ตอนที่ 191-2
มู่ชิงเกอ ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว
เมื่อรู้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยมีสงครามอันดุเดือดระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรอีกทั้งยังไม่แน่ใจว่าสัตว์ปีศาจที่ล่มเมืองยังหลงเหลืออยู่หรือไม่ จิตใจของทุกคนก็พากันตื่นตัวขึ้นมา เร่งฝีเท้าในการเสาะหาอย่างเงียบๆ
“สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยหรอกหรือ?” จ้าวหนานซิงเดินเข้ามาหยุดลงข้างกายมู่ชิงเกอ ส่งแผ่นป้ายที่หาเจอในซากปรักหักพังเมื่อครู่นี้ให้มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอรับแผ่นป้ายมา เอ่ยขึ้นเนิบๆ ว่า “ปลอดภัยเป็นเพียงแค่คำพูด ตรงกันข้าม หุบเหวมารโลหิตกับป่าต้นอู๋ถงก็เป็นสถานที่ปลอดภัยเช่นกัน แต่หากแข็งแกร่งไม่ พอหรือว่าโชคร้ายก็เป็นไปได้ที่จะสังเวยชีวิตเช่นกัน”
จ้าวหนานซิงหวนคิดเรื่องราวที่ประสบมาก่อนหน้า เป็นเช่นนี้จริงๆ
เขาพยักหน้าหมุนกายเดินจากไป เริ่มต้นเสาะหาต่ออีกครั้ง
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนก้อนหินที่หล่นลงมาของซากปรักหักพัง จับจ้องไปยังเจดีย์สูงที่อยู่ใจกลางเมือง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเราลองไปที่เจดีย์ตรงกลางนั้นดู”
เจียงหลีไม่ได้คิดแย้ง เดินตามมู่ชิงเกอไปยังเจดีย์สูง
เข้าไปใกล้เรื่อยๆ พวกนางจึงได้ค้นพบว่าเจดีย์สูงนี่สูงและใหญ่กว่าที่พวกนางคิดเอาไว้มาก
ตัวอาคารเรียวสูงตั้งตรง สูงเสียดฟ้าหายไปในม่านเมฆ มีความสูงถึงร้อยจ้าง
อีกอย่างบริเวณรอบๆ เจดีย์ทรงสูงยอดแหลม ยังมีจุดสังเกตการณ์เป็นจำนวนไม่น้อย เพียงแต่ถูกทำลาย ความโอ่อ่าสง่างามเหลือเพียงร่องรอยอยู่บ้าง ด้านล่างสุด ขนาดพื้นที่ที่เจดีย์ครอบคลุมอยู่ก็มีถึงพันไร่
มู่ชิงเกอยืนอยู่ด้านล่างเจดีย์ แหงนหน้ามองบนตัวเจดีย์
จากจุดที่นางยืนอยู่นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีทางเห็นยอดเจดีย์ นางกระซิบกระซาบขึ้นว่า “เดิมทีข้านึกว่าเจดีย์แห่งนี้จะเป็นสัญลักษณ์ของเมือง สัญลักษณ์สิ่งปลูกสร้าง แต่พอเดินเข้ามาใกล้ๆ ถึงได้พบว่ามันน่าจะเป็นที่อาศัยของผู้มีอำนาจในตอนนั้นด้วย ยืนอยู่บนยอดเจดีย์น่าจะสามารถมองภาพตัวเมืองที่เขาก่อร่างทั้งหมดจากที่สูง”
“เจดีย์สูงนี่ผ่านสงครามใหญ่มาได้โดยไม่ถล่มลง มันมีความแข็งแกร่งทนทาน แน่นอนว่าแข็งแกร่งกว่าสิ่งปลูกสร้างด้านนอก” เจียงหลีเอ่ยขึ้นบ้าง
มู่ชิงเกอพยักหน้า นางเอ่ยกับเจียงหลีว่า “ไปกันเถอะ เข้าไปดูข้างในกัน”
ทั้งสองเดินเข้าไปตรงประตูทางเข้าของเจดีย์สูง
ประตูใหญ่ที่เคยตระหง่านบัดนี้เหลือเพียงกรอบประตู
ทั้งสองเข้าไปด้านในราวกับว่ายืนอยู่ท่ามกลางพระตำหนักที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง พระตำหนักเป็นวงกลมม้วนขึ้นไป สามารถบรรจุคนได้ไม่ระบุจำนวน ส่วนบนยอดนั้นราวกับทะลุถึงบนขอบฟ้า สามารถมองเห็นสีสันบนท้องฟ้า
ท้นใดนั้นทั้งสองก็พากันสั่นไปทั้งร่าง จิตใต้สำนึกสั่งให้มองกันและกัน ต่างมองเห็นแววตาตื่นตระหนกของแต่ละคน
“ไอจิตวิญญาณที่นี่มีมากมายนัก!” เจียงหลีเอ่ยขึ้นด้วยความตระหนก
มู่ชิงเกอใช้สายตาหยุดลงบนกำแพง เอ่ยขึ้นว่า “เกรงว่าเพราะความสามารถของก้อนหินเหล่านี้ ก้อนหินปลูกสร้างของที่นี่แฝงพลังจิตเอาไว้ แข็งแรงกว่าด้านนอกไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร”
มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากเอ่ยกับเจียงหลีว่า “ข้ารู้สึกว่านี่ก็คือของดีที่สมควรเก็บไปมากๆ”
เจียงหลีกลอกตา เอ่ยถามว่า “เจ้ามีความคิดชั่วร้ายอะไร?”
มู่ชิงเกอยกยิ้มมุมปากหัวเราะขึ้นมา “ก้อนหินที่เต็มไปพลังจิตเหล่านี้ในตอนที่พลังจิตแห้งเหือดหมดไป การดึงดูดพลังก็ดีกว่าโอสถฟื้นฟูพลังจิตไม่รู้กี่เท่า อีกทั้งหากฝึกพลังในสถานที่เช่นนี้ ก็สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีกว่า เปลืองแรงน้อยแต่ได้รับผลมาก ความคิดของข้านั้นง่ายมาก ปล่อยพวกมันทิ้งไว้ที่นี่เสียดายแย่ ไม่สู้ข้าเก็บพวกมัน…”
ครืน ครืน ครืน !
มู่ชิงเกอยังพูดไม่ทันจบ พื้นด้านล่างก็เกิดการสั่นสะเทือนไม่ขาดสาย ราวกับมีกองกำลังจำนวนมหาศาล กระโจนผ่านมาทางนี้ มุ่งมาทางทิศทางที่พวกเขาอยู่ มู่ชิงเกอหยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้ มองบริเวณพื้นใต้เท้าตนเองที่สั่นไหวไม่หยุดยั้งพร้อมกับเจียงหลี
พวกนางออกมาจากเจดีย์สูงในทันใดยืนอยู่บนแท่นยกสูงด้านนอกตัวเจดีย์ถึงได้ค้นพบว่าสุสานเทวะแห่งนี้กำลังสั่นสะเทือน พวกจ้าวหนานซิงต่างก็ยืนอยู่ที่เดิม ด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด มองทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันด้วยความไม่คาดคิด
“เป็นแผ่นดินไหว? หรือว่าอะไรกัน?” เจียงหลีเอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
มู่ชิงเกอกลับสายตาสุขุม ตะโกนบอกคนที่เหลือว่า “ทุกคนมารวมตัวกันทางเจดีย์สูงเร็วเข้า!”
เสียงของนางราวกับแสงนำทางให้กับเรือที่หลงทางท่ามกลางมหาสมุทร
ไร้ซึ่งความลังเลใดๆ ผู้ที่ขยับตัวก่อนเป็นองครักษ์เขี้ยวมังกรของนาง จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยก็พาคนของตนเองตามมาติดๆ มองดูเงาคนที่ขยับใกล้เข้ามาทางตนเองอย่างไม่ขาดสาย ดวงตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอทอประกายสุขุม เอ่ย อธิบายกับเจียงหลีว่า “ไม่ว่าเป็นอะไร แต่เจดีย์สูงนี้สามารถตั้งตระหง่านไม่ล้มก็สามารถอธิบายได้ว่ามันปลอดภัย พวกเราอยู่กันในนี้ย่อมปลอดภัยกว่าอยู่ข้าง นอก”
เจียงหลีกระจ่างแจ้งขึ้นในทันใด เวลาเดียวกันก็มองมู่ชิงเกอด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง ในใจรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง โดยทั่วไปในเหตุการณ์ลักษณะนี้ ปฏิกิริยาของทุกคน ควรจะเป็นการครุ่นคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? มู่ชิงเกอกลับสามารถหาวิธีรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้อย่างรวดเร็ว
ความสามารถในการตอบโต้ของนาง ทำให้เจียงหลีรู้สึกละอายใจในความอ่อนด้อยของตนเอง
ภายในเวลาอันรวดเร็ว ทุกคนก็มาถึงบนแท่นยกสูง
มู่ชิงเกอพาพวกเขาเข้าไปในเจดีย์สูง ไม่เกินความคาดหมายที่พวกเขาจะถูกพลังจิตที่อบอวลอยู่ในสถานที่แห่งนี้พาให้ตะลึง
ไม่ทันได้คิดให้รอบคอบ เสียงราวกองกำลังจำนวนมากจากด้านนอกก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
มู่ชิงเกอเดินมาข้างหน้าต่างมองไปด้านนอก คนที่เหลือก็พากันทำตาม
เมื่อทุกคนต่างก็ยืนอยู่ตรงหน้าต่างและมองออกไปด้านนอก ก็เกิดฉากสยองขวัญฉากหนึ่ง…
มีสัตว์อสูรฝูงหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน มุ่งมาทางสุสานเทวะด้วยความโหดเหี้ยมดุร้าย ที่น่าแปลกประหลาดก็คือสัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง แต่เป็นภาพมายา
กำแพงหักพังสภาพยับเยินที่อยู่เบื้องหน้า เมืองที่ถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังก็กลับคืนสภาพเดิมอย่างรวดเร็ว เงาคนไม่ทราบจำนวนออกมาจากสิ่งปลูกสร้างนั้นเข้าโรมรันต่อสู้กับสัตว์ปีศาจเหล่านั้น
ในสายตาของพวกมู่ชิงเกอ ราวกับว่าเห็นภาพสงครามอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วสงครามหนึ่ง การแต่งกายของมนุษย์ที่ทำสงครามกับสัตว์อสูรเหล่า นั้น เก่าแก่โบราณจนพวกเขาไม่สามารถมองออกและจำได้ รูปร่างหน้าตาของสัตว์อสูรเหล่านั้นก็แสนดุร้าย ตัวใหญ่โตมหึมา เมื่อนำสัตว์ปัจจุบันมาเทียบกับพวกมันแล้ว เป็นเพียงแค่แมวเหมียวแสนอ่อนโยนฝูงหนึ่ง ก้าวข้ามขอบเขตของเวลาและมิติ พวกมู่ชิงเกอมองเห็นสงครามในวันนั้นด้วยสายตาตนเอง
เวลานี้ไม่มีผู้ใดไปคิดว่าเหตุใดจึงมีเพียงเจดีย์สูงที่พวกเขายืนอยู่ที่ไม่ได้กลับไปอยู่ในภาพมายา ล้วนแต่พากันถูกสงครามอันดุเดือดดึงดูดเอาไว้
“สิ่งของอะไรกันที่บันทึกสงครามที่เคยเกิดขึ้นเอาไว้?” เจียงหลีกระซิบขึ้น
มู่ชิงเกอขบริมฝีปากแน่นไม่เอ่ยวาจา นางรู้สึกว่านี่ไม่ใช่บันทึกธรรมดาที่จะปล่อยออกมาง่ายดายเพียงนั้น มิฉะนั้นพวกนางก็ไม่ควรรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของการกระโจนเข้ามาของหมื่นอสูรหรอก ภาพมายานี้มาเร็วไปเร็วเช่นกัน
แต่ว่าผ่านไปเพียงชั่วครู่หนึ่ง ภาพมายาระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรเหล่านั้นก็หายไป ตัวเมืองก็คืนสู่สภาพเดิมที่แตกหักพังทลาย ผู้คนในเจดีย์สูงต่างพากันตกใจ ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เหงื่อเปียกโทรมกาย
ความรู้สึกเสมือนจริงราวกับพวกเขาเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น ราวกับผู้ที่ถูกสัตว์อสูรซัดมาหนึ่งฉาดจนเละเป็นตัวพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
“จบหรือยัง?” เจียงหลีปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผากออกเอ่ยกระซิบกระซาบ
มู่ชิงเกอดึงสายตากลับมา หมุนตัวมาพูดกับทุกคนว่า “ตอนนี้พักผ่อนที่นี่สักพัก”
ทุกคนไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน หลังจากพบภาพมายาเมื่อครู่นี้ก็ต้องการการพักผ่อนให้จิตใจสงบลงสักหน่อย ชั้นล่างของเจดีย์สูงมีพื้นที่ว่างกว้างมาก ทุกคนกระจายตัวกันนั่งพัก ดูไม่เบียดเสียด จวบจนพวกเขาพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มู่ชิงเกอก็ออกคำ สั่งให้ทหารองครักษ์แงะก้อนหินที่อยู่บนกำแพงลงมากองไว้ด้วยกัน
เจียงหลีมองดูกองหินที่ถูกกองเป็นภูเขาหยกขาวลูกหนึ่งบนพื้น เอ่ยขึ้นอย่างอึ้งๆ ว่า “เจ้าก็เอาจริงเอาจังเพียงนั้นเชียวหรือ?”
มู่ชิงเกอกลับเอ่ยขึ้นนิ่งๆ ว่า “ข้าจนมาก ของดีๆ ถึงเพียงนี้จะพลาดได้อย่างไร? อีกอย่างที่นี่มีอยู่มากมายเพียงนั้น ข้าเอากลับไปสักเล็กน้อยจะเป็นอะไรไป?”
เจียงหลีส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เมื่อมีประสบการณ์มาก่อนหน้านี้ ผู้คนก็ยึดเอาเจดีย์สูงนี่เป็นฐานทัพ พักผ่อนเสร็จแล้วก็ออกไปหาแผ่นป้ายต่อ เหนื่อยแล้วก็กลับมาช่วยมู่ชิงเกอแงะศิลาวิญญาณ แงะแล้วแงะอีกกระทั่งพลังจิตต่างก็ฟื้นฟู
พอพวกเขาทราบประโยชน์ของศิลาวิญญาณแล้วก็เริ่มแงะให้ตนเองบ้าง
ในจุดนี้มู่ชิงเกอไม่ได้คัดค้าน สิ่งของในสถานที่แห่งนี้เดิมทีก็ไม่ใช่ของนาง ตัวนางเองก็ไม่สามารถพกออกไปได้มาก คนอื่นอยากได้ก็เอาไป
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กำแพงบริเวณชั้นล่างก็กลายสภาพเป็นหลุมบ่อ ศิลาวิญญาณที่ถูกแงะออกมาเหล่านั้นกองอยู่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอ มีนับแสนชิ้น
องครักษ์เขี้ยวมังกรก็เริ่มขึ้นไปเริ่มแงะบริเวณชั้นสองต่อ หลังจากประสบกับภาพมายาของฝูงสัตว์แล้ว จำนวนศิลาวิญญาณของมู่ชิงเกอก็สะสมได้ถึงมากกว่าสอง แสนห้าหมื่นชิ้น
ส่วนแผ่นป้ายที่พวกเขาเสาะหามาได้ก็มีสูงถึงสี่สิบสองอัน
ก็หมายความว่า พวกเขาหาแผ่นป้ายในสุสานเทวะได้สิบหกแผ่นป้าย!
และก็หมายความว่า ตอนนี้ยังเหลือแผ่นป้ายอีกยี่สิบสองขึ้นในสุสานเทวะที่ไม่ถูกพวกเขาพบเจอ
“เหมือนมีคนผ่านมาด้านหน้านี้” เจียงหลีที่รับผิดชอบยืนอยู่บนเจดีย์ชั้นบนทำหน้าที่สำรวจสถานการณ์ของบริเวณโดยรอบ เอ่ยเตือนผู้ที่อยู่ด้านล่างทันควัน
มู่ชิงเกอดวงตาเป็นประกายยกมือขึ้นสะบัด ศิลาวิญญาณกว่าสองแสนห้าหมื่นชิ้นก็ถูกนางเก็บเข้าไปไว้ในช่องว่าง
ส่วนศิลาวิญญาณที่เพิ่งจะแงะลงมายังไม่ทันได้ส่งมอบให้กับมู่ชิงเกอ ก็ถูกองครักษ์เขี้ยวมังกรต่างคนต่างเก็บไว้
หลังจากจัดการร่องรอยเบาะแสหนึ่งสายแล้ว พวกเขาก็ออกไปจากเจดีย์สูง แยกย้ายกระจายออกไปรอบๆ เริ่มต้นทำงานของตนเอง อืม หาแผ่นป้าย!
มู่ชิงเกอเดินออกมาจากเจดีย์สูงยืนอยู่บนเฉลียงด้านนอก
เพียงไม่นานเจียงหลีก็ลงมาจากด้านบนเดินมาหยุดลงข้างๆ มู่ชิงเกอ เอ่ยกับนางประโยคหนึ่งว่า “เป็นพวกเฉินปี้เฉิง ในกลุ่มพวกเขานั้นดูเหมือนว่าจะมีผู้บาดเจ็บ”
มู่ชิงเกอพยักหน้าลงเล็กน้อยแทบจะไม่ทันสังเกต
ไม่นาน พวกเขาก็มองเห็นเฉินปี้เฉิงที่ยืนอยู่หน้าขบวนจริงๆ ด้านหลังของเขาควรจะมีวีรบุรุษรุ่นเยาว์ของตระกูลเฉิน ทว่าที่ทำให้มู่ชิงเกอประหลาดใจนั่นคือ คิด ไม่ถึงว่าฮวาฉินฉินตระกูลฮวาและพวกจะรวมอยู่กับเฉินปี้เฉิงได้