Skip to content

พลิกปฐพี 205-3

ตอนที่ 205-3

การพังทลายของเศษซากโบราณ ท่านอามีเรื่องมงคลแล้ว!

“เอาละ! เจ้ารู้ว่าเคล็ดวิชาเทวะคืออะไรหรือไม่?” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็คิดไปถึงบันทึกของตนเองจึงเอ่ยถาม

“เคล็ดวิชาเทวะ!” ดวงตาที่เคยเรียบเฉยของซือมั่วอยู่ดีๆ ก็หดตัวลง ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวนั้นจะเบาบางมาก แต่ก็ยังถูกมู่ชิงเกอจับได้

ภายใต้การจ้องมองของมู่ชิงเกอ ซือมั่วค่อยๆ พยักหน้า “แน่นอนว่ารู้ ในสมัยที่เทพกับมารกรำศึก มันก็เป็นเคล็ดวิชาที่ร้ายกาจที่สุดในเผ่าเทพ ตามตำนานกล่าวว่า เผ่าเทพที่ฝึกมันจะแข็งแกร่งดุจดังเทพเจ้า สามารถทลายขอบเขตฟ้าดิน เข้าไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นไปอีกได้ แต่ทว่าในเวลายาวนานก่อนหน้า ภายในศึกครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง เคล็ดวิชาเทวะก็ได้หายสาบสูญไป”

วิชาที่ร้ายกาจที่สุดในเผ่าเทพ!

มู่ชิงเกอได้ฟังแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นวิชาที่ร้ายกาจที่สุดในเผ่าเทพนี้ ตอนนี้มีหนึ่งม้วนที่อยู่กับตนเอง!

“ขอบเขตที่สูงขึ้นไปอีก จุดสิ้นสุดของมันอยู่ตรงไหนกันแน่?” มู่ชิงเกอพึมพำ

คำถามนี้ แม้แต่ซือมั่วก็ไม่อาจจะตอบได้ “ใครก็ไม่รู้ ก็เหมือนกับการขึ้นเขา จะคิดอยู่ตลอดว่าภูเขาใต้เท้านั้นสูงที่สุดแล้ว แต่เมื่อเจ้าเดินถึงยอดเขา ก็จะค้นพบว่า ใกล้เคียงนั้นยังมีภูเขาที่สูงกว่ามันอยู่อีก ถึงแม้จะมีสักวันที่ได้ยืนอยู่บนภูเขาที่สูงที่สุด แต่ระยะห่างจากฟ้าก็ยังไกลนัก”

“เคล็ดวิชาเทวะมีกี่ส่วน?” มู่ชิงเกอเอ่ย

คำถามนี้ทำให้สายตาของซือมั่วเปล่งประกาย เอ่ยตอบว่า “พูดกันว่า มีส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนล่าง ส่วนบนเป็นการฝึกร่างกาย ส่วนกลางเป็นการฝึกพลังเทพ ส่วนล่าง เป็นบัญญัติแห่งกฎเกณฑ์จุดกำเนิดของเคล็ดวิชา’’

มู่ชิงเกองงเล็กน้อย

ซือมั่วมองนาง เอ่ยต่อว่า “คนที่ได้รับส่วนหนึ่งก็ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว คนที่ได้รับสามส่วนนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน”

‘คนที่ได้รับทั้งสามส่วนนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน?’ มู่ชิงเกอลอบพูดในใจ

แต่ถึงแม้นางจะได้รับมาส่วนหนึ่ง แต่นางก็อ่านอักษรของเผ่าเทพไม่ออกอยู่ดี

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์ ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่เชื่อในโชควาสนา แต่มีบางเรื่องก็หนีไม่พ้นจากคำว่าวาสนา ของที่ควรจะเป็นของเจ้าก็จะเป็นของเจ้า หากไม่ใช่ของเจ้าก็ไม่อาจฝืนได้” อยู่ดีๆ ซือมั่วก็เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ

ประโยคนี้ทำให้มู่ชิงเกอรู้สึกสดใสขึ้นมาทันใด นัยน์ตาอันสดใสของนางวาววาบ มองไปที่ซือมั่ว “ข้ารู้แล้ว”

ผละออกจากซือมั่ว นางตัดสินใจจะกลับไปที่เรือนรับรองในเทียนตู จากมายาวนานขนาดนั้นนางก็ต้องไปดูหน่อยว่าคนที่เหลือเป็นอย่างไรบ้าง จัดการเรื่องราวสำเร็จแล้ว นางก็จะได้เตรียมการเดินทาง

ซือมั่วเคยพุดแล้วว่า เขาอยู่ที่หลินชวนก็เพื่อหาของชิ้นหนึ่ง

ตอนนี้ ของอยู่ในมือแล้ว เกรงว่าเขาก็คงจะต้องออกจากหลินชวนแล้ว

แต่ทว่า นางไม่ได้คิดจะไปถาม และก็ไม่ได้คิดจะไปบอกลา

บอกลาอะไรนั้นเป็นสิ่งที่นางรับไม่ได้มากที่สุด

อีกอย่าง พวกนางก็ต่างมีเรื่องของตนเองที่ต้องทำ เวลาที่สามารถพบเจอ ก็พบเจอ เวลาที่ต้องจากกันก็จากกัน รอถึงสักวันหนึ่ง เมื่อนางมีสิทธิ์เข้าไปสู่โลกของเขา เคียงไหล่กับเขา ก็อาจจะไม่ต้องมีการจากลาเล็กน้อยเหล่านี้อีก

จิตใจของมู่ชิงเกอ ซือมั่วเข้าใจดี

ดังนั้น เขาก็เลยไม่ได้พูดบอกลาอะไร

กระดิ่งของพวกเขาทั้งสองคน ก็เป็นสิ่งเชื่อมโยงที่ดีที่สุด แล้วในเวลานี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ล้วนแต่สามารถรับรู้ได้ถึงการคงอยู่ของอีกฝ่าย

ก่อนที่มู่ชิงเกอจะไป ได้ถามเขาว่า เขาสามารถส่งพลังจิตผ่านทางกระดิ่งได้หรือไม่

คำตอบของเขาเป็นประโยคปฏิเสธ

ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น เป็นเพราะว่าของชิ้นนั้นพิเศษมาก ถึงได้เกิดการตอบสนองเช่นนั้นได้

ส่งสายตาส่งมู่ชิงเกอจากไปแล้ว ซือมั่วก็เอ่ยเสียงที่บางเบาออกมา “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้าได้รับเคล็ดวิชาเทวะแล้วหรือ? โชคชะตาช่างชอบเล่นตลกกับคนยิ่งนัก! แต่ว่า…” ดวงตาของเขาฉายแววแข็งกร้าว เอ่ยอย่างมั่นใจว่า “ข้าไม่เคยเชื่อในโชคชะตา!”

กลับไปถึงเรือนรับรอง มั่วหยางและคนอื่นๆ ก็ได้ถูกกู่หยาส่งกลับมาแล้ว

ส่วนกลับมาได้อย่างไรนั้นพวกเขาไม่ได้พูดและนางก็ไม่ได้ถาม

มู่ชิงเกอไปหาจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย

“เป็นอย่างไรบ้าง เก็บอะไรได้บ้าง?” มู่ชิงเกอเปิดประตู แล้วก็ถามเข้าประเด็นเลย

จ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยยิ้มอย่างขมขื่น

“พวกเราดูเหมือนว่ายังไม่ได้เริ่มสำรวจสมบัติ เพิ่งจะต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเสร็จก็ถูกนำกลับมาแล้ว” จ้าวหนานซิงโบกมือเอ่ย

ฟ่งอวี๋เฟยส่ายหน้าเช่นเดียวกัน ที่มาเทียนตูในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับอะไรเลย

มู่ชิงเกอยิ้มๆ ยกมือสะบัด ทักษะสงครามแล้วก็มียุทธภัณฑ์กลุ่มหนึ่งตกลงต่อหน้าคนทั้งสอง

สิ่งของเหล่านี้มีบางส่วนได้มาจากเศษซากโบราณ และมีส่วนหนึ่งเป็นของที่อยู่ในช่องว่างของนาง “พวกเจ้าสองคนแบ่งๆ กันเถอะ จะแบ่งอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า แคว้นลี่และแคว้นอวี๋แล้ว”

“นี่…” จ้าวหนานซิงมองนางอย่างตกตะลึง

ฟ่งอวี๋เฟยส่ายหน้า “พวกเราไม่อาจรับไว้ได้’”

จ้าวหนานซิงก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว! ของเหล่านี้ เป็นของที่เจ้าได้รับมา พวกเราไม่อาจรับได้”

“ไม่เป็นไร ตัวข้าเองก็ได้เหลือให้ตนเองแล้ว” มู่ชิงเกอไม่อนุญาตให้พวกเขาปฏิเสธ

เดิมนางคิดจะเอาของเลียนแบบสองชิ้นในสามชิ้นนั้นออกมาให้พวกเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นของเลียนแบบ แต่ก็เป็นระดับยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ อยู่ในหลินชวนก็หาได้

ยากยิ่งแล้ว

แต่ว่า ยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติทั้งสามชิ้นนั้น ชิ้นหนึ่งคือสามง่าม ชิ้นหนึ่งคือขวานคู่ อีกชิ้นหนึ่งคือค้อน

จะดูอย่างไร ก็ไม่เหมาะกับลักษณะของจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟย

ดังนั้น นางก็เลยยกเลิกความคิด เตรียมจะหาเวลาจัดการกับช่องว่างของตนเอง ดูซิว่ามียุทธภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับพวกเขาหรือไม่

หรือไม่ก็รอให้นางมีเวลาฝึกหลอมอาวุธ พัฒนาทักษะของตนเองแล้ว ก็จะสร้างยุทธภัณฑ์สักสองชิ้นออกมาให้พวกเขาเอง

“แล้วข้าล่ะ?” เจียงหลีผู้ที่ได้ถือเอาเรือนรับรองของแคว้นระดับสามเป็นบ้านของตนเองแล้ว อยู่ดีๆ ก็โผล่ออกมา

นางกวาดตามองไปที่ของบนโต๊ะแวบหนึ่ง จากนั้นก็ส่งสายตามาหามู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอคาดเดาไว้แล้วว่านางจะเป็นเช่นนี้จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เตรียมไว้ก่อนแล้ว” พูดจบ แหวนอันหนึ่งก็ตกเข้าไปในมือของเจียงหลี

เจียงหลีรับแหวนมา ใช้ปัญญาแห่งการหยั่งรู้ตรวจดู ก่อนจะตกตะลึงไปชั่วขณะ

ของในนี้ยัง…มากมายจนน่าตกตะลึง!

นางยิ้มให้กับมู่ชิงเกอ ไม่ได้รู้สึกกระดากใจ เก็บแหวน เอ่ยออกมาประโยคหนึ่งว่า “เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้ว”

มู่ชิงเกอหยอกล้อนางว่า “เจ้าพูดเสียดูเหมือนเคยเกรงใจข้าอย่างนั้นแหละ”

หลังจากผ่านศึกในช่องว่างทดสอบแล้ว ไม่กี่คนนี้ก็ไม่ค่อยได้พูดคุยเล่นสบายใจอย่างนี้ด้วยกันนานแล้ว

ผ่อนคลายไปครู่หนึ่ง เจียงหลีก็เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ในเมื่อเรื่องที่นี่เสร็จแล้ว สองวันนี้ข้าเตรียมจะนำคนกลับแคว้นกู่วู่ พวกเจ้ามีเวลามาแคว้นกู่วู่เมื่อไหร่ ข้าจะต้อนรับอย่างดี”

“ไปเร็วขนาดนี้เชียว?” ฟ่งอวี๋เฟยเอ่ยอย่างเสียดาย

ได้รู้จักกันในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นนางชอบเจียงหลีที่เป็นฮ่องเต้หญิงแห่งแคว้นกู่วู่ผู้นี้จริงๆ

ฮ่องเต้หญิงที่ไม่เสแสร้ง ไม่ทำตัวหยิ่งยโส มีเหตุมีผลชัดเจน ช่างเป็นคนที่หาได้ยากยิ่งในราชวงศ์ของเหล่ากษัตริย์!

เจียงหลีถอนหายใจกล่าวว่า “ไม่มีทางเลือก แคว้นก็ไม่อาจไร้ผู้ปกครองได้แม้เพียงวันเดียว ข้าจากแคว้นกู่วู่มานานมากแล้ว หากยังไม่กลับไปอีก เกรงว่าเหล่ายายเฒ่ายายแก่ในแคว้นของข้าคงจะมาเทียนตูเพื่อจับคนแล้ว”

พูดแล้วนางก็มองมาทางมู่ชิงเกอ “มีบางเวลา ข้าก็ช่างอิจฉาเจ้าที่สามารถใช้ชีวิตได้ตามใจตนเอง”

“เจ้าก็สามารถทำได้ เพียงแค่เจ้าสามารถปล่อยวางแคว้นกู่วู่” มู่ชิงเกอเอ่ยขึ้น

เจียงหลีเอ่ยว่า “แคว้นกู่วู่เป็นความรับผิดชอบที่มากับสายเลือด นอกจากว่าข้าจะสามารถหาสายเลือดที่โดดเด่นยิ่งกว่าออกมา จากนั้นก็มอบบัลลังก์ให้ เช่นนั้นข้าก็จะเป็นอิสระ!”

“นี่…ยากเกินไป” มู่ชิงเกอเอ่ยยิ้มๆ

เจียงหลีพยักหน้า “ยากจริงๆ”

จากนั้นนางก็ตั้งสติ เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “แต่ว่าข้าจะพยายาม! ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง ข้าจะไปหาเจ้าได้!”

“ยินดีต้อนรับเสมอ” มู่ชิงเกอพยักหน้ายิ้มเอ่ยออกมา

“ชิงเกอ เช่นนั้นพวกเราจะออกเดินทางเมื่อไหร่? เจ้า… ยังต้องอยู่ในเทียนตูไปอีกสักระยะหรือไม่?” จ้าวหนานซิงถามอย่างระมัดระวัง ความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิงเกอและมหาปราชญ์ในเวลานี้เป็นเรื่องที่ทุกคนแทบจะรู้กันดี

เวลาที่คนเขาหวานซึ้งอยู่ด้วยกันจะตัดใจแยกจากได้หรือ?

จ้าวหนานซิงตัดสินใจเตรียมจะออกเดินทางกลับไปพร้อมกับฟ่งอวี๋เฟยก่อนแล้ว

แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงเกอจะเอ่ยว่า “พวกเราก็กำหนดสามวันให้หลังเดินทางพร้อมกันเถอะ”

“เจ้าก็ไป?”

“เจ้าก็ไป!”

“เจ้าจะไปด้วยกันกับพวกเรา?”

สามเสียงที่ดูแปลกใจดังขึ้นมาพร้อมกัน มู่ชิงเกอมองดวงตาทั้งสามคู่ที่ฉายแววตกตะลึง ทำสีหน้าเฉยๆ แล้วเอ่ยว่า “ทำไมข้าจะต้องไม่ไปด้วย?”

“แค่ก แค่ก เจ้าไปได้หรือ?” จ้าวหนานซิงพึมพำออกมา

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น หรี่ตาเล็กลงเอ่ยถามด้วยท่าทางดุดันว่า “เหตุใดข้าถึงจะไปไม่ได้งั้นหรือ?”

จ้าวหนานซิงหดคอ ปิดปากสนิท

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!