ตอนที่ 491
นางเป็นอาจารย์แม่ของพวกเรา
เมื่อได้การรับรองจากตาเฒ่าไป๋หลี่ด้วยตนเองแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้จากไปอย่างสบายใจ
ก่อนออกจากอาณาจักรเซิ่งหยวนนางยังมีอีกนัดหนึ่ง
หวงฝู่ฮ่วนจัดการดีมาก จัดตำหนักพักแห่งหนึ่งของราชวงศ์ให้ทั้งสามคนรวมตัวกัน ที่นี่อยู่ห่างออกมาจากเมืองที่วุ่นวาย เงียบสงบเหมาะแก่การรวมตัวมาก
เมื่อได้พบเฉินปี้เฉิงอีกครั้ง เขาก็ยังคงเงียบเช่นเดิม เพียงแต่ท่าทางดูเป็นผู้ใหญ่และแข็งแรงกำยำมากขึ้น
แวบแรกที่เขามองเห็นมู่ชิงเกอนั้นก็ปรากฎจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นมา แต่ในพริบตาก็ดับมอดลงไป
มู่ชิงเกอเอ่ยหยอกเย้าว่า “เจ้าไม่ได้หาเรื่องต่อสู้ทันทีที่พบข้า นี่ทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ”
“ตอนนี้สู้ไม่ได้” เฉินปี้เฉิงตอบอย่างซื่อตรง
ความซื่อตรงของเขาทำให้มุมปากของมู่ชิงเกอกระตุกเล็กน้อย
หวงฝู่ฮ่วนเรียกให้ทั้งสองคนนั่งลงแล้วก็รินเหล้าให้พวกเขา หัวเราะเอ่ยว่า “วันนี้กว่าจะได้มารวมตัวกันสักครั้ง อย่าต่อสู้กันเลย หลังจากผ่านวันนี้ไปก็ไม่รู้ว่าจะได้พบ เจอกันอีกเมื่อไหร่”
“ไม่หรอก” ทันใดนั้นเฉินปี้เฉิงก็พูดออกมาแล้วดื่มเหล้าในจอกลงไป
เอ๋?
ไม่หรอก ไม่หรอกอะไร?
มู่ชิงเกอและหวงฝู่ฮ่วนล้วนแต่เหลือบมองเขา
ท่ามกลางความสนใจของทั้งสองคน เฉินปี้เฉิงถึงได้ อธิบายออกมาว่า “นางเป็นอาจารย์แม่ของพวกเรา”
“…” ท่าทางของมู่ชิงเกอแข็งทื่อ ไร้คำตอบโต้
หวงฝู่ฮ่วนกลั้นหัวเราะ กุมมือคำนับไปทางมู่ชิงเกอเอ่ยว่า “อาจารย์แม่ ต่อไปก็ขอรบกวนท่านช่วยเอ่ยถึงเราต่อหน้าอาจารย์บ่อยๆ ด้วย”
เฉินปี้เฉิงก็มองนางอย่างจริงจังแล้วก็ส่งเสียง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
มู่ชิงเกออับอาย เอ่ยอย่างกระดากใจว่า “แค่กๆ เรื่องนี้ ข้าขอไม่สอดมือเข้ายุ่ง”
แต่ในเมื่อสองคนนี้ยอมติดตามซือมั่วแล้ว เหตุใดตอนที่นางอยู่ในวังไท่ฮวงและแดนมาร รกร้างถึงไม่เห็นพวกเขาทั้งสองคนเลย?
“พวกเจ้าได้กราบเขาเป็นอาจารย์แล้ว ได้รู้จักสถานะของเขาหรือยัง?” มู่ชิงเกอลองหยั่งเชิงถาม
เฉินปี้เฉิงกับหวงฝู่ฮ่วนสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็พยักหน้ามองมาที่นาง
มู่ชิงเกอหรี่ตาลง “พวกเจ้าไม่ใส่ใจงั้นหรือ? ต้องรู้ว่าหากพวกเจ้าฝึกปรือตามที่เคยฝึกต่อไปจะเดินไปอีกเส้นทางที่แตกต่างกัน”
หวงฝู่ฮ่วนยิ้มเอ่ยว่า “เผ่าเทพก็ดี เผ่ามารก็ช่าง เป็นเพียงแค่ต้นกำเนิดต่างกันก็เท่านั้น เพียงแค่พวกเรารักษาจิตใจดั้งเดิมเอาไว้ เรื่องอื่นจะเป็นอะไรได้?”
‘ดูจากท่าทางคงจะรู้แล้วจริงๆ’ มู่ชิงเกอเอ่ยในใจ
หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยว่า “ก่อนที่ท่านอาจารย์จะพาพวกเราจากไปนั้นก็ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างชัดเจนแล้วให้ พวกเราเลือก ดังนั้นพวกเราทั้งสองล้วนแต่ยินยอมเอง และจะไม่เสียใจภายหลัง”
“เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าถึงยังไม่ได้เข้าไปในแดนมารรกร้างเล่า?” มู่ชิงเกอถามอีก ช่วงที่ซือมั่วหายตัวไปนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบร่องรอยของพวกเขาเลย
หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงส่ายหน้าพร้อมกัน
“อาศัยความสามารถของพวกเราในตอนนี้ยังไม่ถึงเกณท์’ เฉินปี้เฉิงพูดเสียงเข้ม
หวงฝู่ฮ่วนพยักหน้าเอ่ยว่า “เมื่อพวกเราออกจากหลินชวนก็ถูกท่านอาจารย์พาเข้าไปในโลกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ภายในนั้นเป็นช่องว่างที่สร้างขึ้นเพื่อฝึกฝน ทุกๆ วันจะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้คนสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เพิ่มพูน ประสบการณ์ในการต่อสู้”
ซือมั่วกลับมีสถานที่ที่ดีขนาดนี้อยู่ด้วย!
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอเปล่งประกาย
เหลือเพียงสี่ปีสุสานเทพก็จะเปิดแล้ว ช่วงเวลานี้นางยังกังวลว่าจะไปฝึกฝนที่ไหนดี เพื่อให้ตนเองพัฒนามากขึ้น
ตอนนี้นางได้รู้แล้วว่าผู้ชายของนางมีสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง!
“ครั้งนี้ที่พวกเรากลับมาก็เพราะพระบิดาของข้าป่วย ส่วนช่วงนี้ท่านอาจารย์ก็อารมณ์ดี อนุญาติให้พวกเราได้ลาพักสองสามวัน” หวงฝู่ฮ่วนพูดต่อ
รอเขาพูดจบแล้ว มองไปเห็นดวงตาเป็นประกายของมู่ชิงเกอก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
“ไม่ ไม่มีอะไร” มู่ชิงเกอได้สติกลับมาแล้วก็ยิ้มบางๆ
ความจริงแล้วระหว่างนางกับหวงฝ่ฮู่วนและเฉินปี้เฉิงเองก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันมากนัก เพียงแค่ได้พูดคุยกันบ้าง ตอนที่นางมาอาณาจักรเซิ่งหยวนในครั้งก่อนเท่านั้น
แต่ความสนิทสนมเพียงชั่วคราวนั้น สองคนนี้ต่างช่วยเหลือนางโดยไม่สนใจตนเอง จุดนี้นางไม่เคยลืม ความเป็นเพื่อนวัดกันที่ใจไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวหรือสั้น
หลังจากที่พูดคุยกับทั้งสองคนไปครู่หนึ่งแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้บอกลาจากไป
เดินออกจากตำหนักแยกของราชวงศ์เแล้ว มู่ชิงเกอก็ร้องเรียกไปยังที่ไกลออกไป “กู่เย่”
เมื่อสิ้นเสียงของนาง กลุ่มควันดำกลุ่มหนึ่งก็มาปรากฎขึ้นที่ด้านหลังทางขวามือของนาง หลังจากควันกระจายไป กู่เย่ก็ปรากฎตัวขึ้น “คุณชาย”
“ช่องว่างที่หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงไปฝึกฝนนั้นมีเพียงแค่คนที่ฝึกวิชามารถึงเข้าไปได้งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
“ขอรับ” กู่เย่ตอบ
เขากับกู่หยาลอบคุ้มครองมู่ชิงเกออยู่ข้างกายมาโดยตลอด จึงได้ยินที่พวกเขาสามคนคุยกัน
แน่นอนว่าหากมู่ชิงเกอไม่อยากให้พวกเขาได้ยิน ก็จะบอกพวกเขาก่อนและให้พวกเขาหลบออกไป
คำตอบนี้ทำให้นัยน์ตาของมู่ชิงเกอปรากฎร่องรอยของความผิดหวัง
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หากไม่ใช่เช่นนี้ อามั่วจะไม่พูดถึงสถานที่ฝึกฝนที่ดีเช่นนี้ได้อย่างไร?’ มู่ชิงเกอคิดในใจ
“แต่ว่า…”
กู่เย่ลังเล ทำให้ในใจของของมู่ชิงเกอเกิดความหวังขึ้น มาอีกครั้ง
“แต่ว่าอะไร?” มู่ชิงเกอถาม
กู่เย่เงยหน้ามองนางแวบหนึ่งแล้วก็เอ่ยว่า “หากว่านายท่านอนุญาตและไม่ได้อยู่นานก็สามารถเข้าไปได้”
“ไม่ได้อยู่นานนี้ของเจ้าคือเวลานานเท่าไหร่?” มู่ชิงเกอหรี่ตาลง
มุมปากของกู่เย่กระตุก “ห้ามเกินหนึ่งปี”
หนึ่งปี?
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว คำนวณในใจ ‘เวลาหนึ่งปีสั้นไปหน่อยจริงๆ แต่หลังจากหนึ่งปีนางก็สามารถไปฝึกฝนที่อื่นได้ ดีกว่าไม่มีอะไรเลย’
เมื่อคิดในใจแล้ว นางจึงให้กู่เย่ถอยกลับไป
สำหรับคำอนุญาตจากซือมั่วนั้น…มีอะไรยาก? นางสะบัดแขนเสื้อก้าวยาวๆ จากไป
หลังจากผ่านไปสองวัน ไป๋หลี่เถิงก็กลับไปถึงโรงโอสถกลาง และก็ได้รู้ว่ามู่ชิงเกอมาถึงก่อนแล้ว ทั้งยังนำคำอนุญาตจากเขาเข้าไปในคลัง ในใจของเขาเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
จนเมื่อเขาเข้าไปในคลังและมองเห็นตู้ที่ว่างเปล่า ในที่สุดเขาก็อดเอ่ยออกมาไม่ได้ว่า “มู่ชิงเกอ! เจ้าเด็กคนนี้! เจ้าพูดว่าต้องการวัตถุดิบยาเพียงไม่กี่ชนิดไม่ใช่หรือ ?!”
“แค่กๆ หัวหน้า ผู้อาวุโสมู่พูดแล้วว่าวัตถุดิบยาที่นางเอาไปล้วนแต่เป็นวัตถุดิบยาที่นางต้องการ” เซี่ยเทียนอู๋ เอ่ยขึ้นข้างหลังไป๋หลี่เถิง
ไป๋หลี่เถิงหันกลับไป มองเขาพร้อมไอสังหารที่ลุกโชน “เจ้ากินอะไรเป็นอาหาร! นางเอาของสะสมของโรงโอสถหลายร้อยปีนี้ไปหมดแล้ว แต่เจ้ากลับยังให้นางจากไปอีก”
เซี่ยเทียนอู๋แบมือออก พูดอย่างหมดทางเลือกว่า “ก็ในมือของผู้อาวุโสมู่นั้นเป็นคำอนุญาตจากท่านหัวหน้านี่!”
ประโยคนี้ทิ่มแทงหัวใจของไป๋หลี่เถิง ทำให้เลือดหัวใจของเขาไหลไม่หยุด
จนถึงตอนนี้ หากเขายังไม่เข้าใจว่ามู่ชิงเกอมาล้างแค้น ที่ตกหลุมพรางเขา เขาก็คงใช้ชีวิตหลายปีนี้มาอย่างเสียเปล่าแล้ว!
จะโทษก็ต้องโทษตัวเอง ที่ได้ใจไปชั่วขณะจึงตกหลุมพลางของเจ้าเด็กนั่น!
การรวมตัวกันมักจะเป็นช่วงสั้นๆ ชั่วคราว
ภายในตระกูลมู่เมืองลั่วตู หลังจากมู่ชิงเกออยู่กับครอบครัวสองสามวันแล้วก็พามู่เสวี่ยอู่ไปโรงโอสถสาขาย่อยแคว้นอวี๋
นางเคยนัดกันกับเหมยจื่อจ้ง จ้าวหนานซิง ซางจื่อซู และจูหลิงสี่คนไว้ดีแล้วว่าจะมาดูโรงโอสถสาขาย่อย มาหาโหลวชวนป่าย
โหลวชวนป่ายได้เป็นหัวหน้าโรงโอสถสาขาย่อยแล้ว โรงโอสถสาขาย่อยได้เขาคอยจัดการทำให้ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับสู่ความบริสุทธิ์มากขึ้น คนที่มาเรียนรู้ศาสตร์การปรุงยาที่นี่ก็ล้วนแต่มีใจรักในศาสตร์การปรุงยา
ในตอนที่มู่ชิงเกอมาถึงนั้นก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศไม่เหมือนเดิมแล้ว
“นี่เป็นสถานที่ที่ลูกพี่เรียนศาสตร์การปรุงยางั้นหรือ?” มู่เสวี่ยอู่มองไปรอบด้านอย่างสนใจ
บรรยากาศของโรงโอสถสาขาย่อยนั้นเป็นเอกลักษณ์มาก
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูสนใจของมู่เสวี่ยอู่แล้ว มู่ชิงเกอก็คิดถึงตนเองเมื่อมาที่นี่ครั้งแรก ซึ่งก็ตะลึงไปกับภาพบรรยากาศเช่นเดียวกัน
“รีบเดิน รีบเดิน! วันนี้ศิษย์พี่เหมยจะบรรยายถึงศาสตร์การปรุงยา นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ไม่อาจพลาดได้”
“เมื่อวานศิษย์พี่จ้าวบรรยายแล้ว สองวันก่อนหน้าศิษย์พี่ซางและศิษย์พี่จูก็บรรยายแล้ว วันนี้มาถึงรอบของศิษย์พี่เหมย นี่เป็นรอบสุดท้ายแล้วหรือ?”
“หากได้ฟังศิษย์พี่มู่บรรยายถึงศาสตร์การปรุงยาบ้างก็คงดี
“อย่าฝันไปเลย ห้าสุดยอดของโรงโอสถ ตอนนี้มาแล้วสี่ก็ถือว่าเป็นโชคของพวกเราแล้ว ศิษย์พี่มู่ คุณชายมู่นั้นอยู่ในสถานะอะไร? ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าไปสร้างชื่อเสียงอยู่ที่ไหน จะมีเวลามาบรรยายถึงศาสตร์การปรุงยาให้พวกเราฟังได้อย่างไร?”
“เร็ว เร็ว เร็ว อย่าชักช้า ไม่เช่นนั้นจะไม่เหลือที่ดีๆ แล้ว”
ศิษย์ของโรงโอสถหลายคนเดินผ่านข้างกายของมู่ชิงเกอและมู่เสวี่ยอู่ไปอย่างเร่งรีบ
มู่เสวี่ยอู่ยิ้มบางๆ มองมู่ชิงเกอ เหมือนกำลังสื่อว่า ศิษย์เหล่านี้รีบจนคนที่พวกเขาพูดถึงยืนอยู่ด้านข้างก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลย
มู่ชิงเกอก็ลูบจมูกอย่างกระดากใจ พูดกับมู่เสวี่ยอู่ว่า “ไปเถอะ”
นางก็ว่าแล้วว่าเหตุใดศิษย์ภายในโรงโอสถสาขาย่อยถึงได้น้อยลงมาก ที่แท้ก็เพราะวิ่งไปฟังศิษย์พี่เหมยบรรยายถึงศาสตร์การปรุงยานี่เอง
‘ดูแล้วหลายวันมานี่พวกเขาก็ไม่ได้มีเวลาว่าง นำเอาความรู้ที่เรียนมาจากสำนักวิถีโอสถโลกแห่งยุคกลางกลับมาเผยแพร่ยังที่ที่ตนเองได้เรียนรู้ศาสตร์การปรุงยาเป็นครั้งแรก’ มู่ชิงเกอพูดในใจ
มู่ชิงเกอและมู่เสวี่ยอู่เดินไปถึงนอกลานบรรยายศาสตร์การปรุงยา ที่นี่มีศิษย์นั่งอยู่เต็มไปหมด ส่วนเหมยจื่อจ้ง ก็นั่งสมาธิอยู่บนแท่นตรงใจกลางค่อยๆ พูดบรรยาย
หลายครั้งที่เขามักจะนิ่งเงียบไม่พูดจา แต่เมื่อพูดถึงศาสตร์การปรุงยาแล้วก็จะพูดมากขึ้น
พวกนางไม่ได้เบียดเข้าไป เพียงแต่ยืนฟังอยู่รอบนอก
มู่เสวี่ยอู่มองดูเหมยจื่อจ้งกำลังแบ่งปันประสบการณ์ในศาสตร์การปรุงยาของเขาแล้วก็ยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่เหมยจะมีเวลาที่พูดมากอยู่ด้วย”
มู่ชิงเกอมองนาง ไม่ได้พูดอะไรมาก
เหมยจื่อจ้งพูดตอนเช้า เมื่อเขาพูดจบ ศิษย์ด้านล่างก็ยังนั่งฟังอย่างลุ่มหลง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพวกมู่ชิงเกอสองคนยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มคนพอดี นัยน์ตาที่เรียบเฉยของเขาเปล่งประกาย ยืนขึ้นมาจากพื้นแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ เจ้ามาสิ”
เอ๋?
ชิงเกอ?
มู่ชิงเกอ?
คุณชายมู่!
ศิษย์พี่มู่?
ราชาไร้มงกุฎของหลินชวน!
ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ได้หรือไม่
คำพูดประโยคเดียวของเหมยจื่อจ้ง ทำให้ศิษย์ของโรงโอสถสาขาย่อยที่กำลังมัวเมาไปกับศาสตร์การปรุงยาอยู่ตื่นเต้นขึ้นมา หันมองไปยังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขาทั้งสองคน
ชุดสีแดงและใบหน้าอันงดงาม ท่วงท่าสง่างามที่ไร้คนเทียบ หากไม่ใช่มู่ชิงเกอแล้วจะเป็นใครได้อีก?
ให้ตายเถอะ!
“ให้ตายเถอะ! ในที่สุดข้าก็ได้เห็นคุณชายมู่ตัวเป็นๆ แล้ว!”
“น้องสาวเจ้าสิ พูดดีๆ เป็นหรือไม่? ศิษย์พี่มู่ยังไม่ตายเสียหน่อย!”
“ให้ตายสิ! ที่ข้าพูดนั้นหมายถึงว่าตำนานมาอยู่ตรงหน้าแล้วต่างหาก!”