ตอนที่ 185-4
นี่ถึงเรียกว่าเล่นแส้!
“มีอะไรหรือ?” เมื่อมองเห็นคนทั้งสองนั่งลงซ้ายขวาของตนเองแล้ว มู่ชิงเกอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วถามออกไป
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยสบสายตากัน สุดท้ายก็ยังคงเป็นจ้าวหนานซิงที่เปิดปาก “ตามสถานการณ์ที่ดำเนินไปเช่นนี้ หลังจากสรุปการแข่งขัน ถึงแม้ว่าพวกเราสองแคว้นคะแนนจะยังคงต่ำอยู่ แต่ก็จะไม่ถูกทิ้งไปไกล เช่นนั้นการแข่งขันรอบสุดท้ายจึงสำคัญที่สุด”
มู่ชิงเกอฟังคำพูดของพวกเขาอย่างสงบ พยักหน้า
ฟ่งอวี๋เฟยเอ่ยต่อว่า “การแข่งขันรอบที่สามคือการเข้าสู่ช่องว่างแห่งการทดสอบเพื่อดำเนินการทดสอบ กำลังคนของแคว้นต่างๆ ที่จะเข้าไปนั้นไม่จำกัด แต่ก่อนข้าได้ ยินมาว่าช่องว่างแห่งการทดสอบนี้ถูกนำมาใช้โดยมหาปราชญ์ ข้างในเป็นมิติอีกมิติที่กว้างมาก ตามกฎนั้น ภารกิจของพวกเราก็คือต้องหาแผ่นป้ายที่ถูกซ่อนเอาไว้ ระหว่างกลุ่มสามารถแย่งชิงกันได้ทั้งยังต้องคอยป้องกันการโจมตีจากสัตว์อสูรวิญญาณ สุดท้ายแล้วหากใครมีแผ่นป้ายมากกว่า ก็จะถูกเรียงตามลำดับ เช่นเดียวกัน ลำดับต่างกัน คะแนนก็ต่างกัน”
‘ช่องว่างที่ถูกเอามาใช้โดยซือมั่ว?’ ในใจของมู่ชิงเกอรู้สึกตกตะลึง
จากนั้น นางก็รู้สึกเสียดายเอ่ยในใจว่า ‘เสียดายที่ซือมั่วไม่อยู่ หากว่าอยู่ นางก็ยังจะสามารถถามเขาถึงสภาพด้านในของช่องว่างแห่งการทดสอบ’ ก่อนที่แคว้นต่างๆ จะเข้าไปในช่องว่างแห่งการทดสอบก็ต้องใช้ทุกวิถีทางศึกษาสภาพภายใน หากว่านางทำเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่ถือว่าโกง
“ที่พวกเราอยากจะถามก็คือ การแข่งขันในรอบที่สาม ต้องพาคนทั้งหมดเข้าไปด้วยไหม? เพื่อกุมโอกาสในการเอาชนะให้ได้มากที่สุด!” จ้าวหนานซิงพูดจบ ก่อนจะมองดวงตาคู่นั้นของมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอขบริมฝีปาก พึมพำเอ่ยว่า “ข้าจะพาองครักษ์เขี้ยวมังกรที่ตามข้ามาทั้งสามร้อยนายไปด้วย ในเมื่อด้านในกว้างมาก เช่นนั้นเพิ่มคนหนึ่งคนก็เท่ากับเพิ่ม โอกาสขึ้นอีกหนึ่ง” นางคงจะไม่โง่เอาคนไม่กี่คนเข้าไป ถึงตอนนั้น ภายในเจ็ดวันแม้แต่พื้นที่เล็กๆ ส่วนเดียวก็หาไม่ทั่ว คงได้แต่ร้องไห้แล้ว
นอกจากนี้ ในกฎก็ไม่ได้กำหนดจำนวนคน เช่นนั้นนางจะเกรงใจไปทำไม?
เมื่อนางเอ่ย จ้าวหนานซิงก็พยักหน้า “คนของข้าไม่ได้เก่งกาจเท่าองครักษ์เขี้ยวมังกรของเจ้า แต่ว่าเรื่องหาแผ่นป้ายอะไรนั่น ยังคงสามารถช่วยอะไรได้บ้าง ข้าก็จะนำคนสามร้อยคนเข้าไป”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะเอาเข้าไปสามร้อยคนเช่นกัน แคว้นระดับสามของพวกเรารวมกันก็มีเก้าร้อยคน เมื่อร่วมมือกันแล้วก็ถือว่าเป็นพลังที่แข็งแกร่ง”
ส่วนหลังจากที่หาแผ่นป้ายแล้วทั้งสามแคว้นจะแบ่งกันอย่างไรนั้น นางกับจ้าวหนานซิงล้วนแต่ไม่มีข้อเสนอ เพราะว่าพวกเขาเชื่อใจในมู่ชิงเกอ ว่าสามารถแบ่งปันได้อย่างยุติธรรมที่สุด
“ข้าก็จะเข้าไปกับพวกเจ้า” ทันใดนั้น ไม่ไกลออกไปทางด้านหลังก็มีเสียงของเจียงหลีดังเข้ามา
มู่ชิงเกอหันหน้ามองนาง จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็ มองไปพร้อมกัน
“เจ้าจะไปร่วมวุ่นวายทำไม?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเอ่ย
เจียงหลีหยักไหล่ นั่งลงข้างกายมู่ชิงเกอ “ถึงอย่างไรข้าอยู่ด้านนอกก็ต้องเบื่อหน่าย ไม่สู้ไปดูกับพวกเจ้า ข้าไม่เอาใครไป เพียงตามเจ้าคุณชายมู่เข้าไป ก็ไม่ถือว่าผิดกฎ และอีกอย่าง มีข้าคอยช่วย ไม่แน่พวกเจ้ายังจะสามารถหาแผ่นป้ายได้เยอะขึ้นก็ได้”
“ตัดสินใจดีแล้ว?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เจียงหลีพยักหน้า
รู้ว่าเมื่อเจียงหลีตัดสินใจอะไรแล้วก็ยากที่จะเปลี่ยน อีกอย่างก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร มู่ชิงเกอจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ตามใจนาง
มู่ชิงเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยถามเจียงหลีว่า “ช่องว่างแห่งการทดสอบนั่น เจ้ามีข้อมูลอะไรไหม?”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นแหล่งข่าวของเจ้าอย่างนั้นหรือ!” เจียงหลีทำท่าเป็นโกรธเคือง
แต่ก็ยังพูดสิ่งที่ตนเองรู้ออกมาอยู่ดี “ช่องว่างแห่งการทดสอบนั้น ข้าก็ไม่เคยได้เข้าไป แต่ว่าเคยได้ยินพวกผู้เฒ่าในตระกูลพูดว่าช่องว่างแห่งการทดสอบอันนั้นเป็นมหาปราชญ์ใช้พลังสร้างขึ้นมา”
เมื่อพูดถึงซือมั่ว เจียงหลีก็มองไปทางมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง มองจนนางอึดอัด
“ด้านในกว้างแค่ไหนนั้น ก็ไม่มีใครรู้ แต่ว่าก่อนเข้าไป จักรพรรดิหยวนจะมอบแผนที่แผ่นหนึ่งให้แต่ละแคว้น สถานที่ที่ถูกวงเอาไว้บนแผนที่ก็จะมีแผ่นป้ายอยู่ พื้นที่อื่นๆ ที่ไม่มีการวาดบนแผนที่ไม่มีสัญลักษณ์ก็แสดงว่าอันตราย และที่นั้นก็จะไม่มีแผ่นป้าย” เจียงหลีเอ่ย
“อันตรายก็คือสัตว์อสูรวิญญาณอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ย
เจียงหลีพยักหน้า หว่างคิ้วของนางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมมากขึ้น เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ผู้อาวุโสในตระกูลพูดว่า สัตว์อสูรวิญญาณภายในช่องว่างแห่งการทดสอบนั้น ดู เหมือนว่าจะไม่เหมือนกับที่พวกเราเคยพบบนหลินชวน ถึงแม้จะกล่าวว่าเป็นสัตว์อสูรวิญญาณ แต่พวกมันก็ดูบ้าคลั่งคล้ายกับพวกอสูรร้ายมากกว่า พวกมันที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในช่องว่างแห่งการทดสอบก็กลายเป็นดุร้ายและอำมหิต ผู้กล้าที่มีระดับพลังตํ่ากว่าระดับชั้นสีเขียว เมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์อสูรที่ป่าเถื่อนเหล่านี้ ก็ดุจดั่งเป็นของเล่น ที่เอาไว้ดึงทึ้ง อีกอย่าง สัตว์อสูรที่ป่าเถื่อนเหล่านี้ก็ยังอยู่กันเป็นกลุ่ม หากว่าพบตัวหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าจะมีอีกเป็นฝูงที่รอเจ้าอยู่ จุ๊จุ๊-!”
เจียงหลีส่ายหน้าขึ้นช้าๆ มองไปทางมู่ชิงเกอ “ช่องว่างแห่งการทดสอบนี้มีข้อจำกัดของระดับพลัง เฉพาะคนที่ระดับพลังมากกว่าระดับพลังชั้นสีครามถึงระดับพลังชั้นสีม่วงชั้นสูงสุดเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ระดับพลังตํ่า เข้าไปแล้วก็เหมือนไปหาความตาย ส่วนผู้แข็งแกร่งชั้นกักเก็บที่ผ่านระดับชั้นสีม่วงชั้นสูงสุดแล้ว หากว่าเข้าไปแล้วไม่มีการต่อสู้ก็ยังดี หากว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นก็จะทำให้ ช่องว่างเกิดความไม่เสถียร อาจถึงขั้นพังทลายได้ ดังนั้นคนของพวกเจ้ากลุ่มนั้น ถ้าหากว่ายังไม่ผ่านระดับพลังชั้นสีคราม ก็ไม่ต้องพาเข้าไปเป็นดี”
คำพูดของเจียงหลี ทำให้ทั้งสามคนเงียบลงไป
มู่ชิงเกอยังดี องครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสามร้อยคนนั้นล้วนแต่อยู่ระดับพลังชั้นสีนํ้าเงิน ดังนั้นจึงไม่ต้องเอาคนออก แต่ว่าฝั่งของจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยไม่เหมือนกัน คนของพวกเขาไม่ได้เก่งกาจอย่างองครักษ์เขี้ยวมังกร มีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ระดับพลังชั้นสีคราม นอกจากนั้นส่วนมากล้วนแต่อยู่ภายในระดับพลังชั้นสีเขียวและสีเหลือง
จ้าวหนานซิงยิ้มอย่างขมขื่น “ดูท่า การแข่งขันในรอบที่สาม พวกเราทั้งสองแคว้นยังคงต้องพึ่งพาคุณชายแล้ว!”
เขาพูดกึ่งล้อเล่น ทำให้ฟงอวี๋เฟยหัวเราะออกมา เอ่ยว่า “พวกเราแคว้นระดับสาม ในตอนนี้ใครจะไม่รู้จักคุณชายบ้าง? หากว่าเขายินยอม หากโบกมือพูดว่าจะรวมแคว้นระดับสามเป็นหนึ่ง ไม่ต้องเปลืองกำลังพลก็คงสามารถทำมันสำเร็จได้แล้ว พวกเราไม่พึ่งพาเขาแล้วยังจะไปพึ่งพาใครได้?”
มู่ชิงเกอถูกทั้งสองคนพูดกระเซ้าเย้าแหย่ ก็หัวเราะเอ่ยว่า “พวกเจ้าก็ยกยอข้าจนเกินไป หากว่าจะรวมแคว้นระดับสามเป็นหนึ่ง ก็คงต้องมีการต่อสู้ แต่ว่า ถึงแม้ว่าจะรวมเป็นหนึ่งแล้วจะมีความหมายอันใด? ใครจะเป็นคนจัดการ? อีกอย่างงานหนักอย่างนั้นข้าไม่ทำ!”
“เจ้านะเจ้า ทุกคนล้วนแต่ต้องการที่จะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์สูงสุด แต่เจ้ากลับดูแคลน” ฟ่งอวี๋เฟยหัวเราะเอ่ยอย่างหมดหนทาง
มู่ชิงเกอเอ่ยล้อนางว่า “ข้านั้นมีภาระหนัก ไม่เร็วไม่ช้าก็ต้องออกจากหลินชวน หากว่าข้าอยู่ต่อเป็นฮ่องเต้ คนรักของเจ้ามู่ยี่นั้นจะทำอย่างไร?”
“เจ้า!” เมื่อพูดถึงคนภายในใจ ผู้หญิงใจแข็งอย่างฟ่งอวี๋เฟยก็เผยใบหน้าที่ดูเอียงอายออกมา
เจียงหลีไต่ถามอย่างสนใจ “มู่ยี่อะไร? เป็นพระสวามีของรัชทายาทหญิงฟ่งอย่างนั้นหรือ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟ่งอวี๋เฟยค่อยๆ ถูกเก็บเข้ามา
เรื่องราวระหว่างนางกับมู่ยี่ อาจกล่าวได้ว่าทุกคนในแคว้นลี่ล้วนแต่รู้นี่เป็นปมหัวใจของนาง ถึงแม้ว่าพูดขึ้นมาจะไม่มีอะไร แต่หากให้นางระลึกถึงเรื่องต่างๆ ระหว่างนางกับมู่ยี่อีกครั้งแล้ว ในใจของนางก็จะรู้สึกถึงความเจ็บปวด
แต่ว่า คนที่ถามนั้นเป็นเจียงหลี สำหรับฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ผู้นี้แล้วนางมีความรู้สึกที่ดีด้วย ดังนั้นนางจึงไม่ถือสาเล่าเรื่องราวระหว่างนางกับมู่ยี่อีกครั้ง
รวมถึงข้อตกลงระหว่างนางกับมู่ชิงเกอ นางก็พูดออกมาโดยไม่ได้กริ่งเกรง
เมื่อได้ฟังเรื่องของฟ่งอวี๋เฟยจนจบ เจียงหลีก็ถอนหายใจ “เจ้าช่างยึดติดยิ่งนัก!” จากนั้น นางก็มองมู่ชิงเกอ เอ่ยกับนางว่า “ชิงเกอ รอเจ้าหามู่ยี่คนนั้นเจอแล้ว ถ้าหากว่า เขายังมีรักอยู่น่าอภัยก็แล้วไป แต่หากว่าไม่รักแล้ว ทำเรื่องที่ผิดต่อรัชทายาทหญิงฟ่ง เจ้าจะต้องจัดการสั่งสอนเขาให้หนัก!”
มู่ชิงเกอยังไม่ได้พูด คำพูดของฟ่งอวี๋เฟยก็ดังเข้ามา “ข้าเชื่อว่ามู่ยี่จะต้องไม่หลอกข้า”
“อา เป็นความรู้สึกผูกพันที่ยากจะเปลี่ยนเป็นความแค้น” จ้าวหนานซิงถอนหายใจ
ท่าทางที่ดูซาบซึ้งใจของเขา ทำให้เจียงหลียิ้มเยาะอย่างดูแคลนออกมา มู่ชิงเกอเอ่ยติดตลกออกมาว่า “ศิษย์พี่จ้าวคิดถึงศิษย์พี่ซางอย่างนั้นหรือ?”
จ้าวหนานซิงไม่อาย พยักหน้ายอมรับ “ใช่แล้ว! แต่ว่า นี่ยังตรงกับตำนานที่ว่าเซียงอ๋องมีความฝันต่อเทพธิดาไร้ใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ข้าถึงจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของจื่อซูได้”
เมื่อพูดจบ ก็ยังมองไปที่มู่ชิงเกอแวบหนึ่ง สำหรับ ‘ศัตรูความรัก’ ผู้นี้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกโกรธคับแค้นใจแม้แต่น้อย!
มู่ชิงเกอเข้าใจความหมายในดวงตาของเขา จึงไอกลบเกลื่อนขึ้น เอ่ยปลอบเขาว่า “ความจริงใจจะทำให้ประตูหินเปิดออกได้ขอเพียงศิษย์พี่จ้าวไม่ยอมแพ้ ต้องมีสัก วัน จะต้องทำให้ศิษย์พี่ซางหวั่นไหวอย่างแน่นอน ทำให้
นางมองเห็นความดีของท่าน”
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” จ้าวหนานซิงเอ่ย
ไม่กี่คนพูดคุยเล่นกันไป ท้องฟ้าสว่างมากแล้ว คนจำนวนไม่น้อยที่ตื่นจากทำสมาธิแล้ว เริ่มที่จะยืดเส้นยืดสาย เตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในวันนี้
ไม่นาน จ้าวหนานซิงกับฟ่งอวี๋เฟยก็ไปเตรียมตัวของใครของมัน
เจียงหลีอยู่ต่อ อยู่เป็นเพื่อนข้างกายของมู่ชิงเกอ เอ่ยถามว่า “เจ้าบ้าเฉินนั้นจะมาเมื่อไหร่กันแน่? เวลานี้ก็ผ่านไปกว่าครึ่งแล้ว เขายังไม่เผยหน้าออกมาอีก ทำตัว ลึกลับอะไรกัน?”
ความไม่พอใจของนางทำให้มู่ชิงเกอยิ้มออกมา
มีหลายครั้งที่เจียงหลีเอาเรื่องราวของมู่ชิงเกอขึ้นไปสำคัญกว่าเรื่องของตัวเอง
บางทีนี่อาจเรียกได้ว่า ‘เพื่อนสนิท’
โลกก่อนหน้านั้นนางมีเพียงแต่เพื่อนร่วมรบ ผู้บังคับบัญชา ศัตรู และความสัมพันธ์ทางสังคมที่เรียบง่าย ส่วนในโลกนี้นางกลับโชคดีมีทั้งครอบครัว เพื่อน แม้กระทั่งเพื่อนสนิท และก็ยังมี ซือมั่ว
อยู่ดีๆ ก็คิดถึงชายคนนั้น มู่ชิงเกอหลุบตาลง เกิดแสงอันอบอุ่นที่ยากจะพบเห็นขึ้นในดวงตา ถึงแม้ว่าภายในตำหนักหลีกง ทั้งสองคนจะไม่ทันได้พูดคุยอะไรกันมาก แม้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางจะยังไม่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม ก็เหมือนกับที่นางพูดกับเจียงหลี ชายคนนั้นเป็นของนาง และก็ต้องเป็นของนาง เท่านั้น!
ในตอนที่มู่ชิงเกอกำลังคิดถึงซือมั่วอยู่นั้น เงาสีดำก็ปรากฏขึ้นบนฟ้า ทาบทับตัวนาง
มู่ชิงเกอที่ถูกรบกวนรู้สึกไม่พอใจเงยหน้าขึ้น แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับดวงตาที่ดูดุจดั่งสัตว์ที่กระหายการต่อสู้ของเฉินปี้เฉิง
“ข้ามาแล้ว!” เฉินปี้เฉิงเอ่ยกับมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอดึงความวาบหวามในใจกลับ ค่อยๆ ลุกยืนขึ้น
เจียงหลีก็ลุกขึ้นตาม เอ่ยต่อว่าเฉินปี้เฉิงว่า “นี่ เป็นเจ้าที่นัดต่อสู้ เหตุใดจึงเพิ่งมาปรากฏตัวเวลานี้?”
“มีเรื่องล่าช้าไปบ้าง” เฉินปี้เฉิงอธิบายง่ายๆ แต่ว่าดวงตาของเขาจากเริ่มต้นถึงสุดท้ายก็ไม่ได้ละออกไปจากร่างของมู่ชิงเกอเลย
มู่ชิงเกอยิ้มๆ จัดชุดที่ยับเล็กน้อยของตนเอง จากนั้นก็เอ่ยกับเขาว่า “ไปเถอะ”
เฉินปี้เฉิงก็ไม่ได้ชักช้า หันกายเดินไปที่กรงที่เพิ่งเปิดอยู่ และยังไม่มีใครเข้าไป