ตอนที่ 191-1
มู่ชิงเกอ ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว
“ใคร!”
ทันใดนั้นมีคนส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ
มู่ชิงเกอและคนอื่นๆ หันสายตากลับมาพร้อมกัน ทันใดนั้นก็พบว่าด้านข้างขบวนของพวกเขา จู่ๆ ก็มีคนอีกคู่หนึ่งเพิ่มขึ้นมาโดยไม่คาดคิด
ทั้งสองฝ่ายที่เผชิญหน้ากัน พวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความระแวดระวัง
แต่ว่าหลังจากที่พวกเขาพิจารณาลักษณะท่าทีของกันและกันแล้ว กลับพากันตกตะลึง
“คุณชาย!”
จู่ๆ ก็มีเสียงร้องออกมาด้วยความตกตะลึงจากในกลุ่มคนขบวนนั้น
ส่วนฝั่งนี้ตัวมู่ชิงเกอก็จำได้ว่าผู้ที่มาคือผู้ใด
แท้จริงแล้วคนที่จู่ๆ โผล่ขึ้นมานี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นทหารองครักษ์เขี้ยวมังกรที่เหลือ ทั้งยังมีคนที่กระจัดกระจายของแคว้นลี่กับแคว้นอวี๋ด้วย
“องค์ชายสี่!”
“องค์รัชทายาท!”
เมื่อเห็นหัวใจหลักของตนเองแล้ว คนของแคว้นลี่กับแคว้นอวี๋ต่างก็กระบอกตาร้อนผ่าวน้ำตาคลอขึ้นมาทันใด
ต่างก็ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ผู้คนที่หายไปสุดท้ายจะได้มารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง อยู่กันครบถ้วนไม่ตกหล่นหายไปเลยสักคน
มู่ชิงเกอกวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าบรรดาทหารองครักษ์เขี้ยวมังกรของนางปลอดภัยดีไม่ได้รับอันตราย ก็พยักหน้าลงแทบไม่สังเกตเห็น เอ่ยขึ้นเสียงทุ้มว่า “องครักษ์เขี้ยวมังกรประจำที่!”
เมื่อมีคำสั่งลงมา องครักษ์เขี้ยวมังกรกว่าร้อยนายก็ทยอยเดินออกมาจากขบวนเดิม เดินไปอยู่ด้านหลังมู่ชิงเกอ
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็ต่างก็สั่งความให้ขบวนคนอีกสองสายรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
เจียงหลีมององครักษ์เขี้ยวมังกรของมู่ชิงเกอด้วยสายตาชื่นชม ท่าทีฉายชัดถึงความหลงใหลนั่น ก็ราวกับชายบริสุทธิ์ที่ครองตัวเป็นโสดหลายสิบปี จู่ๆ ก็พบกับโฉมงามมีเสน่ห์เย้ายวนราวบุปผาบานสะพรั่งอย่างไรอย่างนั้น
ฮ่องเต้เจียงผู้ซึ่งไม่สนใจความคิดเห็นของผู้คนรอบข้าง จ้องมองจนทหารองครักษ์เขี้ยวมังกรที่องอาจกล้าหาญ ใบหน้าเห่อร้อนหน้าตากระอักกระอ่วน
“เชอะ เชอะ ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ นะเนี่ย องครักษ์เขี้ยวมังกรของเจ้าฝึกมาอย่างไรกันแน่? รอให้ออกไปแล้ว เจ้าต้องบอกข้ามาโดยละเอียดนะ รอให้ข้ากลับแคว้นกู่วู่ข้าก็จะสร้างองครักษ์ประจำตัวที่ดุดันน่าเกรงขามเช่นนี้!” เจียงหลีมองมู่ชิงเกอด้วยความอิจฉา
จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยต่างพากันหูผึ่ง ตั้งใจฟัง
มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้นเนิบๆ ว่า “องครักษ์เขี้ยวมังกรของข้าไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ทุกคนต่างเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง!”
คำว่า ‘ลอกเลียนแบบ’ในคำพูดของนาง แม้จะทำให้ผู้คนไม่คุ้นเคย แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก โดยเฉพาะครึ่งประโยคหลังเมื่อพูดจบ ทันใดนั้นก็ทำให้องครักษ์เขี้ยว มังกรกว่าสามร้อยนายอดไม่ได้ที่จะยืดอกหลังตรงขึ้นมา บนใบหน้าสุขุมเยือกเย็นและดุดันเหล่านั้นฉายแววทะนงตนขึ้นมานิดหนึ่ง
อืม ในหัวใจของคุณชายพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง!
เจียงหลีเบะปากด้วยความอิจฉา พึมพำออกมาประโยคหนึ่งว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าจะไม่สามารถฝึกฝนกลุ่มองครักษ์ประจำตัวที่เก่งกาจเช่นนี้ได้!”
การแสดงออกของนางทำเอามู่ชิงเกอเผยรอยยิ้ม
เจียงหลีต้องการรู้วิธีการฝึกฝนของนางไม่ใช่เรื่องยากอะไร รอให้จบงานชุมนุมใหญ่หลินชวนเสียก่อน นางนำจุดสำคัญในการฝึกฝนบอกนางไปก็ได้แล้ว
“ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปดูในสุสานเทวะกัน” มู่ชิงเกอมองซากปรักหักพังของเมืองที่อยู่ด้านหน้าแล้วเอ่ยบอกกับทุกคน
“คุณชาย ก่อนหน้านี้พวกเราหาแผ่นป้ายเจอสิบอันขอรับ” ก่อนออกเดินทาง องครักษ์เขี้ยวมังกรก็ส่งแผ่นป้ายให้ถึงมือมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอลูบเชือกของแผ่นป้ายแล้วเอ่ยบอกกับจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยว่า “แบบนี้ก็เท่ากับว่าตอนนี้เรามีแผ่นป้ายยี่สิบหกอันแล้ว ขอเพียงสุดท้ายแล้วจำนวนแผ่นป้ายของเรามีมากที่สุด เช่นนั้นก็ชนะใสๆ”
เมื่อเก็บป้ายเรียบร้อยแล้ว คนกว่าร้อยก็เข้าไปในสุสานเทวะ
ขณะเดินอยู่ในซากกำแพงที่ผุพัง เท้าที่เหยียบลงบนเศษหินเกิดเป็นเสียงแตกหักไม่ขาดสาย
สุสานเทวะแห่งนี้กว้างขวางมาก เดินมาได้ไม่นานคนกว่าร้อยก็แยกย้ายกันไป ต่างคนต่างหาอยู่ในซากปรักหักพังของเมือง
เจียงหลียังคงติดตามอยู่ข้างหลังมู่ชิงเกอ จุดหมายสำคัญของนางไม่ใช่การหาแผ่นป้ายแต่เป็นการปกป้องมู่ชิงเกอ
ต่อให้มู่ชิงเกอไม่ต้องการก็ตาม
นางโค้งตัวลงเก็บก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน วางบนมือชั่งนํ้าหนักดูคร่าวๆ ความรู้สึกหนักอึ้งนั้นทำให้นางขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอและเอ่ยขึ้นว่า “คล้ายกับว่าก้อนหินที่นี่จะหนักกว่าก้อนหินทั่วไปอยู่มาก”
เวลานี้มู่ชิงเกอกำลังจดจ่ออยู่กับผนังหักพังด้านหนึ่ง บนผนังนนมีร่องรอยการต่อสู้ทิ้งรอยกรงเล็บฝังลึกอยู่บนผนังหลายรอยด้วยกันไม่รู้ว่ารอยกรงเล็บนี่อยู่มากี่ปีแล้ว แต่ว่ายังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอความโกรธเกรี้ยวรุนแรง ยังมีความดุดันเฉียบขาดตอนที่กางกรงเล็บในตอนนั้นด้วย
มู่ชิงเกอยื่นมือออกไป ใช้นิ้วมือลูบไปบนรอยกรงเล็บนั้นแผ่วเบา
ได้ยินคำพูดของเจียงหลีก็เอ่ยสำทับขึ้นว่า “ไม่เพียงแต่นํ้าหนักมาก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติแข็งแรงทนทาน ยุทธภัณฑ์ชั้นจิตวิญญาณทั่วไปไม่มีทางทิ้งร่องรอยไว้ บนนี้ แต่ว่ากลับมีสัตว์อสูรทิ้งร่องรอยไว้ลึกเพียงนี้”
ทันใดนั้นนางก็ชักมือตัวเองกลับมา มองดูฝุ่นผงละเอียดที่ติดอยู่บนมือ สายตาครุ่นคิด เจียงหลีทิ้งก้อนหินที่อยู่ในมือ เดินตรงเข้ามาหานาง
สายตาของนางหยุดลงที่กำแพงหักพังด้านที่อยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ เพียงแค่กวาดตามองนิดหนึ่งก่อนจะมองหน้ามู่ชิงเกอ เห็นท่าทางกำลังครุ่นคิดของนางก็เลิกคิ้วถามขึ้นมาว่า “เป็นอะไรไป?”
มู่ชิงเกอเงยหน้าสายตาสงบนิ่ง นางนำนิ้วมือตนเองยื่นไปตรงหน้าเจียงหลี
เจียงหลีก้มลงมองด้วยความประหลาดใจ ดวงตาสีทองค่อยๆ เกร็งเขม็ง นางเห็นว่าบนนิ้วมือของมู่ชิงเกอเปื้อนผงที่เรืองแสงออกมา สะท้อนกับแสงอาทิตย์ระยิบระยับสะดุดตา
“นี่คืออะไร!” เจียงหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย
มู่ชิงเกอค่อยๆ ชักมือกลับ “หินเหล่านี้เต็มไปด้วยแร่ธาตุชนิดต่างๆ ข้าสัมผัสได้ว่ามันซ่อนพลังที่แข็งแกร่งเอาไว้ เพียงแต่เพราะเวลาล่วงเลยมานานดังนั้นจึงกลายเป็นว่าไม่สามารถพบได้โดยง่าย”
บนตัวนางมีสายเลือดของผู้หลอมอาวุธ ความสามารถในการหยั่งรู้แร่ธาตุต่างๆ ก็ราวกับฟ้าบันดาล ตอนที่นางสัมผัสกำแพงหักพังนั้นก็รู้สึกได้ว่ามีพลังแฝงอยู่
“ก้อนหินที่มีพลังจิต?” เจียงหลีเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
นางมองกำแพงหักพังที่อยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกออีกครั้ง ครั้งนี้สายตานางไม่ได้มองผ่านๆ อีกแล้ว แต่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ข้าเคยเห็นในหนังสือโบราณของแคว้นกู่วู่ มีก้อนหินที่มีพลังในตัวมันเอง ได้รับการขนานนามว่า ศิลาวิญญาณ สามารถให้คนดึงพลังจิตข้างในออกมาใช้ หรือว่าจะเป็นประเภทที่อยู่ตรงหน้าพวกเรานี้?”
“ศิลาวิญญาณ?” มู่ชิงเกอเอ่ยพึมพำออกมาหนึ่งประโยค ปลายนิ้วนางถูเบาๆ บนฝุ่นผงเหล่านั้น คู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงพลังจิตที่ทิ้งไว้บนนั้นถูกดึงดูดเข้าไปในผิวหนังของนาง กลายเป็นพลังบริสุทธิ์หลอมเข้ากับจุดตันเถียนของนาง แววตาของนางเป็นประกาย ในใจเห็นด้วยกับคำพูดของเจียงหลี
“สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่เช่นไรกันแน่? คิดไม่ถึงว่าจะมั่งคั่งขนาดนำศิลาวิญญาณมาเป็นวัสดุในการก่อสร้าง” มู่ชิงเกอมองไปรอบๆ เวลานี้ความสนใจของนางไม่ได้อยู่ ที่การหาแผ่นป้ายแล้วหากแต่เป็นความสงสัยในสถานที่แห่งนี้
ที่นางสงสัยไปกว่านั้นคือ ช่องว่างแห่งการทดสอบนี้ซือมั่วไปเอามาจากไหนกันแน่?
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ได้ยินเสียงร้องคำรามขึ้นข้างหู
เสียงไม่ดังมากแต่ว่ากระจายออกไปไกลมาก ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็หันมามองยังที่ซึ่งพวกนางยืนอยู่ หลังจากเห็นว่าทั้งสองปลอดภัยดีก็ถอนสายตากลับมา ขะมักเขม้นกับการหาของตัวเองต่อไป
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วมองไปทางเจียงหลี เสียงเมื่อครู่นี้เป็นเจียงหลีที่ทำขึ้นมาเอง หญิงสาวผู้นี้จู่ๆ ก็กลายร่างเป็นสัตว์อสูรฟาดฝ่ามือลงบนกำแพงหักพังนั้นหนึ่งที จากนั้นก็กลับสู่สภาพเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากฝุ่นละอองบนกำแพงหักพังนั้นจางหายไป ดวงตาของเจียงหลีก็หดเล็กลงเปี่ยมไปด้วยความตื่นตระหนก
นางชี้ไปยังบริเวณที่ถูกนางโจมตีไปเมื่อครู่นี้แล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “เมื่อครู่นี้ข้าใช้แรงไปเกือบเก้าส่วน อีกทั้งรวมพละกำลังเป็นสายเดียวโจมตีเข้าไป คิดไม่ถึงว่าจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย?”
มู่ชิงเกอราวกับว่าเข้าใจความคิดของเจียงหลี
นางมองไปยังบริเวณที่เจียงหลีโจมตีไปเมื่อครู่ บริเวณนั้นมีร่องรอยของเก่าอยู่แต่ไม่พบร่องรอยของใหม่ แววตาทั้งคู่ของนางหดเกร็ง สบสายตากับเจียงหลีเอ่ยขึ้น พร้อมกันว่า “เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว สัตว์อสูรที่ทิ้งร่องรอยนี้ไว้จะต้องแข็งแกร่งเหนือใคร!”
การค้นพบนี้ทำให้มู่ชิงเกอและเจียงหลีลอบระแวดระวังขึ้นมา
สามารถทิ้งร่องลึกไว้บนกำแพงนี้ได้ ความแข็งแรงของสัตว์อสูรตัวนี้ราวกับเกินกว่าที่ทุกคนจะรู้จัก ที่สำคัญคือไม่มีใครรู้ว่ารอยนี้ทำไว้ตั้งแต่เมื่อไร สัตว์อสูรที่ ฝากรอยกรงเล็บนี้ไว้จะวนเวียนอยู่แถวนี้หรือไม่ มู่ชิงเกอกดการคาดเดาในใจของตนเองไว้ เอ่ยกับเจียงหลีน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หาให้ทั่ว”
เจียงหลีพยักหน้าแยกกับมู่ชิงเกอ เริ่มการค้นหา
สิ่งที่พวกนางตามหาไม่ใช่แผ่นป้าย แต่เป็นร่องรอยที่คล้ายกับรอยกรงเล็บก่อนหน้านี้
เพียงไม่นานพวกนางก็ค้นพบ แทบจะทุกทางบนกำแพงนั้นต่างก็มีรอยกรงเล็บเยอะบ้างน้อยบ้าง ที่สำคัญคือที่มาของรอยกรงเล็บเหล่านี้ราวกับว่าไม่ใช่สัตว์อสูรชนิดเดียวกัน
เพียงตัดสินจากซากปรักหักพังฝั่งนี้ที่รายรอบพวกนาง ก็มีถึงหกเจ็ดชนิดที่ต่างกัน แต่มีรอยกรงเล็บที่ใหญ่พอๆกัน
เบาะแสที่ค้นพบราวกับเผยเรื่องจริงแก่พวกนางเรื่องหนึ่ง
“หรือว่าเมืองนี้ถูกทำลายโดยฝูงสัตว์อสูร?” เจียงหลีเอ่ยสิ่งที่คาดเดาอยู่ในใจออกมา
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบไม่ทันได้สังเกต “ความเป็นไปได้นี้มีมาก ที่แห่งนี้ทิ้งร่อยรอยการต่อสู้ มีจำพวกสัตว์ค่อนข้างมาก ถ้าไม่ใช่ว่าเจอการโจมตีของสัตว์อสูร ก็ต้องมีคนคอยควบคุมอยู่เบื้องหลัง”
การล่มสลายของเมืองไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งที่ทั้งสองคนเป็นกังวลจริงๆ คือ สัตว์อสูรเหล่านั้นที่โจมตีเมืองยังหลงเหลืออยู่หรือไม่
“พวกเราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นใช่ไหม?” เจียงหลีส่งยิ้มขื่นๆ มองมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอส่งเสียง ‘อืม’ เอ่ยปลอบขึ้นว่า “ดวงของข้าน่าจะยังไม่เลว”
เจียงหลีสูดลมหายใจ เอ่ยกับนางว่า “อย่างไรก็บอกให้พวกเราสังเกตสถานการณ์โดยรอบรีบกระชับเวลาหาแผ่นป้าย จากนั้นออกไปจากที่นี่จึงจะปลอดภัย ข้าไม่ อยากถูกสัตว์อสูรแข็งแรงรังแกนะ”
“ข้าก็เช่นกัน” มู่ชิงเกอพูดจบก็ถ่ายทอดเบาะแสที่ค้นพบออกไป