาเข้าไปในทางเดิน
ทางเดินนั้นแคบและก็ยาวมาก ยิ่งเดินลงไปก็ยิ่งหนาว โดยเฉพาะมู่ชิงเกอที่ไม่มีพลังคอยคุ้มกายก็ยิ่งรู้สึกหนาวสะท้านเข้ากระดูก
เดินไปจนถึงด้านหน้าประตูหินบานหนึ่ง กงเสวี่ยหยาก็พลันเจาะเลือดที่นิ้วของตัวเอง ก่อนจะหยดเลือดลงไปบนรอยเว้าบนประตูหิน
รอจนสายเลือดได้รับการยืนยันแล้ว ประตูหินที่ปิดสนิทก็พลันค่อยๆ เปิดออก ตรงช่องว่างของประตูที่แง้มออกพลันปรากฏไอหมอกสีขาวพุ่งโชยออกมาจำนวนมาก พร้อมกับไอเย็นเสียดกระดูกที่แฝงอยู่ด้านใน
มู่ชิงเกอมองไปทางมือคู่นั้นของตัวเอง ด้านบนก็ปกคลุมด้วยไอหมอก ก่อนจะเกิดเป็นเกล็ดนํ้าแข็งเป็นชั้นๆ ขึ้นมา
สะบัดมือไปหนหนึ่งเกล็ดนํ้าแข็งก็พลันแตกกระจาย จากนั้นนางก็ตามกงเสวี่ยหยาเข้าไปต้านหลังของประตู
‘จะหนาวเกินไปแล้ว!’ ด้วยสภาพร่างกายที่พิเศษของมู่ชิงเกอในตอนนี้ก็ยังรู้สึกหนาวได้ เพราะเหตุนี้ก็สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าด้านหลังประตูหินบานนี้จะเป็นเขตแดนที่มีสภาพเป็นเช่นไร!
ด้านหลังประตูหิน ไอหมอกสีขาวค่อยๆ กระจายตัวกันออกไป การมองเห็นของมู่ชิงเกอก็ค่อยๆกลายเป็นชัดเจนขึ้น
เพียงแต่ ตอนที่นางได้เห็นฉากภาพตรงหน้าอย่างชัดเจนแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างนั้นก็พลันเบิกกว้างขึ้น ปากก็ยิ่งยื่นยาวออกไป
ในห้องศิลาด้านหลังประตูหินกลับมีเตียงหินตั้งอยู่หลังหนึ่ง!
มู่ชิงเกอจ้องมองไปทางกงเสวี่ยหยาอย่างตกตะลึง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าฉากภาพตรงหน้าจะไม่ใช่สิ่งที่นางคิดเอาไว้
แต่ว่ากงเสวี่ยวหยากลับพยักหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “ก็เป็นอย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ เพื่อที่จะยืนยันว่าเป็นสามีภรรยากันจริงๆ หรือไม่ การจะเปิดประตูหินได้ก็จำเป็นต้องใช้เลือดของหญิงสาวตระกูลกง และเตียงหลังนี้ก็เป็นที่ทำกิจของสามีภรรยา มีเพียงเลือดของเจ้าหุบเขาคนปัจจุบันเท่านั้นถึงจะสามารถทำให้อาคมเปิดออกแล้วสามารถเข้าไปยังสถานที่กักเก็บพญาเพลิงได้”
‘จะบ้าเกินไปแล้ว! คนจิตไม่ปกติที่ไหนคิดขึ้นมากัน? ถ้าชอบดูหนังสดขนาดนั้นทำไมไม่ออกไปแสดงเอง!’ มู่ชิงเกอด่าขึ้นในใจ
นางพลันรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกอาคมอันพิสดารบทนี้ทำให้รู้สึกพ่ายแพ้!
ถึงว่าทำไมกงเจี้ยงเสวี่ยถึงได้บอกว่ากฎข้อนี้ไม่อาจฝืนได้
พอมองสีหน้าบิดเบี้ยวของมู่ชิงเกอ กงเสวี่ยหยาก็พลันกล่าวว่า “คุณชายมู่ ท่านตอนนี้ก็คงเห็นแล้วว่าไม่ใช่ข้าที่อยากจะทำให้ท่านลำบากใจ แต่เป็นอาคมวิปริตบทนี้ที่ทำให้ตระกูลกงของข้าต้องทนทุกข์ทรมานมานานหลายพันปี”
มู่ชิงเกอเงยดวงตาทั้งสองข้างขึ้น มองไปทางนางอย่างเห็นใจ
ชั่วขณะนั้นเอง นางก็เข้าใจได้ถึงความทุกข์ในใจของหญิงสาวตระกูลกงได้อย่างแท้จริง
“ถ้าหากท่านไม่ยินยอมแต่งกับเจี้ยงเสวี่ย ต่อให้เป็นข้าก็ไม่มีปัญญาทำให้ท่านได้พบกับพญาเพลิงปีศาจไป๋กู่ได้” กงเสวี่ยหยาเอ่ยขึ้น
“…’’ มู่ชิงเกอนิ่งขรึมไป นี่ก็ถือเป็นปัญหาข้อหนึ่ง
ต่อให้นางยินยอมที่จะแต่งกับกงเจี้ยงเสวี่ยก็ยังไม่มีทางทำ ‘พิธีกรรม’ ที่โรคจิตเช่นนั้นได้
แต่ว่าพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนก็จำเป็นต้องใช้วิธีการในการกลืนกินพญาเพลิงชนิดอื่นถึงจะเติบโตได้ นางไม่สามารถปล่อยให้พญาเพลิงปีศาจไป๋กู่หลุดมือไปได้ ไม่เช่นนั้นโอกาสในการเติบโตของพญาเพลิงระดับเทพฮุ้นหยวนครั้งถัดไปก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเวลาใด
“คุณชายมู่ พวกเรากลับไปก่อนเถิด” กงเสวี่ยหยากล่าวขึ้น
นางก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามู่ชิงเกอจะสามารถคิดจนตกผลึกได้ แล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนความคิดของตนเอง นี่ก็ถือเป็นสาเหตุหลักที่นางเต็มใจพาเขามาที่นี่