Skip to content

พลิกปฐพี 332

ตอนที่ 332

เจ้าจะมาต่อสู้กับข้าได้อย่างไร!

“จะยอมจำนนหรือว่ายอมตาย?” นัยน์ตาอันสดใสของมู่ชิงเกอ ตกไปอยู่บนร่างของมู่หย่วน ใบหน้าที่งดงามดูเรียบสงบ

เสียงของนางเพิ่งจะหลุดออกไป มู่หย่วนและคนอื่นๆ ต่างก็ชักอาวุธของตนเองออกมาชี้ไปที่มู่ชิงเกอทันที

แต่พวกหยินเฉินที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนนาง กลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ เลยเพียงยิ้มบางๆ ให้กับความเคร่งเครียดของพวกเขา ชนจอกดื่มสุรากัน

“นายน้อยชิงเกอ นี่ก็คือจุดมุ่งหมายที่เชิญพวกเรามาใช่หรือไม่?” มู่หย่วนสีหน้ามืดครึ้มลง หางตากวาดมองไปรอบด้านด้วยความหวาดระแวง

คนที่เขานำมาด้วย ก็พากันล้อมมู่เฟิงไว้ตรงกลาง คอยระมัดระวังรอบด้าน

มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกออกเป็นรอยยิ้มบางๆ นางไพล่สองมือไว้ด้านหลังอย่างผ่อนคลาย เอ่ยกับมู่หย่วนว่า “ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดถึงเพียงนั้น ข้าไม่ได้วางกับดักอะไรเอาไว้”

ความมั่นใจในนํ้าเสียงของนาง ดูเหมือนกำลังพูดกับพวกมู่หย่วนว่า ‘ข้าไม่จำเป็นต้องเตรียมการอะไร หากไม่ต้องการให้พวกเจ้าจากไป พวกเจ้าก็จากไปไม่ได้’

ความมั่นใจของนางออกมาจากจิตใจอันแข็งแกร่งของนางเอง ทั้งนางก็รู้ดีว่าตัวนางได้เปรียบ

แต่ความแข็งแกร่งที่ทำให้มั่นอกมั่นใจนั้น กลับทำให้จิตใจของพวกมู่หย่วนวุ่นวายสับสน

มู่เฟิงยืนอยู่ในกลุ่มคนเม้มริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง หน้าตึง ดวงตาที่แน่วแน่คู่ นั้นมองไปยังมู่ชิงเกอ สายตาของเขานั้นมู่ชิงเกอมองเห็นแล้ว แต่กลับเหลือบ มองเพียงแวบเดียว

“ประมุขตระกูลมู่ ตัวข้านั้นไม่ชอบอ้อมค้อม มีความอดทนไม่เพียงพอ ดังนั้นปัญหาที่ข้าเสนอออกไปขอให้คิดทบทวนให้ดีๆ” มู่ชิงเกอยิ้มเอ่ยออกมา

ม่หย่วนสีหน้าครึ้มลง หันไปมองบุตรชายของตนแวบหนึ่ง แล้วก็มองไปยังมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “บรรพบุรุษกำหนดกฎเอาไว้หรือนายน้อยชิงเกอไม่สนใจงั้นหรือ?”

“กฎรึ?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววดูแคลนออกมา กลิ่นอายเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก นางมองไปยังมู่เฉินที่ยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยถามว่า “พวกเขากำลังเตือนข้าว่า ไม่ จำเป็นต้องมอบโอกาสให้พวกเขา เพียงแค่ฆ่าก็จบเรื่องแล้วงั้นหรือ?”

สีหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนไปรีบคำนับมู่ชิงเกอเอ่ยว่า “นายน้อยโปรดระงับโทสะด้วย พี่ใหญ่มู่หย่วนอาจจะฟังไม่เข้าใจ ให้บ่าวพูดอย่างละเอียดให้เขาฟังเถอะ”

มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มขี้เล่น เงียบ ยอมรับการขอร้องนี้ของเขา

มู่เฉินมองมาที่นางอย่างซาบซึ้ง แล้วก็ก้าวยาวๆ ไปที่ตรงหน้าของมู่หย่วน

ม่หย่วนเห็นเขาเดินเข้ามาก็สบถเสียงเย็นไปคำหนึ่ง

มู่เฉินส่ายหน้าถอนหายใจเอ่ยว่า “พี่ใหญ่มู่หย่วน นายน้อยของพวกเรามอบโอกาสให้พวกท่าน เหตุใดท่านถึงมองไม่ออก? การแย่งชิงตำแหน่งนายน้อยของตระกูลมู่ นั้นโหดร้ายแค่ไหนไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดอธิบายให้มากความ ท่านก็รู้ดี หากว่าพวกท่านยังคงดื้อดึงต่อไป หรือว่าต้องเห็นหลานมู่เฟิงตายไปตรงหน้าถึงได้ตาสว่างงั้นหรือ?”

คำพูดของมู่เฉิน ทำให้นัยน์ตาของมู่หย่วนฉายแววหวั่นไหว

นัยน์ตาของมู่เฟิงเปลี่ยนเป็นแน่วแน่มากยิ่งขึ้น เขามองไปยังมู่เฉิน ดูเหมือนว่ากำลังต่อต้านเงียบๆ

มู่เฉินมองเห็นสายตาของเขา จึงหันไปมองเขาแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเฟิง พรสวรรค์ของเจ้านั้นข้ารูดีแก่ใจ ไม่ใช่ว่าอาดูแคลนเจ้า แต่เจ้าในตอนนี้ฝึกไปอีกสิบปีเกรงว่าก็ยังไม่ใช่คู่มือของนายน้อยของข้า ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารที่ยังมีคนที่ร้ายกาจอยู่อีกเลย”

คำพูดของเขาทำให้นัยน์ตาของมู่เฟิงหม่นแสงลง พรสวรรค์ไม่สู้คนอื่น เป็นบาดแผลของเขา แม้ว่าเขาจะพยายามมากขึ้นแค่ไหน แต่ก็ยังมีข้อจำกัด นับประสาอะไรกับที่ในตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับคู่มือที่มีพรสวรรค์

เหนือเขา ทั้งยังขยันเช่นเดียวกันอีก?

มู่เฟิงมองมู่ชิงเกออย่างไม่ยินยอม จากนั้น มู่เฉินก็เอ่ยกับมู่หย่วนว่า “นายน้อยของข้าพูดอะไรตรงๆ แต่ในความเป็นจริงก็คือคิดจะช่วยชีวิตของเสี่ยวเฟิง เพียงแค่พวกท่านยอมจำนนต่อนายน้อยของข้า ถอยออกจากการแข่งขัน ภัยอันตรายที่เหลือก็มีนายน้อยของข้าคอยแบกรับ เสี่ยวเฟิงไม่จำเป็นต้องลำบากยากเข็ญ ซ้ายขวาก็ล้วนแต่เอาชนะไม่ได้ แล้วเหตุใดจึงไม่เลือกสักข้างก่อนที่ต้องสละชีวิตเล่า?”

มู่หย่วนสบถเสียงเย็นออกมา เอ่ยเสียดสีมู่เฉินว่า “ไม่ได้เจอกันหลายปี ฝีปากของเจ้าดีขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ พูดเสียนายน้อยของเจ้ากลายเป็นพระโพธิสัตว์ก็ไม่ปาน ข้าไม่เชื่อหรอก ว่าคนบนโลกนี้จะยอมทำอะไรลงไปโดยไม่มีผลประโยชน์?”

พูดแล้ว สายตาของเขาก็กวาดมองไปบนร่างของมู่ชิงเกอ เอ่ยด้วยนัยน์ตาที่แข็งกร้าวว่า “พูดไปพูดมา เจ้าก็เพียงแค่มองเห็นกำลังของพวกเรา คิดจะกลืนลงไป แผ่ขยายตัวให้กว้างใหญ่ ในเมื่อพวกเจ้าล้วนแต่เก่งกาจถึงขนาดนี้พวกเราก็สามารถรอจนพวกเจ้าต่อสู้จนบาดเจ็บทั้งสองข้างแล้ว ให้เฟิงเอ๋อร์ของข้าไปเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ใครจะแพ้จะชนะก็ยังไม่แน่หรอก!”

มู่ชิงเกอฟังคำพูดนี้ของเขาจบก็เงยหน้าหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

เสียงหัวเราะนี้ของนางมาอย่างกะทันหัน ทำให้คนมึนงง แต่ก็มีเพียงแต่คนที่เข้าใจนางเท่านั้นถึงจะสามารถฟังออกถึงความดูแคลนในเสียงหัวเราะนี้

หัวเราะแล้ว นางก็ยิ้มเยาะเย้ยไปให้มู่หย่วน “ท่านนี่คงไม่ใช่ว่าไร้เดียงสาเกินไปหรอกใช่ไหม? ท่านคิดว่าคู่มือของมู่เฟิงคือข้าหรือไม่ก็มู่เทียนอินของแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารงั้นหรือ? แม้ว่าพวกเราทั้งสองจะต่อสู้กันจนตาย แล้วทำให้มู่เฟิงได้ผลประโยชน์ไป อาศัยเขาจะสามารถไปต่อกรเหล่าบรรดาเผ่าเทพที่ทำลายตระกูลมู่ได้งั้นหรือ? อีกอย่าง ใครว่าสองฝ่ายสู้กันคนที่สามจะได้ ประโยชน์เสมอไปกัน? ไม่แน่ว่าคนที่สามอาจจะเป็นหินให้เขาเหยียบก็ได้”

มู่หย่วนถูกคำพูดนี้ของนางทำให้สีหน้าซีดขาว

นัยน์ตาของเขาฉายแวววาววาบ ดูเหมือนว่าคิดจะหาคำ มาโต้กลับ แต่ว่ากลับหาไม่พบ

ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็ลงมือคว้าจับมู่เฟิงขึ้นไปกลางอากาศ

ฉากนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เร็วจนยอดฝีมือรอบกาย ของมู่เฟิงลงมือไม่ทัน ทำได้เพียงแต่มองมู่เฟิงที่เหมือนโดนคนดึงคอเสื้อ ลากตัวออกจากใจกลางการคุ้มครองตกลงไปข้างเท้าของมู่ชิงเกอ

“นายน้อย!”

“เฟิงเอ๋อร์!”

สิ่งนี้ทำให้มู่หย่วนและคนที่เขานำมาตกตะลึงหน้าเปลี่ยนสี เกือบที่จะลงมือออกมา

มู่เฟิงอดกลั้นความเจ็บปวด เงยหน้าขึ้นมองมู่ชิงเกอที่อยู่ตรงหน้าของตนเอง จากมุมๆ นี้ เขามองเห็นเปลวไฟเผาไหม้อยู่ในนัยน์ตาส่วนลึกของนางพอดี

“เจ้าคิดอยากจะเป็นนายน้อยตระกูลมู่หรือไม่?” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็ถามเขาขึ้นมา

เจ้าคิดอยากจะเป็นนายน้อยตระกูลมู่หรือไม่?

คำถามนี้ดังสะท้อนอยู่ในหูของมู่เฟิง ทำให้เขาชะงักไป เขาค่อยๆ ส่ายหน้า “ไม่อยาก ข้าเพียงแต่คิดจะพิสูจน์ว่าตนเองไม่ใช่เศษสวะก็เท่านั้น”

“เฟิงเอ๋อร์!” เสียงของมู่หย่วนดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา

แต่ว่า มู่เฟิงก็ไม่ได้สนใจ

หลังจากได้ฟังคำตอบของเขาแล้ว มุมปากของมู่ชิงเกอก็ ฉีกยิ้มขึ้นมาบางๆ เลิกคิ้วขึ้นเอ่ยว่า “ดีมาก ถือว่ายังรู้จักตัวเอง”

“ชิ เจ้าพูดเช่นนี้หรือคิดว่าตนเองนั้นสามารถกลายเป็นนายน้อยตระกูลมู่ได้จริงแน่แล้วงั้นหรือ?” ภายในคนที่มากับมู่หย่วน มีคนที่ไม่พอใจพูดออกมา

มู่ชิงเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปยังเขา นัยน์ตาฉายแววแข็งกร้าวและดุดันเหลือประมาณ แต่ก็ยังดูผ่อนคลาย เมื่อถูกสายตาของนางกวาดมองมา คนๆ นั้นก็ พลันพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาในพริบตา

“ที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวของนายน้อยพวกเจ้ามากนักหรอก” ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็พูดขึ้นมา

คำพูดนี้ ทำให้ทุกคนชะงัก แม้แต่มู่เฉินกับมู่เผิงเองก็ชะงักไปด้วย

มู่ชิงเกอค่อยๆ ก้าวเดินขึ้นไปบนแท่นสูง

รอจนนางยืนอยู่บนที่สูงแล้วก็ค่อยก้มลงมามองพวกมู่หย่วน แล้วถึงได้เอ่ยว่า “สามารถพูดได้ว่า ข้าเข้ามาในการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่อะไรนี่อย่างมึนงง แต่ว่า ในตอนนี้ข้ากลับต้องได้ตำแหน่งนายน้อยนี้มา ใครขวางก็คือศัตรูของข้า สำหรับศัตรูแล้ว ข้าใช้เพียงแค่วิธีเดียว ก็คือฆ่า”

คำว่า ‘ฆ่า’ นี้ ถูกนางพูดออกมาอย่างดุดันเป็นพิเศษ ทำให้คนแสบแก้วหู

“ประมุขตระกูลมู่ ท่านจะให้มู่เฟิงเอาอะไรมาต่อสู้กับข้ารึ?” มุมปากของมู่ชิงเกอโค้งขึ้นเล็กน้อย เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ตอนนี้ข้าอยู่ระดับสีเงินชั้นสาม เขาอยู่ระดับสีเทาชั้นสาม ทรัพยากรครึ่งหนึ่งของตระกูลมู่ของพวกเจ้า ก็ได้ตกเป็นของข้าแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนกำลังของข้านั้นพวก เจ้าก็ไม่มีเคล็ดวิชาเทวะสามม้วน ข้าก็มีอยู่สองม้วนแล้ว ร่างกายของข้านั้นมีสายเลือดของตระกูลมู่ และก็ได้ถูกปลุกให้ตื่นโดยใช้เลือดของบรรพบุรุษชำระล้างแล้ว”

“อะไรนะ!”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!”

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้ทุกคนตกตะลึง

พวกเขาเบิกสองตากว้าง มองมู่ชิงเกออย่างไม่อยากจะเชื่อ พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่ามู่ชิงเกอได้เดินไปไกลถึงขนาดนั้นแล้ว! เรื่องเหล่านี้มู่เฉินไม่เคยบอกแก่พวกเขามา ก่อน

มู่หย่วนมองไปยังมู่เฉินโดยไม่รู้ตัว

มู่เฉินประสานหมัดขออภัย เอ่ยอย่างขอลุแก่โทษว่า “ไม่ได้รับคำอนุญาตจากนายน้อย เรื่องเหล่านี้แน่นอนว่าข้าไม่อาจพูดได้”

การอธิบายของเขา ทำให้สีหน้าของมู่หย่วนเผยความขมขื่นออกมา

“นอกจากเรื่องเหล่านี้ข้าก็ยังเป็นอาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ อาจารย์หลอมยาระดับเทวะ แล้วมู่เฟิงเล่า? เขาเอาอะไรมาสู้กับข้า?” นัยน์ตาของมู่ชิงเกอฉายแววแข็งกร้าว ไอพลังเพิ่มพูนขึ้น

อาจารย์หลอมศาสตราระดับมหาเทพ!

อาจารย์หลอมยาระดับเทวะ!

พวกมู่หย่วนมองเขาอย่างตกตะลึง มู่เฟิงที่อยู่บนพื้นก็ค่อยๆ ลุกยืนขึ้นมา มองไปยังมู่ชิงเกออย่างไม่อยากจะเชื่อ ดูเหมือนกำลังคิดว่า เขาที่อายุยังน้อย สามารถทำ เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน

ส่วนในใจของมู่หย่วนนั้นเหมือนกับเกิดคลื่นยักษ์ ตามอายุของมู่ชิงเกอ จะต้องใช้พรสวรรค์ที่ร้ายกาจและความสามารถมากมายขนาดไหนในการบรรลุความ สำเร็จดังกล่าวได้ในเวลาเดียวกัน?!

นี่ทำให้ท่าทางของเขาดูขมขื่นมากขึ้น อดไม่ได้ที่จะมองไปยังบุตรชายของตน เผชิญหน้ากับคู่มือเช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะพยายามยืนหยัดแค่ไหน ก็ยากที่จะเติมเต็มความห่างชั้นนี้ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สายเลือดตระกูลมู่ในร่างกายของมู่ชิงเกอก็ได้ตื่นขึ้นแล้ว ซึ่งหมายความว่าอนาคตของเขาจะไม่มีที่สิ้นสุด! มู่เฟิง…ไล่ตามไม่ทันแล้ว ผลลัพธ์นี้ทำให้นัยน์ตาของมู่หย่วนมืดทึบลงไป

คนอื่นๆ สบสายตากัน และก็ล้วนแต่ทยอยวางอาวุธในมือลงโดยไม่รู้ตัว ถูกมู่ชิงเกอบีบคั้นอย่างกระชั้นชิด ฝั่งทางมู่หย่วนล้มเหลวไปแล้ว ชนะหรือแพ้จึงได้ถูกกำหนดไว้แล้ว

ที่จำเป็นก็เป็นเพียงแค่ขั้นตอนเท่านั้น

มู่ชิงเกอเดินลงมาจากแท่นสูงอีกครั้ง นางเดินมาถึงตรงหน้าของมู่เฟิง เอ่ยกับเขาว่า “เจ้านั้นไม่เลวเลยทีเดียว มีจิตใจที่แน่วแน่ ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมากว่าพรสวรรค์นัก แต่ว่า เจ้าที่เป็นเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ เหมาะสมที่จะเป็นกองหน้ามากกว่า เจ้าจะยินยอมจำนนต่อข้า เป็นกองหน้าของข้าหรือไม่? เพื่อพิสูจน์คุณค่าของเจ้า พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้ไร้ประโยชน์!”

นัยน์ตาของมู่เพิฟิมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นภายใต้คำพูดของมู่ชิงเกอ

นัยน์ตาที่เขามองไปยังมู่ชิงเกอนั้นเปล่งประกายวาววาบ ใช้นํ้าเสียงที่แน่วแน่ตอบออกไปว่า “ข้ายอม!”

“เฟิงเอ๋อร์!”

“นายน้อย!”

แม้ว่าในใจจะคาดเดาออกถึงผลลัพธ์แล้ว แต่ท่าทีของมู่เฟิงก็ยังทำให้พวกมู่หย่วนตกตะลึงไปอยู่ดี มู่เฟิงยอมละทิ้งจากตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่ด้วยตนเอง ถอยออกจากการแข่งขัน แล้วพวกเขายังจะแย่งอะไรอีก? ดื้อดึงอะไรอีก?

มู่หย่วนถอนหายใจยาว เอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ตระกูลมู่ของโลกแห่งยุคกลางสงบเสงี่ยมเจียมตัวมานับหมื่นปี เพาะเลี้ยงสั่งสมไพร่พลเก็บงำประกาย ก็เพื่อจะรอนายน้อยที่มีคุณสมบัติที่จะนำพาทั้งตระกูลกลับไปยังแผ่นดินเกิด แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามาถึงตรงนี้ทุกอย่างกลับกลายเป็นเสียเปล่าแล้ว”

“ก็ไม่ถือว่าเสียเปล่า ติดตามนายน้อยที่เหมาะสมที่สุด ก็สามารถบุกตะลุยกลับไปยังแผ่นดินใหญ่แห่งเทพมารได้เช่นเดียวกัน ทำตามความปรารถนาของบรรพบุรุษให้สำเร็จ สิ่งนี้เป็นทางเลือกของคนฉลาด” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วพูดออกมา

คำพูดประโยคนี้ของนาง ทำให้พวกมู่หย่วนยิ้มอย่างขมขื่น

ในใจดิ้นรนต่อสู้อยู่รอบหนึ่ง เขากัดฟันแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “มู่หย่วนคำนับนายน้อย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!