Skip to content

พลิกปฐพี 489

ตอนที่ 489

ท่านพ่อ ข้ากลับมาแล้ว!

“เหลียนเฉิง ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านอนหลับไปนานแค่ไหน?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหูของมู่เหลียนเฉิง ทำให้เขาหันคอที่ค่อนข้างแข็งทื่อของตนเองไปดู

เมื่อเขาขยับ เงาร่างสายหนึ่งก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา

และในตอนที่เขามองเห็นคนคนนั้นชัดเจนแล้ว นัยน์ตาของเขาก็หดตัวลง เอ่ยถามว่า “หลันรั่ว ผมของเจ้า…” เสียงของเขาแหบพร่ามาก หลังจากเอ่ยปากแล้ว เขาก็รู้สึกว่าลำคอเจ็บแสบเหมือนโดนไฟแผดเผา เขาอ้าปากค้าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง เขาจำได้เพียงว่าตนเองนอนหลับไปตื่นหนึ่ง เหตุใดเมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว ตนเองถึงมานอนอยู่ในที่ไม่คุ้นตา ภรรยาก็ผมขาวทั้งหัวเล่า?

ความทรมานของมู่เหลียนเฉิงทำให้ซางหลันรั่วรีบรินนํ้าอุ่นให้เขาหนึ่งแก้วทันที

ก่อนที่จะให้เขาดื่มนั้น นางก็ยังไม่ลืมใส่ยาที่มู่ชิงเกอมอบให้หนึ่งเม็ดก่อนหน้านี้ลงไปในนํ้าด้วย

เมื่อยาตกลงในนํ้าก็ละลายในทันที ไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ

นางถือนํ้ามาที่ข้างกายของมู่เหลียนเฉิง พยุงเขาขึ้นมาพิงกับหัวเตียง “มา ดื่มนํ้าก่อน”

มู่เหลียนเฉิงยื่นมือออกไปคิดจะรับแก้วนํ้า แต่กลับพบว่านิ้วมือของตนเองสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่

ซางหลันรั่วรู้สึกปวดใจ ยิ้มออกมา “ข้าป้อนเจ้าเอง”

นางส่งแก้วนํ้าไปที่ริมฝีปากของเขา ป้อนนํ้าเขาอย่างเอาใจใส่

เมื่อนํ้าตกลงสู่ท้อง มู่เหลียนเฉิงถึงได้รู้สึกสบายขึ้นมาหน่อย ความรู้สึกแสบคอเมื่อครู่ค่อยๆ หายไป

เขาใช้มือที่สั่นเทาของตนเองกุมมือของซางหลันรั่ว แล้วถามอย่างสับสนว่า “หลันรั่ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหตุใดผมของเจ้าถึงได้กลายเป็นเช่นนี้? ข้าเพียงแค่หลับไปตื่นหนึ่ง…”

“เหลียนเฉิง เจ้าหลับไปตื่นหนึ่งจริงๆ ตอนนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว” ซางหลันรั่วกุมมือของมู่เหลียนเฉิงแน่น กลั้นนํ้าตาเอ่ยออกมา

แต่คำตอบของนางไม่อาจตอบข้อสงสัยของนู่หลียนเฉิงได้

เขาพยายามครุ่นคิด ขมวดคิ้วแน่น “ไม่ ไม่ถูกต้อง! ข้าอยู่ในสนามรบชัดๆ…ข้าจำได้…ข้าถูกลอบโจมตี.. ”

เขาเบิกตากว้าง ภาพก่อนตายกลับมาสู่ความทรงจำของเขาอีกครั้ง

เขาชะงัก พึมพำอย่างตกตะลึง “ข้าตายแล้ว…,

“ไม่! เจ้ายังไม่ตาย! ตอนนี้เจ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว!” ซางหลันรั่วเงยหน้าขึ้น มองเขาแล้วพูดเสียงดัง

บนใบหน้าอันหล่อเหลาของมู่เหลียนเฉิงปรากฎร่องรอยความขมขื่น เขาค่อยๆ หันหน้าไปมองซางหลันรั่ว แล ใช้เสียงที่สั่นพร่าถามว่า “หลันรั่ว บอกข้ามาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหตุใดข้าที่ตายแล้วถึงยังมีชีวิตอยู่ได้? เหตุใดผมของเจ้าถึงกลายเป็นเช่นนี้? ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ ไหน? กองทัพตระกูลมู่ล่ะ? ท่านพ่อล่ะ? เหลียนหรงล่ะ? ยังมีเกอเอ๋อร์ของพวกเรา ลูกของพวกเรา ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน?”

เมื่อแรกตื่นขึ้นมาจากฝันอันเนิ่นนาน ความเป็นความตายกลับตาลปัตรไปหมด

ในใจของเขามีข้อสงสัยมากมายเหลือเกิน

“เหลียนเฉิง อย่าเพิ่งร้อนใจไป เจ้าอยากจะรู้อะไร ข้าจะบอกเจ้าทั้งหมด” ซางหลันรั่วมองเขาอย่างเป็นกังวล กลัวว่าเขาจะตื่นตระหนกจนเกินไป

มู่เหลียนเฉิงพยักหน้า “ข้าไม่ร้อนใจ ข้าไม่ร้อนใจ เจ้าพูด ข้าจะฟัง”

ด้านนอกห้อง ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ดวงดาวก็ลอยขึ้นสู่ฟ้า ส่องแสงประกายงดงาม มู่ชิงเกอยืนอยู่ที่กลางเรือนตลอดเวลา ชุดสีแดงบนตัวนางยิ่งดึงดูดสายตาคนเมื่ออยู่ในความมืด

นางเงยหน้ามองดาวบนท้องฟ้าพลางคิดคำนวณอยู่ในใจ

มู่เหลียนเฉิงฟื้นแล้วยังต้องพักฟื้นอีกสองสามวันถึงจะสามารถรับพลังกดดันจากประตูมิติได้ ช่วงเวลานี้พวกเหมยจื่อจ้งสี่คนก็น่าจะออกมาจากสำนักวิถีโอสถแล้ว

ก่อนหน้านี้พูดกันไว้ดีแล้วว่าทุกคนจะใช้โอกาสนี้กลับไปดูหลินชวน แน่นอนว่าจะไม่ผิดคำพูด

มู่เสวี่ยอู่เดินเข้ามา เอ่ยกับนางว่า “ลูกพี่ ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่เอง”

มู่ชิงเกอส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่เหนื่อย”

“เช่นนั้นท่านก็ต้องกินอะไรบ้าง” มู่เสวี่ยอู่ขมวดคิ้วเอ่ย

มู่ชิงเกอยังคงส่ายหน้า

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยกับมู่เสวี่ยอู่ว่า “ถึงตอนนี้ท่านแม่ก็ยังไม่ออกมา เกรงว่าคงกำลังอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านพ่อฟังเป็นแน่ เมื่อได้อธิบายแล้ว หนึ่งวันหนึ่งคืนก็ยากที่จะพูดจบ รอจนท่านพ่อฟังจนจบแล้ว เกรงว่าอาจจะหมดแรง เอาเถอะ วันนี้น่าจะไม่มีเรื่อง อะไร พวกเรากลับไปพักผ่อนห้องใครห้องมันเถอะ อย่ารบกวนพวกเขาเลย พรุ่งนี้ข้าค่อยมาตรวจชีพจรให้ท่านพ่อ”

“ดี ทุกอย่างทำตามที่ลูกพี่ว่า” มู่เสวี่ยอู่พูดอย่างเชื่อฟัง

พี่สาวน้องสาวสองคนออกไปจากเรือนพร้อมกัน ส่วนภายในห้องตอนนี้มู่เหลียนเฉิงก็กำลังฟังซางหลันรั่วสรุปเรื่องราวอย่างตกตะลึง

ยี่สิบกว่าปีแล้ว…

เพราะเขาคนเดียวทำให้ตระกูลมู่เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง?

บิดาแก่ชรา ลูกสาวกำพร้า ภรรยาเป็นม่าย!

เขาไม่มีสิทธิ์ไปต่อว่าการกระทำของซางหลันรั่ว เพราะเขาเข้าใจถึงการเลือกของซางหลันรั่วดี ทุกอย่างนี้ล้วนไม่ใช่ความต้องการเดิมของนาง ทุกอย่างมันผิดพลาดไปโดยบังเอิญ

ซางหลันรั่วยกมือขึ้นมาลูบที่ผมของตนเอง ค่อยๆ พูด ขึ้นว่า “ข้าติดค้างเกอเอ๋อร์มากเกินไป ตอนนี้ก็แค่ผมกลายเป็นสีขาวเท่านั้น จะเป็นอะไรไป”

เกอเอ๋อร์ เกอเอ๋อร์ของเขา เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา!

สองมือที่วางอยู่บนผ้าปูเตียงของมู่เหลียนเฉิงค่อยๆ บีบแน่นขึ้นจนแนวกระดูกบนมือกลายเป็นขาวซีดเพราะการออกแรง

ท่าทางของเขาทำให้ซางหลันรั่วปวดใจมาก นางวางสองมือเอาไว้บนมือใหญ่ของมู่เหลียนเฉิง นํ้าตาไหลลงมาจากดวงตา “เหลียนเฉิง เจ้าอย่าเป็นเช่นนี้ หากว่าเจ้าโกรธหรือแค้นข้า ก็ด่าว่าออกมาเลยจะได้ไหม? เจ้าอดกลั้นเช่นนี้ทำให้ข้าปวดใจนัก”

สายตาของของมู่เหลียนเฉิงค่อยๆ สั่นไหว

ในที่สุดดวงตาแดงก่ำก็มองไปยังซางหลันรั่ว “ข้าไม่โทษเจ้า และก็ไม่แค้นเจ้า เพียงแต่แค้นตัวข้าเองที่พลาดเข้าไปติดกับดักจนตาย ถึงได้ทำให้ภายหลังเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น ทำให้เกอเอ๋อร์ของข้าต้องทนทุกข์ ทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ ทำให้ท่านพ่อต้องทนทุกข์ ทำให้เหลียนหรงต้องทนทุกข์ และก็ทำให้ลูกสองคนที่ยังไม่เคยพบหน้าต้องทนทุกข์”

“เหลียนเฉิง!” ซางหลันรั่วกอดมู่เหลียนเฉิงเข้ามาไว้ในอ้อมอกแน่น ร้องไห้เอ่ยว่า “ผ่านไปแล้ว ทุกอย่างล้วนแต่ผ่านไปแล้ว เจ้าก็ปล่อยวางมันลงดีไหม?”

น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของมู่เหลียนเฉิง

เขาเป็นทหาร แต่ไรมาก็เสียแต่เลือดไม่เคยเสียน้ำตามาก่อน แต่ในตอนนี้เขาตายแล้วฟื้นคืน ถูกภรรยากอดไว้ในอ้อมอก เขากลับอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไร้เสียง

วันที่สองท้องฟ้าสดใส

มู่ชิงเกอกับมู่เสวี่ยอู่มาตรงหน้าเรือนของซางหลันรั่วด้วยกัน ทั้งสองคนเดินเข้าไปด้านในก็พบกับซางหลันรั่วที่เดินออกมาพร้อมนัยน์ตาที่แดงก่ำ

มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว เอ่ยถามว่า “ท่านคงไม่ได้ร้องมาทั้งคืนหรอกกระมัง?”

น้ำเสียงของบุตรสาวแฝงความไม่พอใจเอาไว้ ทำให้ในใจของซางหลันรั่วรู้สึกอบอุ่น นางไม่ได้โง่ จะฟังความห่วงใยของบุตรสาวไม่ออกได้อย่างไร? นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เปล่า เพียงแต่วันนี้เช้าตื่นขึ้นมาก็ได้พูดคุยกับพ่อของพวกเจ้า จึงรู้สึกซาบซึ้งใจก็เท่านั้น”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย ความไม่พอใจในใจจางลงไปบ้าง

“ท่านแม่ ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? พวก…พวกเราไปพบเขาได้หรือเปล่า?” มู่เสวี่ยอู่เอ่ยอย่างกลัวๆ

ถึงแม้ยี่สิบปีมานี้นางจะถือได้ว่าเติบโตมาข้างกายของบิดา แต่บิดาของนางไม่เคยรู้ว่ามีนางเป็นบุตรสาวมาก่อน

ซางหลันรั่วพยักหน้า “กำลังจะเรียกให้พวกเจ้าเข้าไปพอดี พ่อของพวกเจ้าอยากจะพบพวกเจ้า”

มู่ชิงเกอและมู่เสวี่ยอู่สบตากันแวบหนึ่งแล้วก็เดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน

เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว มู่ชิงเกอและมู่เสวี่ยอู่ก็มองเห็นมู่เหลียนเฉิงที่กำลังนั่งพิงหัวเตียงอยู่ บนร่างของเขาสวมชุดสีขาว

ชุดสีขาวสะอาดนี้ลดทอนความกล้าหาญเลือดร้อนของเขาลงไป ขนตาของเขาเข้มมาก เข้ากับนัยน์ตาที่ลุ่มลึกของเขา ทำให้คนรู้สึกว่าหล่อเหลาและสง่างาม

ลูกสาวสองคนกำลังพิจารณามู่เหลียนเฉิง

มู่เหลียนเฉิงก็กำลังพิจารณาลูกสาวทั้งสองของตนเองเช่นกัน

เขายันขอบเตียงลุกขึ้นมา ออกแรงก้าวออกไป ในตอนที่เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าวแล้วนั้น ใบหน้าหล่อเหลาก็เผยความตื่นเต้น เร่งความเร็วไปถึงตรงหน้าของมู่ชิงเกอและมู่เสวี่ยอู่

“เจ้าคือเกอเอ๋อร์ เกอเอ๋อร์ของพ่อ” มู่เหลียนเฉิงมองไปยังมู่ชิงเกอ พูดด้วยเสียงสั่นเทา

หลังจากที่มู่ชิงเกอพยักหน้าเบาๆ แล้ว เขาถึงหันไปมองมู่เสวี่ยอู่ สะอื้นพูดว่า “เจ้าคือ…เสวี่ยอู่”

“ท่านพ่อ!” มู่เสวี่ยอู่ร้องเรียกออกมาอย่างดีใจ

เลียงเรียกนี้พุ่งเข้าชนที่หัวใจของมู่เหลียนเฉิง เขายกแขนขึ้น โอบบุตรสาวทั้งสองคนเข้ามาในอ้อมอก

การกอดนี้ มู่เสวี่ยอู่ยังดี แต่มู่ชิงเกอกลับไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่

แต่ก็เพียงพริบตาเดียว แผ่นหลังแข็งทื่อของนางก็ถูกประโยคหนึ่งของมู่เหลียนเฉิงที่พูดข้างหูทำให้อ่อนลง “เกอเอ๋อร์ของข้า พ่อขอโทษเจ้าด้วย”

มู่ชิงเกอรู้สึกอบอุ่นในใจและความอบอุ่นนั้นก็แผ่กระจายออกจากหน้าอกไปยังส่วนต่างๆ ในร่างกายในพริบตา “ท่านพ่อ!”

เสียงนี้เรียกอย่างยินยอมพร้อมใจ ไม่ได้กระดากใจเลยแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินลูกทั้งสองคนเรียกตนเองเช่นนี้แล้ว มู่เหลียนเฉิงก็กอดทั้งสองคนแน่นขึ้น

เขามองซางหลันรั่วแล้วเอ่ยกับนางว่า “หลันรั่ว มา”

ซางหลันรั่วกลั้นนํ้าตาแล้วเดินเข้าไปกอดกับพ่อลูกทั้งสามคน

ครอบครัวได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งนั้นต้องมีความสุขอย่างแน่นอน ความสุข ความทุกข์ ความขมขื่น ความเจ็บปวดที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป

ตอนเที่ยงซางซุ่นหวางเองก็มาเยี่ยม มู่เหลียนเฉิงก็ทำตามธรรมเนียมทำความเคารพพ่อตาด้วยการคุกเข่า เคารพด้วยนํ้าชา

“เกอเอ๋อร์ ร่างกายของพ่อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากซางซุ่นหวางรับการเคารพจากลูกเขยแล้วถึงได้เอ่ยถามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ “ท่านตาวางใจเถอะ ร่างกายของท่านพ่อไม่มีอันตรายแล้ว เพียงแต่เขาเพิ่งจะฟื้นขึ้นมายังต้องการเวลาพักฟื้น”

“ดี” ซางซุ่นหวางพยักหน้า แล้วถอนหายใจพูดว่า “พ่อของพวกเจ้าฟื้นแล้วพวกเจ้าก็ต้องกลับไปหลินชวน เพื่อไปหาปู่ของพวกเจ้าแล้วใช่หรือไม่?”

“ท่านพ่อ…” ซางหลันรั่วเดินไปข้างกายซางซุ่นหว่าง อยากจะเอ่ยอะไรแต่ก็หยุดลง

แต่ซางซุ่นหวางกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “บุตรสาวที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนนํ้าที่สาดออกไป ข้าเลี้ยงดูเจ้ามาตั้งหลายปีแล้ว เจ้าก็ควรกลับไปบ้านของสามีได้แล้ว”

“ท่านพ่อ” มู่เหลียนเฉิงเองก็รู้สึกผิด แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี

ซางซุ่นหวางโบกมือเอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องสนใจข้า หากว่าข้าไม่ใช่ประมุขตระกูลซาง ข้าก็อยากจะตามพวกเจ้ากลับไปดูบ้านญาติเช่นกัน ไปเถอะ กลับไปเถอะ”

หลังจากผ่านไปครึ่งเดือนกว่าๆ แผนการที่ฟื้นฟูของร่างกายมู่เหลียนเฉิงนั้นเหนือไปจากการคาดหมายของมู่ชิงเกอ

เพราะว่ามู่เหลียนเฉิงอยากกลับบ้านมาก มู่ชิงเกอจึงไม่รอจนพวกเหมยจื่อจ้งสี่คนมาร่วมเดินทาง นางทิ้งศิลาวิญญาณไว้ที่ตระกูลซางรอให้พวกเขามาเอาแล้วกลับไปยังหลินชวน ขณะเดียวกันก็ฝากคำพูดเอาไว้ให้พวกเขาว่า ถึงหลินชวนแล้วค่อยรวมตัวกัน

ครอบครัวของมู่ชิงเกอทั้งสี่คนย้อนกลับไปยังหลินชวน ผ่านทางประตูมิติของแคว้นกู่วู่

มู่ชิงเกอไม่ได้หยุดพัก นางเรียกเสี่ยวไฉ่ออกมาแล้วก็นำทั้งครอบครัวบินกลับไปแคว้นฉิน

ในตอนที่กำแพงเมืองลั่วตูปรากฎในสายตาของมู่เหลียนเฉิงและซางหลันรั่วนั้น ความรู้สึกเหมือนถูกแยกออกจากโลกแห่งความจริงนั้นก็ปรากฎขึ้นในใจของทั้งสองคน

“ถึงบ้านแล้ว! คิดไม่ถึงเลยว่า ข้ามู่เหลียนเฉิงจะมีโอกาสได้กลับมาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่” มู่เหลียนเฉิงถอนหายใจด้วยหลากหลายอารมณ์ แล้วกุมมือของซางหลันรั่วแน่น

สองสามีภรรยายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน

หลังจากมู่ชิงเกอเก็บเสี่ยวไฉ่กลับไปแล้วก็มายืนอยู่ข้างกายของพวกเขากับมู่เสวี่ยอู่

มู่ชิงเกอถอดตุ้มหูออกกลับคืนสู่สถานะหญิงสาว นางเอ่ยกับบิดามารดาว่า “พวกเราไปกันเถอะ”

มู่เหลียนเฉิงพยักหน้าแล้วก้าวเดินออกไปทางกำแพงเมืองลั่วตู

ทุกย่างก้าวของเขามั่นคงมาก สายตาของเขาไม่ยอมพลาดบรรยากาศรอบด้านไปแม้แต่นิดเดียว บรรยากาศนี้มีบางอย่างที่เหมือนกับภาพในความทรงจำของเขา และก็มีบางอย่างที่ไม่มีอยู่ในความทรงจำเลย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะมีในภายหลัง

แคว้นฉินกลายเป็นแคว้นระดับสองนานแล้ว

หลายปีมานี้ เมืองลั่วตูกว้างใหญ่ขึ้น ตลาดดูคึกคักและเจริญรุ่งเรืองขึ้น

พวกมู่ชิงเกอสี่คนเพิ่งจะเดินมาถึงใต้กำแพงเมือง ทหารเฝ้ากำแพงเมืองก็จดจำนางได้ในแวบแรกที่เห็น พวกเขาร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นคุณชาย! คุณชายกลับมาแล้ว!”

จากนั้น ทหารที่ได้ยินก็เรียงกันเป็นสองแถวเปิดทางให้มู่ชิงเกอ

พวกเขาร้องขึ้นเสียงสูงพร้อมกันกับเหล่าประชาชนว่า

“ต้อนรับคุณชายกลับเมือง!”

“ต้อนรับคุณชายกลับเมือง!”

ภาพเช่นนี้มู่เสวี่ยอู่เคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้วจึงไม่แปลกใจ แต่กลับทำให้มู่เหลียนเฉิงและซางหลันรั่วตกตะลึงไป พวกเขาไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอจะมีสถานะสูงส่งขนาดนี้ในใจของบรรดาทหารและประชาชนแคว้นฉิน

“เกอเอ๋อร์ เช่นนี้จะเกินหน้าเกินตาไปหรือไม่?” ด้วยประสบการณ์ก่อนหน้านี้ยังฝังลึกในความทรงจำ มู่เหลียนเฉิงจึงมองมู่ชิงเกออย่างเป็นกังวล

มู่ชิงเกอกลับหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยกับเขาว่า “ท่านพ่อวางใจเถอะ วันนี้ไม่เป็นดั่งเมื่อก่อนอีกแล้ว ตระกูลมู่ของพวกเราในตอนนี้นั้นทั้งในแคว้นฉินและทั่วทั้งหลินชวนไม่มีใครกล้าคิดร้ายด้วยแน่นอน”

เพราะตระกูลมู่มีคุณชายอย่างนางอยู่!

คำตอบของมู่ชิงเกอทำให้มู่เหลียนเฉิงแปลกใจ ส่วนซางหลันรั่วได้รู้จากมู่เสวี่ยอู่มาบ้าง เพียงแต่เพราะนางยังไม่รู้ถึงประสบการณ์ของมู่ชิงเกอในหลินชวนอย่างชัดเจน จึงไม่ได้พูดกับมู่เหลียนเฉิง

มู่ชิงเกอไม่ได้อธิบายมาก เพียงแต่เอ่ยว่า “แต่เพื่อจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย พวกเราไปตระกูลมู่เลยดีกว่า”

พูดแล้วรอบกายของนางก็เกิดแสงสีทองวาบขึ้น โอบล้อมคนทั้งสามเอาไว้ภายใน พริบตาเดียวก็หายไปจากที่เดิม ทำให้ประชาชนและเหล่าทหารล้วนแต่ตกตะลึง

ในตอนที่ปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้งนั้น ทั้งสี่คนก็ได้มาอยู่ในตระกูลมู่แล้ว

ตรงหน้านั้นเป็นเรือนของมู่ซง

มู่ชิงเกออธิบายว่า “ข้ารู้ว่าท่านพ่อร้อนใจอยากจะพบท่านปู ดังนั้นจึงมาที่นี่เลย”

คำพูดของนางเพิ่งจะหลุดออกไป ก็ได้ยินเสียงพูดคุยของสองคนปู่หลานดังออกมาจากประตูโค้ง

“ท่านปู่ ใส่นํ้าเยอะไปแล้วหรือไม่ ใบตกหมด ดูไม่มีชีวิตชีวาเลย” ที่พูดนั้นก็คือมู่อี้เฉินที่ยอมอยู่ที่หลินชวนเป็นเพื่อนมู่ซง

“เจ้าเด็กบ้า เห็นได้ชัดว่าขาดนํ้าถึงได้ดูห่อเหี่ยวเช่นนี้” เสียงของมู่ซงดังขึ้นตามมา

เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา มู่เหลียนเฉิงก็ชะงัก เขาคุกเข่าลงกับพื้นแล้วตะโกนเข้าไปที่ประตูโค้งว่า “ท่านพ่อ บุตรอกตัญญูเหลียนเฉิงกลับมาแล้ว!”

มู่ซงที่อยู่ด้านในประตูชะงักไป พลั่วเล็กๆ ในมือตกลงพื้น ดวงตาเบิกกว้าง นัยน์ตาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!