ตอนที่ 186-3
สงครามระหว่างเสือและมังกร แพ้ชนะเพื่ออะไร?
ระเบียงบนหุบเขา ฐานกำลังต่างๆ เหล่าคนใหญ่คนโต ก็ถูกการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองทำให้ตื่นตะลึง
อาศัยความสามารถของพวกเขา แน่นอนว่าสามารถมองเห็นเงาร่างที่แวบไปมาของคนทั้งสองได้ แต่ว่าก็ดูเลือนรางเป็นอย่างมาก มองเห็นเพียงแต่เงาเสมือนที่ ปะทะกันเท่านั้น
“ประมุขเฉิน คุณชายสามมีระดับพลังยุทธ์ถึงขั้นนี้ ช่างน่ายินดีด้วยยิ่งนัก!” ประมุขตระกูลจิ่งได้สติ ประสานมือแสดงความยินดีกับประมุขตระกูลเฉินที่อยู่ข้างกาย
ประมุขตระกูลฮวาก็ยิ้มออกมา เอ่ยกับประมุขตระกูลอื่นๆ ว่า “นี้! พวกเราแก่ตัวแล้วจริงๆ ดูคนรุ่นเยาว์เหล่านี้ เพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียวแต่กลับมีระดับพลังที่สามารถเทียบกับพวกเราได้แล้ว”
ประมุขตระกูลเฉินหัวเราะ ‘เหอ เหอ’ พูดอย่างสุภาพออกมาว่า “ทุกท่านยกยอเกินไป เจ้าสามของบ้านข้านี้ นอกจากความสามารถเล็กน้อยนี้ที่นำออกมาได้ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเลย หากให้เขาไปทำการค้าก็คงจะเละเทะเป็นแน่!”
“คำพูดนี้ของประมุขเฉินนั้นผิดแล้ว คุณชายสามมีความสามารถเช่นนี้ก็คือโชคของวงศ์ตระกูล ตระกูลจิ่งของข้าคาดหวังก็ยังไม่มาเลย” ประมุขตระกูลจิ่งกล่าวชม
ประมุขตระกูลฮวาก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ผิด ไม่ผิด! ขอถามประมุขเฉิน คุณชายสามมีคนในใจแล้วหรือยัง? หากว่าไม่มี ตระกูลฮวาของข้านั้นมีหญิงสาวจำนวนไม่ น้อยรอให้คุณชายสามไปเลือก”
ประมุขตระกูลเฉินถูกทั้งสองคนยกยอกลับไม่ได้เลอะเลือน กลับหัวเราะ ‘เหอ เหอ’ พร้อมกับมองการแข่งขันของบุตรชาย
พูดเรื่องเฉินปี้เฉิงจบ ทุกคนก็เปลี่ยนประเด็นไปที่มู่ชิงเกอ
เมื่อก่อนมู่ชิงเกอก็ได้ทำให้พวกเขาต้องมองใหม่แล้ว
แต่ตอนนี้เมื่อมองเห็นระดับพลังของเขาด้วยตาของตนเองก็ยิ่งทำให้คนเหล่านี้ตกตะลึงอยู่ดี พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าอัจฉริยะยอดเยี่ยมเพียงแค่คนเดียวก็สามารถ เทียบกับบุตรคนโปรดภายในตระกูลพวกเขาได้แล้ว อีกอย่างมู่ชิงเกอมาจากแคว้นระดับสาม แคว้นระดับสามเป็นสถานที่อะไรกัน?
นั้นเป็นสถานที่ที่พวกเขาส่วนใหญ่ในที่นี้ไม่ยินยอมที่จะไปเหยียบตลอดชีวิต
ที่นั้นเป็นสัญลักษณ์ของความยากจน ความล้าหลัง การปิดผนึกและความโง่เขลา ก็เหมือนกับพวกป่าเถื่อนไร้วัฒนธรรม แต่สถานที่เช่นนี้กลับปรากฏคนที่มีความโดดเด่นอย่างมู่ชิงเกอขึ้นมา ทำลายความเข้าใจของพวกเขา
“เห็นคุณชายมู่เป็นอัจฉริยะจากถิ่นที่ทุรกันดารเช่นนี้ ข้าก็อยากจะหาเวลาว่างไปดูแคว้นฉินสักครั้งนักว่าที่นั้น เป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ถึงได้ให้กำเนิดอัจฉริยะเช่นนี้ออกมาได้” จักรพรรดิหยวนหวงฝู่เฮ่าเทียนเอ่ยด้วยนํ้าเสียงที่ดูจริงจัง
คำพูดของเขาไม่มีทั้งการยกยอหรือดูแคลนเลยสักนิดเดียว
เพราะว่าเขาคิดเช่นนี้จริงๆ
แคว้นระดับสามเป็นสถานที่ที่ล้าหลังมากที่สุดและมีทรัพยากรน้อยที่สุดในหลินชวน ถึงแม้ว่าจะมีอัจฉริยะบ้างแต่ก็เป็นเพราะทรัพยากรมีจำกัดถึงได้ไม่สามารถ เทียบกับอัจฉริยะของแคว้นระดับหนึ่งและสองได้
แต่ว่ามู่ชิงเกอกลับเป็นข้อยกเว้น
เขามาจากสถานที่ที่ล้าหลังมากที่สุด ทรัพยากรน้อยที่สุด แต่กลับทำให้อัจฉริยะของแคว้นระดับหนึ่งและสองไม่มีที่ให้ยืน
ความสว่างไสวของนางทำให้กลุ่มดาวเหล่านั้นล้วนแต่อับแสง
แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรได้
เทียบไม่ได้ก็คือเทียบไม่ได้
“หากฝ่าบาทเริ่มเดินทางเมื่อไหร่โปรดบอกกระหม่อมด้วย กระหม่อมก็อยากจะไปดูสถานที่ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูคุณชายมู่เช่นกันว่าเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่!” ประมุขตระกูลเฉินถือโอกาสเอ่ย
ไม่เหมือนกับประมุขตระกูลอื่นๆ ประมุขตระกูลเฉินเข้าใจเป็นอย่างยิ่งถึงความจริงที่ว่าลูกไม้มักหล่นไม่ไกลต้น เขาไม่หวังให้เรื่องที่บุตรชายตนเองโดดเด่นจนเกินไปทำให้ต้องกลายเป็นศัตรูกับตระกูลอื่นๆ และนำพามาซึ่ง โศกนาฏกรรมมากมาย
การปรากฏตัวของมู่ชิงเกอ ทำให้สายตาของทุกคนเปลี่ยนจากเฉินปี้เฉิงไปมองที่ร่างของเขา สำหรับตระกูลเฉินแล้วเป็นการดีอย่างไม่ต้องสงสัย
นี่ก็คือสาเหตุที่นับตั้งแต่วันงานเลี้ยงเป็นต้นมา ตระกูลเฉินก็ไม่ได้มีอคติต่อมู่ชิงเกอแต่กลับเป็นการชื่นชม ไม่ใช่ว่าพวกเขาใจกว้าง แต่เป็นเพราะความโดดเด่นของเฉินปี้เฉิงจำเป็นต้องมีอีกคนมาแบ่งไป เช่นนี้ถึงจะรับประกันความปลอดภัยของเฉินปี้เฉิงและตระกูลเฉินได้ สำหรับตระกูลใหญ่เหล่านี้แล้ว ไม่มีคำว่าเมตตา มีแต่ผลประโยชน์ของตระกูลที่จะเป็นอันดับหนึ่งอยู่เสมอ การพูดคุยกันระหว่างจักรพรรดิหยวนและสามตระกูลใหญ่ลอยเข้าไปในหูของเจียงหลี
นางยิ่งฟังสายตาก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นดูแคลนมากยิ่งขึ้น แผนการภายในใจที่พวกจิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้วางแผน นางสามารถมองออกได้ แต่ก็ไม่อยากจะลดตนไปยุ่งเกี่ยวด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในแผนการของพวกเขานั้นเป็น มู่ชิงเกอ
แม้ว่าการวางแผนของพวกเขาไม่ได้ก่อให้เกิดความสูญเสียใดๆ ต่อมู่ชิงเกอแต่ก็ยังคงทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจเช่นเดิม
ในระหว่างที่กำลังกวาดสายตา สายตาของเจียงหลีและหวงฝู่ฮ่วนก็ปะทะกัน นางละเลยความกระตือรือร้นของอีกฝ่าย เสมองออกไป หรือไม่ก็เป็นเพราะจิตใจของการเมืองเหล่านี้ทำให้นางไม่ได้รู้สึกอะไรจากการสารภาพของหวงฝู่ฮ่วน
เจียงหลีลอบมองไปทางเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ย แต่ก็มองไม่ออกว่าทั้งสองคนนั้นมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง นางขมวดคิ้วแน่นขึ้น
ในการเดินทางมาอาณาจักรเซิ่งหยวนในครั้งนี้ของทั้งสองคน ยิ่งเดินก็ยิ่งใกล้ชิดกันนี้ค่อยๆ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ กังวลถึงความปลอดภัยของมู่ชิงเกอ
ถึงนางจะยอมรับว่ามู่ชิงเกอนั้นแข็งแกร่งราวกับปีศาจ เป็นตัวนำหายนะที่สวรรค์ก็ไม่กล้ารับ แต่นางก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะเกิดความกังวลขึ้นในใจ นี้เป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมนางจึงเสนอตัวเข้าการแข่งขันรอบที่สามในช่องว่างทดสอบกับมู่ชิงเกอ
ป้องกันภัยอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกออาจจะสามารถทำให้ความกังวลของนางลดลงได้บ้าง!
ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเจียงหลี เฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยจึงหันมามองนางพร้อมกัน
ในตอนที่สายตาของทั้งสามคนปะทะกัน เจียงหลีก็ไม่ได้มองไปทางอื่น กลับจ้องคนทั้งสอง สายตาที่คมกริบเช่นนั้นดูเหมือนว่ากำลังมองลึกเข้าไปภายในจิตใจของผู้คน มองถึงความคิดที่แท้จริงภายในจิตใจของพวกเขา
เฮยมู่ยิ้มให้กับเจียงหลี รอยยิ้มนั้นแสดงถึงมิตรภาพแต่ก็ดูน่าขยะแขยงยิ่งนัก
หลังจากยิ้มไปหนึ่งครั้งแล้ว เฮยมู่ก็เก็บรอยยิ้มกลับ ก่อนจะใช้กระแสจิตส่งไปเอ่ยกับโหลวเสวียนเถี่ย ‘ดูท่า ฮ่องเต้เจียงนางนั้นกำลังจับตามองพวกเรา’
‘พวกเราเคลื่อนไหวกันอย่างระมัดระวังมาก ถึงแม้ว่าภายในใจของนางจะเกิดความสงสัย แต่เมื่อไม่อาจหาหลักฐานอะไรแล้วจะทำอย่างไรได้อีก?’ โหลวเสวียนเถี่ยส่งเสียงที่ดูเยาะเย้ยไป
ตามที่เขาดู ถึงเจียงหลีจะชอบยืนอยู่ข้างกายของมู่ชิงเกอบ่อยครั้ง แต่สำหรับเขาแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสหายต่อกันเสมอไป ‘เรื่องใหญ่กำลังจะมาถึง ต้องไม่ให้มีข้อผิดพลาดใดๆ ยังคงต้องระมัดระวังไว้เป็นดี ไม่กี่วันต่อไปนี้พวกเราก็พยายามเก็บตัวหน่อย ไม่ต้องพบหน้า อย่าทำให้เกิดข้อสงสัยใดๆ’ เฮยมู่เอ่ยเตือน
ถึงแม้ว่าภายในใจของโหลวเสวียนเถี่ยจะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่แต่ก็ยังคงเอ่ยตกลงไป ‘อืม’
‘ถึงอย่างไรก็ส่งคนเหล่านั้นเข้าไปในตระกูลหลานหมดแล้ว แผนการก็ตกลงกับประมุขตระกูลหลานดีแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องพบกันอีก’
เฮยมู่พยักหน้า ทั้งสองคนหยุดพูดคุย ดูการต่อสู้ที่กำลังดำเนินอยู่ต่อ
สำหรับพวกเขาแล้ว การต่อสู้ในครั้งนี้ยิ่งรุนแรงก็ยิ่งดี สามารถทำให้พวกเขาได้เห็นถึงความสามารถที่แท้จริงของมู่ชิงเกอ จากนั้นก็ทำให้แผนการสมบูรณ์หากลงมือก็ต้องเอาให้ถึงชีวิต!
ความชั่วร้ายในสายตาของทั้งสองคน รอดไปจากสายตาของเจียงหลีและก็ยิ่งไม่ได้เป็นที่สนใจของมู่ชิงเกอที่กำลังต่อสู้อยู่อย่างดุเดือด
การต่อสู้ไนครั้งนี้นับจากเช้าวันที่ห้าของการแข่งขันรอบที่สองและใช้เวลาติดต่อกันไปถึงสองวันสองคืน
ตอนนี้ห่างจากเวลาสรุปผลการแข่งขันแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น
มู่ชิงเกอและเฉินปี้เฉิงที่อยู่ในกรงกลับดูเหมือนไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า ยังคงไม่อาจหาผู้แพ้ผู้ชนะได้
นอกกรง การแข่งขันในกรงอื่นๆ ก็ยังดำเนินต่อไป แต่ก็ไม่ได้เป็นที่สนใจของผู้คน คนที่ไม่ได้แข่งขันล้อมรอบกรง ที่กำแพงยังเต็มไปด้วยรอยร้าวคาดเดาว่าใครจะสามารถเดินออกมาเป็นคนสุดท้ายได้
“สองคนนี้วิปริตเกินไปแล้วกระมัง? มีพลังจิตลึกลํ้าเพียงไหนจึงสามารถต่อสู้ได้นานถึงขนาดนี้ได้?” มีคนเอ่ยขึ้นด้วยความตะลึง
มีคนถอนหายใจเอ่ยว่า “ไม่วิปริตหรอก! ชัดเจนว่าเป็นสัตว์ประหลาด! หากเป็นพวกข้าเหล่านี้ถึงแม้ว่าจะไม่ออกกระบวนท่าที่ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าต่อสู้เช่นนี้ พลังจิตที่อยู่ในร่างก็ไม่อาจจะต่อสู้ไปได้นาน เปรียบกันแล้วก็ยังห่างไกลนัก!”
“เปรียบเทียบกับพวกเขา? อย่ามาล้อเล่น เอาตัวเองไปเทียบกับสัตว์ประหลาด เทียบกับเจ้าบ้า ไม่ใช่ว่าเป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรอกรึ?”
“หากสามารถมองเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ประมือกัน นั่นก็จะต้องน่าตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน!”
“ก็เอาสิ เพียงแค่เจ้าปีนขึ้นไปบนนั้นก็ได้เห็นแล้ว” คนที่ตอบคำมาพูดด้วยเสียงเย้ยหยัน ชี้ขึ้นไปที่ระเบียงบนภูเขา
ที่นั้น คนใหญ่คนโตที่พวกเขามองไป ไม่ได้จากไปเช่นเมื่อก่อน ดูเหมือนนับตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ระหว่างมู่ชิงเกอและเฉินปี้เฉิง พวกเขาก็นั่งอยู่ตรงนี้เพื่อชมดู ดูเหมือนว่าทั้งการแข่งขันรอบที่สองของงานชุมนุมใหญ่หลินชวน การแข่งขันที่คู่ควรแก่การเฝ้ามองของพวกเขา จะมีแค่การแข่งขันในครั้งนี้เท่านั้น