ตอนที่ 201-2
มานี่ อยากกินลูกกวาดก็เรียกท่านพ่อ!
เปรี้ยง!
ท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใสปลอดโปร่ง จู่ๆ ก็มีเสียงสายฟ้าฟาด
ทำให้ผู้แสวงบุญอยู่ด้านล่างเขาตำหนักหลีกงต่างก็ตระหนกจนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง
เห็นเพียงว่า ก้อนเมฆดำทะมึนรวมกลุ่มเคลื่อนไปเหนือตำหนักหลีกงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางก้อนเมฆดำนั้น
ปรากฏฟ้าแลบออกมาให้เห็นเป็นระยะ
“นี่คือเมฆาเคราะห์?” มีคนเอ่ยทาย
“มีสิ่งใดกำลังผ่านด่านเคราะห์หรือ? อีกทั้งยังอยู่ในตำหนักหลีกงด้วย?”
“ดูท่าตำหนักหลีกงคงเกิดเรื่องใหญ่เสียแล้ว”
ข้อพิพาทด้านล่างเขา ส่งผลกระทบไม่ถึงคนของตำหนักหลีกงที่อยู่บนเขา
เมื่อเมฆาเคราะห์หายไป ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าเกิดอะไรขึ้นที่ตำหนักหลีกงกันแน่
ในห้องของมู่ชิงเกอ กลิ่นหอมโอสถเข้มข้นค่อยๆ เลือนหายไปไม่เล็ดลอดออกไปแม้แต่น้อย ลืมตาทั้งสองข้าง นางสะบัดมือเก็บคืนหม้อผลาญสวรรค์มองดูโอสถเม็ดใสแวววาวในมือแล้วพ่นลมหายใจออกมา “ในที่สุดก็ปรุงโอสถระดับสมบัติออกมาได้”
“ยินดีด้วย เสี่ยวเกอเอ๋อร์” เสียงของซือมั่วดังขึ้นฉับพลัน นัยน์ตามู่ชิงเกอฉายแววประหลาดใจระคนยินดี ผุดลุกขึ้นยืน
เมื่อชุดคลุมสีขาวปรากฏขึ้นในสายตาของนาง นางก็เผยรอยยิ้มสดใสต้อนรับเขา “เจ้าออกจากการเก็บตัวแล้ว” ประโยคนี้ ที่จริงแล้วไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่านางก็จงใจพูดเช่นนี้ นางมองดูซือมั่ว เขายังคงนิ่งขรึมดุจควันเช่นเคย ให้ ความรู้สึกลึกลับทรงพลัง
ราวกับว่าบนโลกใบนี้พลังที่สามารถเอาชนะเขาได้ไม่มีหลงเหลืออยู่อีก
สำหรับคำพูดของมู่ชิงเกอ ซือมั่วให้ความร่วมมือพยักหน้ารับและเอ่ยขึ้นว่า “เพิ่งออกจากการเก็บตัวมาเมื่อวาน รู้ว่าเจ้ากำลังปรุงโอสถอยู่จึงไม่ได้รบกวน”
สายตาของเขาทอดมองไปยังโอสถระดับสมบัติที่อยู่ในมือของมู่ชิงเกอ เผยยิ้มน้อยๆ “ระดับสมบัติคุณภาพสมบูรณ์แบบ เสี่ยวเกอเอ๋อร์ช่างมีพรสวรรค์จริงๆ”
มู่ชิงเกอส่งโอสถในมือให้เขา เอ่ยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “นี่เป็นโอสถระดับสมบัติที่ข้าปรุงขึ้นเป็นครั้งแรก ขอมอบให้เจ้า”
หางคิ้วซือมั่วยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มรับโอสถมั่นมากำไว้ในมือ “เอาเถอะ ขอเพียงเป็นของที่เสี่ยวเกอเอ่อร์มอบให้ข้า ไม่ว่าจะเป็นอะไรข้าก็จะรักษาไว้เป็นอย่างดี”
“โอสถไม่ได้มีไว้ให้เก็บรักษา” มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ “โอสถระดับสมบัติเม็ดนี้ มีสรรพคุณเสริมสร้างรากฐานให้แข็งแรง หากรู้สึกไม่สบายกายหรือว่าเหนื่อยอ่อนก็กินลงไป”
“อ้อ?” นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วเป็นประกาย
สายตาที่สามารถอ่านใจคนของเขา มองแล้วมู่ชิงเกอก็ออกอาการประหม่าอยู่บ้าง
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” มู่ชิงเกอเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จับข้อมือซือมั่วท่าทีสบายๆ นิ้วมือของนางทาบอยู่บนตำแหน่งชีพจรของซือมั่วพอดิบพอดี
จูงมือเขามานั่งลงบนขอบเตียง การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำเอาซือมั่วตาเป็นประกายแต่ ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่คล้อยตามคำพูดของนางเอ่ยถามขึ้นว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์จะถามข้าเรื่องอะไรหรือ?”
“เจ้าเคยได้ยินเรื่องอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบหรือไม่?” มู่ชิงเกอฟังเสียงชีพจรพลางเอ่ยปากถาม
“อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ?” ดวงตาสีอำพันของซือมั่วฉายแววความประหลาดใจ เขาจ้องหน้ามู่ชิงเกอ หลังจากมองอยู่นานก็ยิ้มแล้วส่ายหน้า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ข้าคงต้องพูดอีกครั้งแล้วว่าเจ้าดวงดีมากจริงๆ”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
ซือมั่วยกมือขึ้นคลี่รอยย่นบริเวณหว่างคิ้วของนาง เอ่ยขึ้นด้วยความขบขัน “หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าน่าจะได้อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบมาแล้วใช่หรือไม่?”
‘ร่างกายของเขาย่ำแย่จริงๆ’ มู่ชิงเกอปล่อยมือออก เอ่ยคล้อยตามคำพูดของเขา ส่งเสียงรับคำ “อืม”
ภายในร่างกายของซือมั่ว มีโรคที่ไม่แสดงอาการมองไม่ออกในยามปกติ แต่ว่าในช่วงบางอาจจะมีผลกระทบกับการไหลเวียนพลังจิตของเขา เวลาเดียวกันก็กัดกินร่างกายของเขาอยู่
ราวกับว่าบาดแผลที่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้ทิ้งภัยแฝงเอาไว้ สามารถปะทุออกมาชั่วพริบตาเดียว
สามารถกล่าวได้ว่า ร่างกายของซือมั่วในตอนนี้เป็น เหมือนกับภูเขาไฟที่หลับใหล สามารถปะทุได้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามนี้ก็เป็นจุดเล็กๆ เพียงผิวเผินที่มู่ชิงเกอมองเห็น
ผลลัพธ์นี้มันมากเกินไปหน่อย!
ในใจของมู่ชิงเกอนิ่งงันเล็กน้อย นางจะต้องเร่งยกระดับความสามารถในการปรุงโอสถ ปรุงโอสถระดับมหาเทพให้ได้โดยเร็ววัน แก้ไขปัญหาภายในร่างกายของซือมั่ว เช่นนั้นจึงจะสามารถให้เขารับมือกับด่านเคราะห์ที่เกิดจากการฝ่าฝืนใช้วิชาต้องห้ามได้อย่างง่ายดายขึ้น
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นกังวล” ซือมั่วจับมือมู่ชิงเกอเอาไว้ เอ่ยปลอบโยนเบาๆ
ถึงกระทำของมู่ชิงเกอจะแอบซ่อนได้ดีขนาดไหน แต่เหตุใดเขาจะสัมผัสไม่ได้ว่านางกำลังประเมินสภาพร่างกายของเขาอยู่?
เขาไม่ได้ขัดขวาง แต่ก็ไม่ได้คิดปิดบังนาง
เพราะว่าเขารู้จักนิสัยใจคอของเสี่ยวเกอเอ๋อร์ดี ไม่รู้ก็ดีไป แต่ถ้ารู้แล้วยังปิดบังต่อไป เช่นนั้นเป็นไปได้ว่าจะเป็นการผลักให้นางจากไป
แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ใช่สตรีที่เติบโตมากับการต้องการการปกป้อง
มู่ชิงเกอเงยหน้าขึ้นมองเขา พบใบหน้าหล่อเหลาล่มเมืองของเขาแฝงรอยยิ้มนิ่งๆ ดวงตาสีอำพันเปี่ยมไป ด้วยรอยยิ้มเป็นนิจ
ทันใดนั้นนางก็เจ็บปวดใจ
ปิดบังซือมั่วไม่ได้อย่างสิ้นเชิง เหตุใดนางจะไม่รู้? แต่ก็อดไม่ไหวที่จะไปตรวจสอบประเมินสภาพร่างกายภายในของเขา
มู่ชิงเกอลุกขึ้นยืนใช้สองมือประคองใบหน้าเขาเอาไว้ กวาดสายตาพิจารณาไล่ไปตามเครื่องหน้าสมบูรณ์ไร้ที่ติ สุดท้ายไปตกอยู่ที่ริมฝีปากชมพูระเรื่อของเขา
ทันใดนั้นในสายตาอำพันของซือมั่วก็ปรากฏภาพใบหน้าของมู่ชิงเกอขยายใหญ่ขึ้น
ริมฝีปากอิ่มอวบพุ่มรูปกระจับประทับลงบนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของเขา
กลีบปากทั้งสี่ประกบกัน ความรู้สึกแปลกปนลึกซึ้ง อบอวลระหว่างคนทั้งสอง ซือมั่วเบิกตากว้างเล็กน้อย นี่ เป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาจุมพิตริมฝีปากเขาก่อน
มู่ชิงเกอประทับจุมพิตแนบแน่นบนริมฝีปากซือมั่วหนึ่งครั้ง
ราวกับเป็นคำสัญญา ในขณะที่ซือมั่วยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ ริมฝีปากนางก็ผละออก ดวงตากระจ่างใสของนางมองหน้าเขาอย่างตั้งใจ “ข้าจะต้องรักษาเจ้าให้ได้โปรดเชื่อข้า!”
คำพูดของมู่ชิงเกอ สลักแน่นอยู่ในกันบึ้งของหัวใจของซือมั่ว
ความรู้สึกที่มีคนใส่ใจก่อตัวขึ้นช้าๆ มุมปากซือมั่วยกขึ้นเบาๆ โอบกอดเอวมู่ชิงเกออย่างรวดเร็วลุกขึ้นยืน
ความกะทันหันที่เกิดขึ้นทำให้มู่ชิงเกอตกใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน
ซือมั่วกอดมู่ชิงเกอหมุนตัวในห้องสองรอบ เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับนาง นัยน์ตาฉายชัดไม่มีสิ่งใดเจือปน เอ่ยขึ้นว่า “ได้ ข้าจะรอเจ้า”
มู่ชิงเกอฉีกยิ้ม หัวเราะออกมา
ดีใจเพราะความเชื่อมั่นของซือมั่ว
โรคเรื้อรังภายในร่างกายของซือมั่วยังคงมีอยู่ นี่แสดงว่าในบรรดาผู้คนที่เขารู้จักยังไม่มีผู้ใดปรุงโอสถระดับมหาเทพออกมาได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงอาศัยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาระงับ ในเมื่อพึ่งพาผู้อี่นไม่ได้ ก็พึ่งพานางแล้วกัน!
รอยยิ้มของมู่ชิงเกอ ทำเอาซือมั่วตะลึง
มู่ชิงเกอเองก็เช่นกัน
ศีรษะของทั้งคู่เลื่อนเข้าหากันช้าๆ หน้าผากแนบชิดกัน ลมหายใจรินรด
ดวงตากระจ่างใสของมู่ชิงเกอคลอสีสันสวยงาม รอยยิ้มนุ่มนวลอ่อนหวาน จูบจู่โจมไปที่ริมฝีปากของซือมั่ว ครั้งนี้พวกเขาจุมพิตกันเชื่องช้าเนิ่นนาน ดื่มดํ่ากับความบริสุทธิ์และความหวานลํ้า ไร้สิ่งใดเจือปน
จนกระทั่งลมหายใจในช่องท้องถูกสูบออกไปเกือบหมด ทั้งสองจึงผละออกจากกันใบหน้าของทั้งสองคนแต่งแต้มเป็นสีชมพูจางๆ
มู่ชิงเกอมองเขาแล้วหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า “เป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงหลงใหลรสชาติของเจ้า”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ซือมั่วกล่าวยิ้ม ๆ
ผละออกจากอ้อมกอดของซือมั่วแล้ว มู่ชิงเกอก็จัดเสื้อผ้าตนเองให้เข้าที่เข้าทาง คิดเรื่องเป็นการเป็นงาน
“สรุปเรื่องอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบนี่ยังไงกัน?” จูบเมื่อครู่นี้ราวกับทำให้ซือมั่วพิงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาอารมณ์ดีไขข้อข้องใจแทนมู่ชิงเกอ “ตั้งแต่โบราณมาจนปัจจุบันอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ มีเพียงตนเดียว”
เพียงซือมั่วเอ่ยปากก็ทำเอามู่ชิงเกอตระหนกตกใจ ไป๋สี่เพิ่งจะฟักตัวออกมาจากไข่ ชัดๆ … เอ๊ะ ถึงแม้ว่าการเจริญเติบโตดูเหมือนจะเร็วไปอยู่บ้าง…
ท่าทีตื่นตระหนกของมู่ชิงเกอ ทำให้ซือมั่วอารมณ์ดี เขาเอ่ยสำทับขึ้นว่า “อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบเป็นสัตว์โบราณที่ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นของยุคก่อกำเนิด สายเลือดของมันยังสามารถเทียบได้กับสัตว์เทพระดับสูงสุด เช่นสายเลือดเผ่ามังกร สายเลือดเผ่าเฟิ่งหวง รู้กันดีว่าอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบหมายถึงว่านางมีความสามารถเก่งกาจเก้าอย่างด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ อมตะ ที่เรียกว่าอมตะนั้นก็เพราะว่าเมื่ออสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบตายไป ก็จะกลับคืนสู่สภาวะเริ่มต้น ฟักตัวช้าๆ เริ่มต้นใหม่ขึ้นอีกครั้ง ส่วนความสามารถต่างๆ ของนางก็จะฟื้นคืนมาหลังการตื่นรู้ รวมถึงความทรงจำในอดีตของแต่ละชาติภพ พูดได้ว่าหากคิดจะกำจัดอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!” มู่ชิงเกอดวงตาเบิกกว้างตาค้าง
คิดไม่ถึงว่าไป๋สี่จะร้ายกาจเพียงนั้น!
ซือมั่วพยักหน้า “อืม ดังนั้นในหลายหมื่นหลายพันปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นบันทึกเล่มไหนการคงอยู่ของอสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบก็มีเพียงตนเดียว ทว่าเป็น เพียงชาติภพก่อนของนางเท่านั้น แต่อสรพิษกลืนสวรรค์เก้าบรรจบก็ไม่ควรมาปรากฏตัวในหลินชวนเช่นนี้ แต่สุดท้ายนางก็ปรากฏตัวออกมา ทั้งยังถูกเจ้าเก็บได้พร้อมกับฟักตัวอีก เจ้าว่าเจ้าเป็นผู้โชคดีจนผู้คนต่างพากันอิจฉาหรือไม่?”
ซือมั่วยิ้มด้วยความเอ็นดู
มู่ชิงเกอไม่ได้ปฏิเสธแต่กลับยกหางคิ้วขึ้น ใช้ปลายนิ้วแตะปลายคางของซือมั่ว เอ่ยกระเซ้าว่า “ได้เจ้ามาครอง ก็ทำให้ผู้คนอิจฉาแล้ว”
ซือมั่วจับมือของนางขึ้นจุมพิตเบาๆ “ได้เจ้ามาครองก็เป็นโชคดีที่สุดของข้าเช่นกัน”
มู่ชิงเกอหน้าแดง แต่ไม่ได้เผยท่าทีขวยเขินเช่นสตรีทั่วไป
ความเป็นมาของไป๋สี่นางเข้าใจดีแล้ว ค่อยรู้สึกมั่นใจขึ้นมาหน่อย
มีสัตว์อสูรเช่นนี้เป็นคู่หู ทำให้ความหวังที่นางจะเดินสู่เส้นทางแห่งผู้แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น