Skip to content

พลิกปฐพี 488

ตอนที่ 488

เหลียนเฉิง เจ้าหลับไปนานมาก

“มู่ชิงเกอ เจ้าจะช่วยข้าหรือไม่?” น้ำเสียงของเหลียนเฉียวเต็มไปด้วยความแน่วแน่

“ได้” มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

แต่ในตอนที่เหลียนเฉียวยิ้มออกมานั้น นางกลับเสริมไปอีกประโยคว่า “แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าเรื่องหนึ่งก่อน รอจนข้าทำเรื่องบางเรื่องของตนเองเสร็จแล้วก็จะส่งเจ้ากลับไปยังสำนักวิถีโอสก และช่วงเวลานั้นเจ้าก็ต้องรออยู่ที่นั้นเท่านั้น”

รอยยิ้มของเหลียนเฉียวแข็งค้าง โต้แย้งว่า “ไม่ ข้าจะไปตามหาเขา!”

มู่ชิงเกอพูดอย่างจนใจว่า “เจ้าจะไปหาเขาอย่างไร? หลบอยู่ในหม้อผลาญสวรรค์งั้นหรือ? ตอนนี้คนของตำหนักเทพจับตามองหม้อผลาญสวรรค์อยู่ เจ้าคิดว่าเจ้าจะซ่อนตัวได้นานแค่ไหน?”

นางส่ายหน้าเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่กลับไป ข้าก็จะถอนคำพูดที่รับปากเจ้าไว้ อีกทั้งจะย้อนกลับไปยังสำนักวิถีโอสถเพื่อเอาเจ้าไปส่งให้เจ้าสำนักทันทีด้วย”

“…” เหลียนเฉียวเบิกตากว้าง มองนาง เม้มปากแน่น ไม่พูดจา

ครู่หนึ่งนางถึงได้หันหลังให้กับมู่ชิงเกอ แล้วพูดเสียงเย็นว่า “ข้าเหนื่อยแล้วอยากพักผ่อน”

มู่ชิงเกอยืนขึ้นมาแล้วก็หันหน้าเดินออกไปจากห้องปรุงยา

นางรู้ว่าเหลียนเฉียวตกลงแล้ว เพียงแต่ยังถือทิฐิไม่พูดออกมาก็เท่านั้น

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดในใจว่า ‘ดูแล้วคงต้องรีบจัดการเรื่องในบ้านให้เสร็จโดยเร็ว แล้วย้อนกลับไปยังสำนักวิถีโอสถสักครั้ง จากนั้นก็เริ่มฝึกปรือฝีมือเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปสุสานเทพ’

สำหรับเรื่องตำหนักเทพ…

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว ‘ทำได้เพียงแก้ไขเฉพาะหน้าเมื่อ ปัญหามาถึง!’

ตำหนักเทพไม่สามารถแย่งชิงอย่างเปิดเผยได้ ทำได้แต่ลอบส่งคนมา ตอนนี้นางมีหุ่นเทพมารสองตนข้างกาย แล้วก็ยังมีโห่วบวกกับไป๋สี่และหยินเฉิน ยังพอมีกำลัง ในการรักษาชีวิตอยู่

โดยเฉพาะซือมั่วยังส่งกู่หยาและกู่เย่มาอีกด้วย

ดังนั้นเรื่องฝั่งทางตำหนักเทพนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป

มู่ชิงเกอสะบัดชายเสื้อ หากว่าสุดท้ายแล้วตำหนักเทพจะฉีกหน้าแย่งชิงกันอย่างโจ่งแจ้งจริงๆ เช่นนั้นนางก็ได้แต่ต้องสู้แล้ว

หลังจากออกจากถํ้าจิ่วเฉวียนแล้ว มู่ชิงเกอก็เรียกเสี่ยวไฉ่ออกมาแล้วขี่มันไปเมืองอินถู

ในที่สุดครั้งนี้ก็ไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายใดเกิดขึ้นอีก

หลังจากมาถึงเมืองอินถูแล้ว นางก็ใช้ประตูมิติกลับไปยังภาคเหนือ แล้วก็ใช้ประตูมิติของภาคเหนือกลับไปยังภาคตะวันตก ย้อนกลับไปเมืองฝูซา

เมื่อนางเดินทางกลับมาถึงตระกูลซางนั้น งานชุมนุมใหญ่ของสำนักวิถีโอสถก็จบไปเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว

ในขณะที่เดินทางนางก็ได้ปรุงยาฟื้นคืนชีพของมู่เหลียนเฉิงในช่องว่างจนเสร็จ

ดีที่การปรุงยาสำเร็จได้อย่างราบรื่น

มิเช่นนั้นแล้วนางก็ต้องเอาเลือดออกมาจากหนึ่งในหุ่นเทพมารอีกครั้ง

เมื่อกลับมาถึงตระกูลซาง และมู่ชิงเกอได้พูดเรื่องที่จะฟื้นคืนชีพให้มู่เหลียนเฉิงออกมาแล้ว ซางหลันรั่วและมู่เสวี่ยอู่ก็ล้วนแต่ตื่นเต้นดีใจ ส่วนซางซุ่นหวางก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

“เสวี่ยอู่ เจ้าดูสิว่าชุดนี้เข้ากับข้าไหม? แล้วผมของข้ายุ่งหรือไม่?” ซางหลันรั่วดึงเสื้อผ้าของตนเองและลูบผมของตนเองไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

ผมสีเงินทำให้แววตาของนางหดหู่ขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ใช่เสียใจ แต่เพราะกังวลว่าหลังจากมู่เหลียนเฉิงฟื้นขึ้นมาแล้วจะจำนางไม่ได้

“ท่านแม่ ดีมากแล้ว งดงามมาก” มู่เสวี่ยอู่ดึงมือของนางแล้วเอ่ยปลอบเบาๆ

มู่ชิงเกอกับซางซุ่นหวางยืนอยู่ด้วยกันและสบตามองกัน

คำพูดปลอบใจคนเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองคนพูดไม่ออก ไม่ใช่ว่าไม่สามารถพูดได้แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่างหาก

“เจ้าช่วยแม่ดูอีกหน่อยว่ามีอะไรไม่เหมาะหรือไม่?” ซางหลันรั่วถามอย่างกังวลใจอีกครั้ง

มู่เสวี่ยอู่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่มี ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะ”

หลังจากการยืนยันหลายต่อหลายครั้งแล้ว ซางหลันรั่วถึงได้วางใจ

เมื่อควบคุมอารมณ์ดีแล้ว ซางหลันรั่วจึงเงยหน้าขึ้นไปมองมู่ชิงเกอ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวัง ทั้งยังหวาดกลัวเล็กน้อย

มู่ชิงเกอเดินไปข้างหน้า ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้มู่เหลียนเฉิงที่นอนอยู่บนนํ้าแข็งทมิฬ

เขายังคงมีรูปโฉมเช่นเดิม เหมือนกับภาพเมื่อครั้งยังเป็นแม่ทัพน้อยในตระกูลมู่ไม่มีผิด มู่ชิงเกอเอายาที่ปรุงเสร็จแล้วออกมา และเทยาออกมาจากขวด

ชั่วขณะนั้นภายในห้องก็ถูกแสงเก้าสีเข้าปกคลุม ราวกับแดนเซียน และราวกับภาพมายา

แสงของยาระดับมหาเทพทำให้คนสามคนในห้องพากันตกตะลึง

มู่ชิงเกอมองซางซุ่นหวางแล้วพูดว่า “ท่านตารบกวนด้วย”

นางต้องการคนเปิดปากของมู่เหลียนเฉิงเพื่อที่นางจะได้ใส่ยาเข้าไป

ซางซุ่นหวางพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป

ขณะที่กำลังคิดจะย่อตัวลงแล้วเปิดปากของมู่เหลียนเฉิง ซางหลันรั่วก็พูดขึ้นมาในทันใดว่า “ท่านพ่อรอเดี๋ยว”

ซางซุ่นหวางมองนาง คำถามผุดขึ้นในดวงตา

ซางหลันรั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอ่ยว่า “ข้าอยากจะทำเอง”

“ก็ได้” ซางซุ่นหวางมองมู่ชิงเกอ เมื่อเห็นนางพยักหน้าแล้วถึงได้ถอยหลังออกไป

ซางหลันรั่วเดินไปยังตำแหน่งที่ซางซุ่นหวางยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ค่อยๆ ก้มลง ใช้สองมือเปิดปากของมู่เหลียนเฉิงออกอย่างอ่อนโยน เผยช่องว่างที่สามารถใส่ยาลงไปได้

นางเงยหน้ามองมู่ชิงเกอแล้วถามว่า “ชิงเกอ ได้หรือยัง?”

มู่ชิงเกอพยักหน้า ถือยาเดินเข้ามาแล้วเอายาใส่เข้าไปในปากของมู่เหลียนเฉิง

แสงเก้าสีที่ปกคลุมไปทั่วห้องหายไปตามยาเข้าไปในร่างของมู่เหลียนเฉิง

ซางหลันรั่วปล่อยมือ ริมฝีปากของมู่เหลียนเฉิงค่อยๆ ปิดลง

“ท่านพ่อสิ้นชีพไปหลายปีแล้ว ข้าจำเป็นต้องใช้พลังจิตช่วยเขาย่อยสลายยา” มู่ชิงเกออธิบายไปหนึ่งประโยค แล้วก็เดินไปทางฝั่งศีรษะของมู่เหลียนเฉิง กลางฝ่ามือมีพลังจิตสีทองรวมตัวขึ้นและค่อยๆ โอบล้อมศีรษะของเขาเอาไว้

ยาที่มู่เหลียนเฉิงกินค่อยๆ ละลายและซึมเข้าไปทั่วร่างกายของเขา

ร่างกายของเขาเปล่งแสงเก้าสีออกมา เกิดเป็นรังไหมสีรุ้งโอบล้อมร่างกายของเขาเอาไว้

มู่เสวี่ยอู่เดินมาข้างหน้าแล้วดึงซางหลันรั่วให้ถอยออกมาด้านหลัง

คนทั้งสี่คนในห้องถอยออกมาอีกข้าง เฝ้าดูอย่างสงบ

หวาดกลัว ตื่นเต้น คาดหวัง…

อารมณ์ของทั้งสี่คนล้วนแต่ซับซ้อนวุ่นวาย

แม้แต่มู่ชิงเกอที่สงบนิ่งอยู่ตลอดก็มีความหวาดกลัวในจิตใจ นางเพิ่งจะเคยช่วยให้คนตายฟื้นคืนชีพเป็นครั้งแรก ส่วนยานางก็ปรุงออกมาตามเทียบยา

แต่จะได้ผลหรือไม่นั้นนางไม่กล้ารับรอง

สิ่งเดียวที่ทำให้นางมั่นใจก็คือวิธีนี้ซือมั่วเป็นคนบอกนาง

‘อามั่วไม่มีทางโกหกข้า จะต้องสำเร็จแน่นอน!’ มู่ชิงเกอพูดอยู่ในใจเงียบๆ

ภายในรังไหมสีรุ้ง มู่เหลียนเฉิงยังดูเหมือนหลับไป แต่ในร่างกายที่เน่าเปื่อยของเขากลับมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

เส้นเลือดที่แห้งเหี่ยวและหดตัวของเขา เริ่มฟื้นฟูความยืดหยุ่นขึ้นมาใหม่ เลือดที่แข็งตัวก็กลับมาไหลเวียนและกล้ามเนื้อที่แข็งทื่อก็ค่อยๆ กลับมาแข็งแรงดังเดิม อวัยวะของเขาเริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง หัวใจที่เคยหยุดเต้นมาสิบกว่าปีก็เริ่มเต้นขึ้นมาเป็นครั้งแรก

ตึก! ตึก ตึก!

เสียงหัวใจเต้นเริ่มแรงขึ้น เลือดไหลกลับมายังหัวใจ แล้วก็ส่งจากหัวใจไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไหลเวียนอย่างต่อเนื่องเพื่อขับไล่กลิ่นอายแห่งความตายให้ออกไปจากร่างกายของเขา

การรอคอยนั้นทรมานมาก

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าๆ แสงที่เปล่งประกายอยู่นอกร่างกายของมู่เหลียนเฉิงถึงได้กระจายหายไป

ไม่ ไม่ใช่หายไปแต่ถูกมู่เหลียนเฉิงดูดเข้าไปในร่างกายต่างหาก

สิ่งนี้ทำให้นัยน์ตาของคนสี่คนที่กำลังรอคอยอยู่เกิดความตื่นเต้นและเปล่งประกายแสงออกมา พวกเขาจับจ้องใบหน้าของมู่เหลียนเฉิง ในที่สุด…ก็เห็นขนตาของเขาขยับเบาๆ

“เหลียนเฉิง!” ซางหลันรั่วร้องไห้ไม่หยุด พุ่งเข้าไปหามู่เหลียนเฉิง

มู่ชิงเกอดึงเอาไว้ได้ทัน แล้วจึงพูดกับซางซุ่นหวางและมู่เสวี่ยอู่ว่า “รีบพาเขากลับไปที่เตียง เขาเพิ่งจะฟื้นกลับมา รับไอเย็นจากนํ้าแข็งทมิฬไม่ไหว”

ซางซุ่นหวางโอบมู่เหลียนเฉิงขึ้นมาในทันที แล้วก็รีบก้าวยาวออกไปจากห้อง แล้วก็วางเขาลงบนเตียงที่เตรียมเอาไว้

รอจนวางมู่เหลียนเฉิงไว้ดีแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้ปล่อยมือปล่อยให้ซางหลันรั่วพุ่งตัวไปข้างเตียงกุมมือของเขาเอาไว้

“เหลียนเฉิง…” ซางหลันรั่วจับมือของเขาขึ้นมา ใช้แก้มของตนเองแนบไปกับหลังมือของเขา

นางสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งมาจากผิว ไม่ได้เย็นยะเยือกอีกต่อไป แต่เป็นความอบอุ่นที่แท้จริง ความแตกต่างนี้ทำให้นางนํ้าตาไหลออกมาอีกครั้ง

ทันใดนั้นนิ้วมือของมู่เหลียนเฉิงก็ขยับเล็กน้อย สัมผัสผิวบนแก้มของนาง นางมองไปยังมู่ชิงเกออย่างดีใจ

มู่ชิงเกอก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว รับเอามือของมู่เหลียนเฉิงมาแล้วก็ตรวจดูชีพจร

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้ววางมือลงถอยออกไปจากข้างเตียง

มู่ชิงเกอพูดว่า “ท่านพ่อจะฟื้นมาในอีกไม่ช้า ข้าคิดว่าท่านพ่อและท่านแม่คงต้องการเวลาส่วนตัว พวกเราออกไปก่อนเถอะ”

ซางซุ่นหวางและมู่เสวี่ยอู่พยักหน้า

ในตอนที่ออกไป มู่ชิงเกอก็กำชับซางหลันรั่วว่า “ท่านพ่อเพิ่งจะฟื้น ไม่ควรเสียใจมากเกินไป ท่านแม่ต้องระวังอย่าให้เขาตื่นเต้นมากเกินไป”

“ได้” ซางหลันรั่วพยักหน้า ในดวงตายังมีหยาดนํ้าตาหลงเหลืออยู่

สำหรับเรื่องของมู่เหลียนเฉิงแล้ว ซางหลันรั่วมักจะระมัดระวังมาโดยตลอด

ดังนั้นพวกมู่ชิงเกอสามคนจึงถอยออกจากห้องไปก่อน

เพิ่งจะออกมา มู่ชิงเกอก็มองเห็นว่าคนสองคนที่ยืนอยู่กลางเรือนนั้นก็คือกู่หยาและกู่เย่

เมื่อมองเห็นพวกเขาแล้ว มู่ชิงเกอก็ชะงัก นางคิดไม่ถึงว่าสองคนนี้จะมาเร็วถึงขนาดนี้!

“พวกเจ้าเป็นใครกัน?” ซางซุ่นหวางไม่เคยเห็นกู่หยาและกู่เย่ ชั่วขณะนั้นจึงถามออกมาอย่างระแวดระวัง

สองคนนี้มาถึงที่นี่ได้อย่างเงียบเชียบ จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน

เขาดึงมือหลานสาว ดึงพวกนางไปไว้ที่ด้านหลังของตนเอง

มู่ชิงเกอขบขันกำลังจะอธิบายแต่ก็ได้ยินกู่หยาและกู่เย่ประสานเสียงออกมาก่อนว่า

“พวกเราเป็นคนที่เจ้านายของพวกเราส่งมาเพื่อคุ้มครองคุณชาย ประมุขตระกูลซางไม่จำเป็นต้องตกใจ”

“เจ้านายของพวกเจ้า?” ซางซุ่นหวางขมวดคิ้วอย่างสงสัย

มู่ชิงเกอรีบอธิบายว่า “เป็นซือมั่ว”

ที่แท้ก็เป็นหลานเขยนี่เอง!

ซางซุ่นหวางเข้าใจแล้วก็คลายความระแวงในใจลง เขาปล่อยข้อมือหลานสาวทั้งสองคน

มู่ชิงเกอเดินออกไปตรงหน้าของทั้งสองคน

กู่หยาและกู่เย่คำนับ “คุณชาย!”

“พวกเจ้ามาเร็วจริงๆ” มู่ชิงเกอพูดออกมา

กู่เย่พูดว่า “เรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกข้าน้อยไม่กล้าชักช้า”

“ในเมื่อพวกเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นก็ทำตามกฎเดิม หากไม่มีคำสั่งของข้า พวกเจ้าก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ” มู่ชิงเกอเอ่ย

กู่หยาและกู่เย่พยักหน้า ชั่วขณะนั้นร่างกายก็กลายเป็นหมอกควันสีดำ หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“เกอเอ๋อร์’ เสียงของซางซุ่นหวางดังมาจากด้านหลัง

มู่ชิงเกอหันไปมอง ก็พบว่าเขาเดินเข้ามาหาตนเองด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? มิเช่นนั้นแล้ว หลานเขยจะส่งคนมาเฝ้าข้างกายเจ้าทำไม หากว่ามีเรื่องอะไร เจ้าก็ไม่ต้องปิดตา”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก เพียงแค่เขากังวลเกินเหตุไปก็เท่านั้น”

นางไม่สามารถบอกเรื่องตำหนักเทพให้ซางซุ่นหวางรู้ได้

ตอนนี้เอง ภายในห้อง มู่เหลียนเฉิงที่ตายแล้วฟื้นคืนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แววตายังดูมึนงงอยู่บ้าง

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู “เหลียนเฉิง ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นมา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าหลับไปนานแค่ไหน?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!