Skip to content

พลิกปฐพี 187-1

ตอนที่ 187-1

รากวิญญาณเพลิงโดยกำเนิด การแข่งขันรอบที่สาม!

เปลวเพลิงสลายไป ฉากที่ถูกปิดบังถูกเผยออกมา ภาพในสายตาของทุกคนในระเบียงบนหุบเขายังคงเป็นคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันและกันในกรง…………………………

สุดท้ายแล้วใครแพ้ใครชนะกันแน่?

รอบบริเวณเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ คนที่นั่งอยู่ภายในระเบียงยิ่งดูตื่นเต้นกว่าคนที่อยู่ในกรงทั้งสองคน แม้แต่หลังก็ไม่อาจนั่งติดเก้าอี้ได้

นอกกรง คนที่มองไม่เห็นว่าด้านในเกิดอะไรขึ้น ก็รีบรวมตัวกันอยู่ด้านหน้าประตูนอกประตูกรงเหล็กในทันที

ทุกคนล้วนแต่รักษาความสงบ กลั้นลมหายใจรอเวลาที่ประตูเหล็กจะเปิดออก

“ดาบโค้งหลุดมือ ทวนดำแตกสลาย สุดท้ายแล้วใครแพ้ ใครชนะกันแน่?” ในความเงียบสงบ ประมุขตระกูลฮวา เอ่ยถามด้วยความสงสัยออกมา เสียงของนางเบามาก แต่กลับเข้าไปถึงหูของทุกคนอย่างชัดเจน

ใครชนะ? แน่นอนว่าเป็นมู่ชิงเกอที่ชนะ!

นัยน์ตาของเจียงหลีฉายแววภาคภูมิใจ ความมั่นใจในตัวมู่ชิงเกอของนางนั้นไม่มีเหตุผล

ถึงแม้ว่าเฉินปี้เฉิงจะร้ายกาจมาก อายุเพียงยี่สิบปีกว่าๆ ก็สามารถสร้างทักษะสงครามขึ้นมาได้ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่คู่มือของมู่ชิงเกอ!

ภายในกรง มู่ชิงเกออยู่ตรงกันข้ามกับเฉินปี้เฉิง

ลมจากส่วนบนของภูเขาพัดลงมา พัดโชยเสื้อผ้าของคนทั้งสองโบกสะบัด

“ข้าแพ้แล้ว” เสียงของเฉินปี้เฉิงลอยไปพร้อมกันกับลม

ในนํ้าเสียงของเขาไม่มีความผิดหวัง ไม่มีอารมณ์โมโห หรือไม่ยินยอม มีแค่เพียงความสงบยอมรับความจริง

มู่ชิงเกอไม่ได้พูดอะไร ในความเป็นจริงนั้นเวลานี้นางจะพูดอะไรก็ไม่เหมาะ

ปลอบใจอย่างนั้นหรือ?

เฉินปี้เฉิงก็ไม่ได้ต้องการ

เยาะเย้ยอย่างนั้นหรือ?

นางก็ไม่ได้มีนิสัยชั่วช้าเช่นนั้น

อีกอย่างนางกับเฉินปี้เฉิงก็ไม่ใช่ศัตรูกัน เพียงแต่ประลองฝีมือกันเท่านั้น แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา ไม่จำเป็นต้องพูดมากอะไร

ในขณะที่มู่ชิงเกอกำลังนิ่งเงียบ เฉินปี้เฉิงก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าจะไปหาเจ้าอีก ครั้งหน้าข้าจะไม่แพ้อย่างเด็ดขาด”

สองมือของเขาในตอนนี้นั้นมีร่องรอยบาดแผลที่ถูกทวนซ่อนเงาแทง แต่เขาก็ไม่มีวี่แววของความเจ็บปวด หลังจากทิ้งคำพูดไว้แล้ว เขาก็ก้าวยาวๆ ไปที่ดาบวงพระจันทร์มังกรครามของตนเอง

เมื่อมาถึงตรงหน้าของดาบวงพระจันทร์มังกรคราม เขาก็ยกมือที่เต็มไปด้วยเลือดจับด้ามดาบแล้วออกแรงดึงมันออกมาจากพื้น จากนั้นก็ก้าวยาวมาผ่านข้างๆ ของมู่ชิงเกอมุ่งเดินออกไปทางประตูเหล็ก

ท่าทางที่สงบเช่นนี้ทำเอานัยน์ตาของมู่ชิงเกอเกิดความชื่นชมขึ้นมา

นางยิ้มเล็กน้อยยกมือขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองแล้วก็หันกายเดินออกไปทางประตูเหล็กเช่นเดียวกัน

ทุกคนที่รอคอยอยู่ด้านนอก ในที่สุดก็รอมาจนถึงฉากตอนที่ประตูเหล็กค่อยๆ เปิดออก

คนที่เดินออกมาเป็นคนแรกนั้นก็คือเฉินปี้เฉิง

“เป็นคุณชายสามของตระกูลเฉิน!”

“เป็นเจ้าบ้าเฉินออกมาก่อน หรือว่าเขาเป็นผู้ชนะ?”

“แปดถึงเก้าส่วน ไม่เห็นหรือว่าเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย?”

“สองวันสองคืนที่ผ่านมานี้ในเมื่อสามารถไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ได้ทั้งยังสามารถเดินออกมาได้เองอีก ข้าคิดว่านอกจากคุณชายสามแล้วก็ไม่มีใครอีก”

“เหอ เหอ ดูเหมือนว่าคุณชายที่มาจากแคว้นระดับสามผู้นั้นคงจะถูกคุณชายสามเฉินทุบตีจนใกล้จะตายอยู่ในกรงแล้วละมั้ง”

“นั่นอาจจะไม่แน่เสมอไป”

“เพราะเหตุใด? ตอนนี้เป็นคุณชายเฉินออกมาก่อน แน่นอนว่าต้องเป็นเขาที่ชนะ!”

ตอนที่เฉินปี้เฉิงปรากฏตัว เสียงการคาดเดาต่างๆ นานา ก็ดังขึ้นมา

จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยสบตากันแวบหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยเชื่อการคาดเดาของคนเหล่านี้แต่ก็เป็นกังวลใจถึงมู่ชิงเกอที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา

ภายใต้เสียงคาดเดาของทุกคน เสียงของมู่ชิงเกอก็ดังออกมาจากด้านหลังของเฉินปี้เฉิง

ชุดแดงชุดนั้นของนางสดใสบาดตาคน เพิ่งจะปรากฏตัว ก็ทำให้ผู้คนด้านนอกหลงใหลถูกดึงดูดสายตาไป

“นี่? คุณชายมู่คนนั้นก็ออกมาแล้ว? ดูท่าทางของเขาแล้วก็ไม่ได้บาดเจ็บ!”

“ทั้งสองคนล้วนดูไม่มีร่องรอยใดๆ เช่นนั้นเป็นใครแพ้ เป็นใครชนะ?”

“ข้าว่าคุณชายสาม” มีคนเอ่ยอย่างมั่นใจ

มีคนจำนวนมากที่ยังคงลังเล

การคาดเดาเหล่านี้ดังเข้าไปในหูของมู่ชิงเกอ แต่นางกลับยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

การต่อสู้ในครั้งนี้ นางต่อสู้ได้สะใจมาก ยอมรับในฝีมือของเฉินปี้เฉิง ใครแพ้ใครชนะจะต้องบอกใครไปเพื่ออะไร?

เห็นมู่ชิงเกอปรากฎตัว นัยน์ตาของจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็เปล่งประกาย วางความกังวลในใจพร้อมกัน

เฉินนี้เฉิงยืนอยู่นอกประตูเหล็กกวาดสายตามองรอบด้านอย่างสงบ

ภายใต้สายตาที่กวาดมองของเขา เสียงพูดคุยรอบด้าน ค่อยๆ กลายเป็นสงบลง

“ข้าแพ้แล้ว!”

นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินนี้เชิงพูดประโยคเช่นนี้ออกมา

ครั้งแรกเขายอมรับกับมู่ชิงเกอ ส่วนรอบที่สองเขายอมรับกับทุกคน

“อะไรนะ?! เจ้าบ้าเฉินถึงกลับแพ้แล้วหรือ? มีอะไรเข้าใจผิดหรือไม่?”

“ล้อเล่นอะไรกัน? กี่ปีแล้วที่เจ้าบ้าเฉินอยู่ในเทียนตู? ในรุ่นเดียวกันไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง จนตอนนี้กลายเป็นรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหลินชวน แล้วตอนนี้กลับมายอมรับว่าพ่ายแพ้ด้วยตนเอง”

“นี่เป็นไปไม่ได้! เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามเล่นสกปรกใช่หรือไม่?”

“เล่นสกปรกอะไรกัน? คุณชายของพวกเราจำเป็นต้องใช้วิธีที่ตํ่าช้าเช่นนั้นด้วยหรือ?” ฟ่งอวี๋เฟยอดไม่อยู่ ตอกกลับออกไป จ้าวหนานซิงก็รีบเอ่ยตามในทันที “ไม่ผิด หากว่าไม่ได้ชนะอย่างยุติธรรมแล้วเฉินปี้เฉิงจะยอมรับออกมาเองได้ อย่างไร? หากไม่ใช่พวกเจ้าก็คงถือเอาว่าเขาเป็นคนโง่แล้วใช่หรือไม่?” คำพูดคุกคามโดยนัยประสบผลสำเร็จในการขจัดความสงสัย

เมื่อบอกผลของการประลองแล้ว เฉินปี้เฉิงก็ไม่สนใจผู้คนอีกและก็ไม่ได้สนใจคนในสี่ตระกูลอื่นๆ ก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากหุบเขา

เมื่อเฉินปี้เฉิงจากไป สายตาของทุกคนก็ล้วนมาหยุดอยู่ที่ มู่ชิงเกอ

แรกเริ่มตอนที่มู่ชิงเกอกับเฉินปี้เฉิงประลองกันภายในวังหลวงของอาณาจักรเซิ่งหยวน คนที่ได้เห็นด้วยตาตนเองนั้นมีเพียงไม่กี่คน แม้หลังจากนั้นจะมีการเล่าลือออกไป แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ได้เบี่ยงเบนไปจากข้อเท็จจริงมาก

แม้ว่าจะมีการกล่าวว่าการต่อสู้ในครั้งนั้น มู่ชิงเกอและเฉินปี้เฉิงต่อสู้กันอย่างยุติธรรม

แต่ว่า สำหรับเหล่าผู้มีความสามารถของแคว้นระดับหนึ่งและระดับสองนั้น พวกเขายินยอมให้อัจฉริยะที่กดอยู่บนศีรษะของพวกเขามานานชนะไปดีกว่าจะยอมให้ม้ามืดที่มาจากไหนไม่รู้อย่างมู่ชิงเกอชนะ

ความคิดเช่นนี้ถึงจะถือเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แต่ก็ยากนักที่ทุกผู้ทุกคนจะรู้สึกเหมือนมีศัตรูร่วมกัน “เขาชนะเฉินปี้เฉิงจริงๆ น่ะหรือ?”

“ถึงแม้ว่าจะไม่อยากเชื่อ แต่เป็นเฉินปี้เฉิงพูดออกมาเองแล้ว จะยังมีเรื่องเท็จอีกหรือ?”

“สวรรค์! แคว้นระดับสามเกิดสัตว์ประหลาดอะไรมา? เขามาจากแคว้นระดับสามจริงๆ น่ะหรือ? มีเขาอยู่พวกเรา เหล่านี้ล้วนกลายเป็นผู้แพ้ไปแล้วสิ”

“หรือว่าโชคไหลกลับ โชคดีได้ไหลไปสู่แคว้นระดับสามแล้ว? ดูแล้วข้าก็ต้องหาเวลาไปดูที่แคว้นระดับสามบ้างแล้ว”

“ตอนจะไปเรียกข้าด้วย ข้าก็รู้สึกสนใจในโชคของแคว้นระดับสามเช่นเดียวกัน”

จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยเดินไปหามู่ชิงเกอ พวกเขายังไม่ทันได้ถาม มู่ชิงเกอก็เอ่ยขึ้นว่า “การแข่งขันสิ้นสุดแล้วหรือ?”

ที่นางถามก็คือการแข่งขันในรอบที่สองทั้งหมด

จ้าวหนานซิงพยักหน้า “เสร็จแล้ว ผลสรุปคะแนนจะออกหลังจากนี้สามวัน ประกาศก่อนเข้าสู่การแข่งขันในรอบที่สาม”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปกันเถอะ” มู่ชิงเกอพยักหน้า

การตัดสินใจของนาง แน่นอนว่าจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็ไม่ได้ขัด

ไม่ได้ไปทักทายกับเหล่าคนบนระเบียง มู่ชิงเกอนำคนกลับไปยังเรือนรับรองเลย

หลังจากที่นางจากไป เหล่าผู้ชมที่อยู่บนระเบียงก็ตัดสินใจพากันแยกย้าย

ข่าวที่ได้รับในวันนี้ล้วนแต่มีผลกระทบต่อตระกูลของพวกเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเฮยมู่และโหลวเสวียนเถี่ยทั้งสองคน

เฉินปี้เฉิงมีชื่อเสียงอยู่ในแคว้นระดับหนึ่งและแคว้นระดับสองมานาน พวกเขาทั้งสองคนก็คุ้นเคยดี แต่กลับไม่คิดว่าเขาที่อายุยังน้อยจะสามารถสร้างทักษะ สงครามได้ด้วยตัวตนเอง ทั้งพลังก็ยังไม่ด้อย

จุดๆ นี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาปรับมุมมองใหม่ แต่ว่าเฉินปี้เฉิงที่ได้ควักไพ่ตายใบสุดท้ายออกมาแล้ว ก็ยังพ่ายแพ้ให้แก่มู่ชิงเกออีก

นี้ทำให้พวกเขาต้องเริ่มพิจารณาถึงพลังของมู่ชิงเกอใหม่อีกรอบ

ทั้งสองคนลอบสบตาหากัน ความระมัดระวังในสายตาชัดเจน

ตอนที่ทั้งสองคนเตรียมจะจากไป สายตาของเจียงหลีก็ตกไปอยู่ที่พวกเขา ในตอนนี้ ขุนนางหญิงที่นางส่งออกไปสืบข่าวก่อนหน้านี้ได้กลับมารายงานที่ข้างหูของนางแล้ว

แต่ว่า ข่าวที่สืบมาได้กลับทำให้เจียงหลีไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“อะไรก็หาไม่พบอย่างนั้นหรือ?” เจียงหลีขมวดคิ้ว น้ำเสียงเพิ่มความเยียบเย็นขึ้นหลายส่วน

ขุนนนางหญิงก้มหน้าลงตํ่า เอ่ยว่า “ใช่แล้วเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันได้ส่งสายสืบของแคว้นกู่วู่ของพวกเราที่อยู่ในเทียนตูให้ออกไปสืบข่าวหมดแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่พวกเขาได้กลับมาก็คือสืบหาอะไรไม่ได้เลย”

นัยน์ตาของเจียงหลีหรี่เล็กลง ฉายความเยียบเย็น “หาต่อไป ยิ่งหาอะไรออกมาไม่ได้ ก็ยิ่งหมายความว่าพวกเขายิ่งมีพิรุธ ให้จับตามองพวกเขาอยู่ตลอด มีอะไร เคลื่อนไหวให้รีบรายงานข้าในทันที”

“ทราบแล้วเพคะฝ่าบาท” ขุนนางหญิงรับคำสั่งออกไป เจียงหลียืนขึ้น การแข่งขันจบลงแล้ว มู่ชิงเกอก็ไปแล้ว นางก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รายงานเมื่อครู่ทำให้นางรู้สึกกังวลใจมาก

อะไรก็หาไม่พบ ทำให้จิตใจนางไม่สงบ ความรู้สึกถึงภัยอันตรายอย่างไร้ที่มา มันดูเหมือนว่ากำลังเตือนนาง

เจียงหลียกมือขึ้นจับเบาๆ ที่ตำแหน่งหัวใจของตนเอง

ภายในนั้น หัวใจที่กำลังเต้นสั่นอยู่ก็ไหลวนอยู่ด้วยสายเลือดของเผ่าพันธุ์ที่ไม่เหมือนกัน เทพอสูรจะมีความรู้สึกเตือนภัยที่เฉียบคมกว่ามนุษย์ จุดๆ นี้ เจียงหลีรู้มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้น เมื่อหัวใจของนางบอกนางว่าภัยอันตรายกำลังใกล้เข้ามา เช่นนั้นนางก็ต้องตั้งใจค้นหาให้ชัดเจน

“ฮ่องเต้หญิง” ทันใดนั้น หวงฝู่ฮ่วนก็เดินมาทางเจียงหลี

เจียงหลีปล่อยมือลงเงียบๆ เงยหน้ามองชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่เดินมาหานาง

ตามสถานะของหวงฝู่ฮ่วน หากพูดว่าเขาเป็นผู้ชายที่สูงส่งที่สุดของรุ่นเยาว์ในหลินชวนก็ไม่ถือว่าเกินไป หากเปลี่ยนเป็นเวลาหรือโอกาสอื่น ไม่แน่เจียงหลีอาจจะไว้หน้าเขาสักหน่อย

แต่ว่า ในตอนนี้ความกังวลในใจของนางยังไม่ได้รับการแก้ไข ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจพูดคุยเล่นลิ้นเรื่องความรักกับหวงฝู่ฮ่วนอีก

“ฮ่องเต้เจียง การแข่งขันรอบที่สอบจบลงแล้ว ต่อไปนั้นจะพักสามวัน ไม่ทราบว่าภายในสามวันนี้ฮ่องเต้หญิงมีแผนการอะไรบ้างหรือไม่?” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยอย่างกระตือรือร้น

ดูเหมือนว่าหลังจากคำสารภาพของเขาแล้ว คำพูดและพฤติกรรมของเขาก็เปลี่ยนเป็นใจกล้าและตรงไปตรงมามากขึ้น

เจียงหลียิ้มเยาะ “ขออภัยด้วยองค์รัชทายาท ชิงเกอสุดที่รักของข้าเพิ่งจะออกจากกรง สามวันนี้ข้าจะต้องคอยอยู่ข้างกายเขา ไม่อยากไปไหน”

“เช่นนี้เอง…” หวงฝู่ฮ่วนไม่ได้รู้สึกแปลกใจไปกับคำพูดของเจียงหลีและเขาก็ไม่ได้โกรธ ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้เช่นเดิม แล้วเอ่ยกับเจียงหลีว่า “เช่นนั้น ข้าก็จะไม่รบกวนแล้ว รอฮ่องเต้หญิงมีเวลาว่าง ข้าค่อยจะเชิญท่าน”

พูดแล้วเขาก็หันกายจากไป ไม่ได้ทำตัวไร้สาระ ความใจกว้างนี้ทำให้คนรู้สึกนับถือ

หลังจากใช้สายตาส่งหวงฝู่ฮ่วนจากไปแล้ว เจียงหลีก็ออกจากหุบเขาที่ใช้ประลอง นางไม่ได้กลับไปเรือนรับรองของตนเอง แต่กลับไปที่เรือนรับรองของแคว้นระดับสาม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!