ตอนที่ 58
คำเชื้อเชิญจากองค์หญิงภูเขานํ้าแข็ง
องค์หญิงฉางเล่อเดินมาด้วยท่าทางสง่า
พร้อมกับที่ฉินอี้เหยาเดินเข้ามาใกล้หญิงสาวข้างกายของมู่ชิงเกอต่างก็ถอยออกไป เหลือพื้นที่ว่างไว้ให้กับทั้งสอง
สถานการณ์เหมือนจะดูตึงเครียดขึ้น
ถือว่าเจ้าอ้วนเช่าฉลาด เมื่อเห็นว่าองค์หญิงเสด็จมาหามู่ชิงเกอและดูเหมือนว่ามีเรื่องจะคุยด้วยจึงเรียกเหล่าหญิงงามให้กลับไปอยู่ข้างแม่นํ้า
โย่วเหอและฮวาเยวี่ยเป็นสาวใช้คนสนิทของมู่ชิงเกอ แน่นอนว่าต้องคอยอยู่รับใช้ทั้งสอง
ป๋ายซีเยวี่ยเองก็รู้กาลเทศะไม่ได้ตามเข้าไป เพียงยืนรออยู่ไกลๆ โย่วเหอตั้งใจหาแก้วสะอาดใบหนึ่ง ล้างด้วยสุราแล้วรินสุรามาแก้วหนึ่งยื่นให้กับฉินอี้เหยา แต่มู่ชิงเกอไม่จำเป็นต้องใช้แก้ว ใช้มือจับขวดสุราขึ้นมาเลย
ฉินอี้เหยาดื่มสุราไปคำหนึ่งแล้ววางลงพูดกับมู่ชิงเกอว่า “อีกสิบวันหลังจากนี้ที่เขตล่าสัตว์ของเชื้อพระวงศ์จะมีการจัดงานชุมนุมล่าสัตวชมไม้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไปร่วมงานกับข้า”
“เป็นพระดำริของไทเฮาหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแล้วถาม
จริงๆ แล้วมู่ชิงเกอไม่รู้เลยว่าการมาเชิญครั้งนี้เป็นการตัดสินใจของฉินอี้เหยาเอง แต่ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับไทเฮาบ้าง เพราะก่อนหน้านี้ไทเฮาเคยยํ้าเตือนฉินอี้เหยาว่า หากนางจะไปร่วมงานเลี้ยงอะไรเพี่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิดและเป็นการรักษาชื่อเลียงอันบริสุทธิ์ของนาง ให้พามู่ชิงเกอไปด้วยจึงจะดีที่สุด
เพราะฉะนั้นฉินอี้เหยาจึงเงียบไม่รู้ว่าการตัดสินใจนี้นางทำเพื่อเหตุผลของตนเองหรือเพราะคำที่ไทเฮาที่เคยตรัสไว้กันแน่
“ล่าสัตว์ชมไม้อย่างนั้นรึ? คนเสเพลอย่างกระหม่อมจะไปทำอะไรกัน?” มู่ชิงเกอโยนขวดเหล้าในมือทิ้ง เอามือสองข้างประคองท้ายทอยแล้วนอนลงไปกับผืนผ้า
“เจ้า! ก็ถือว่าไปเป็นเพื่อนข้าไม่ได้รึ?” ฉินอี้เหยาโดนมู่ชิงเกอต้อนจนจมมุมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จนกระทั่งนํ้าเสียงขอร้องออกมาจากปาก นางจึงได้สติ นี่นางเป็น อะไรกันแน่?
มู่ชิงเกอมองฉินอี้เหยาที่อยู่ในชุดสีฟ้า นึกขึ้นได้ว่าตอนงานเลี้ยงที่วังหลวง สาวน้อยนางนี้เคยช่วยชีวิตตนเอาไว้ก็ลุกขึ้นนั่งและตะโกนคุยกับเจ้าอ้วนเช่าว่า “เจ้าอ้วน อีกสิบวันเจ้าว่างหรือเปล่า?”
เจ้าอ้วนเช่าที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังพยักหน้าตอบไปตามความเป็นจริง
มู่ชิงเกอมองฉินอี้เหยาทันทีและพูดว่า “หากกระหม่อมไป ต้องพาเจ้าอ้วนเช่าไปด้วย”
ฉินอี้เหยาเม้มปาก พยักหน้าบอกว่า “ได้”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากฉินอี้เหยา มู่ชิงเกอก็ยิ้ม และพูดกับเจ้าอ้วนเช่าอีกว่า “เจ้าอ้วน เจ้ากลับไปเตรียมตัวนะ อีกสิบวันไปงานล่าสัตว์ชมไม้ที่เขตล่าสัตว์หลวงกับข้า”
คำเชิญนี้ทำให้เจ้าอ้วนเช่าดีใจมาก กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข ตอบว่า “ได้เลย!”
พูดจบ ก็พุ่งตัวเข้าหาเหล่าสาวงามราวกับเหยี่ยวไล่จับลูกเจี๊ยบ ทำให้เกิดเสียงกรีดร้อง
พอเห็นฉากตรงหน้า ทำให้มู่ชิงเกอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ฉินอี้เหยาเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของนาง แล้วมองเจ้า อ้วนเช่าที่กำลังเริงร่าแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ถามด้วยความแปลกใจว่า “แม้ว่าพวกเจ้าจะถูกเรียกว่า พวกเสเพลเหมือนกัน แต่ข้าดูออกว่าพวกเจ้าไม่เหมือนกันเลย ทำไม ทำไมพวกเจ้าถึงเป็นเพื่อนรักกันได้?”
ครั้งนี้ คำพูดของฉินอี้เหยาแตกต่างกับตอนที่นางบอกให้ออกห่างจากเจ้าอ้วนเช่า เพราะมันไม่มีความเดียดฉันท์หรือดูแคลน เป็นเพียงความสงสัยธรรมดา ดังนั้น มู่ชิงเกอจึงยิ้มพร้อมตอบว่า “ท่านไม่รู้สึกว่าเขาดูจริงใจกว่าหลายคนหรือ?”
“จริงใจอย่างนั้นหรือ?” ฉินอี้เหยาทวนคำตอบของมู่ชิงเกอ มองตัวอ้วนๆ กลมๆ ของเจ้าอ้วนเช่าแล้วหยุดคิด
“พี่มู่”
เสียงอันอ่อนโยนดั่งสายนํ้าดังขึ้นมา ทำให้มู่ชิงเกอต้องหันไปมอง ขัดจังหวะความคิดของฉินอี้เหยา
ป๋ายซีเยวี่ยยืนอยู่ตรงหน้าทั้งสอง ดูอ่อนโยนและเปราะบางดังดอกไม้ ดูน่าทะนุถนอม
แต่มู่ชิงเกอเพียงมองนางอย่างเย็นชา
ฉินอี้เหยาเองก็มองอย่างเย็นชาแวบหนึ่งแล้วละสายตาไป
ป๋ายซีเยวี่ยกัดริมฝีปากสีชมพูของตนเองเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า : “งานล่าสัตว์ชมไม้นี้ ข้าไปด้วยได้หรือไม่?” นี่เป็นโอกาสอันดีงาม นางจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
“เจ้าอยากไปอย่างนั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเลิกคิ้วหยอกเย้า
ป๋ายซีเยวี่ยก้มหน้าลง กัดริมฝีปากท่าทางดูว้าวุ่น ราวกับมู่ชิงเกอกำลังรังแกนางอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ฉินอี้เหยาที่ดูอยู่ข้างๆ ค่อยๆ ขมวดคิ้ว มองป๋ายซีเยวี่ยอย่างค้นหา
มู่ชิงเกอยิ้มเย็นในใจ ยกมือขึ้นชี้ฉินอี้เหยา แล้วพูดว่า “งานล่าสัตวชมไม้ในครั้งนี้ องค์หญิงเป็นผู้เอ่ยชวน” ความนัยของคำพูดนี้ก็คือ หากป๋ายซีเยวี่ยอยากจะไป คนที่นางต้องขอร้องก็คือฉินอี้เหยาไม่ใช่นาง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกัน” ฉินอี้เหยาพูดขึ้นอย่างเย็นชา
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการในใจของป๋ายซีเยวี่ยก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่นางเก็บอาการไว้ใด้เป็นอย่างดี แล้วพูดกับมู่ชิงเกอว่า “พี่มู่ข้าบังเอิญได้ยินมาว่ารุ่ยอ๋องถูกกักบริเวณให้อยู่ภายในเขตอารามหลวง ไม่ทราบว่าท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?”
นางมั่นใจว่า ด้วยความสำคัญที่มู่ชิงเกอมีให้กับรุ่ยอ๋อง หากได้ยินนางพูดถึงเรื่องของรุ่ยอ๋อง แน่นอนว่าจะต้องออกหน้ารับแทน ไม่ต้องให้นางเปลืองแรงถาม ก็จะ รู้เรื่องราวทั้งหมดว่าเหตุใดรุ่ยอ๋องถึงโดนลงโทษ ทว่าพอนางพูดจบ เรื่องทั้งหมดกลับไม่ได้คืบหน้าอย่างที่นางคิดไว้
พูดถึงรุ่ยอ๋อง นอกจากรอยยิ้มที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกงุนงงแล้ว มู่ชิงเกอก็ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดอีก ไม่ได้ดูเศร้าสร้อยหรือตึงเครียดทั้งสิ้น
“อ้อ? เจ้าอยากรู้ว่าเหตุใดรุ่ยอ๋องถึงโดนลงโทษอย่างนั้นหรือ? ถามองค์หญิงโดยตรงเลยไม่ดีกว่ารึ? พระองค์เป็นพี่น้องแท้ๆ กันนะ” มู่ชิงเกอโยนบอลลูกนี้ให้กับฉินอี้เหยา
ป๋ายซีเยวี่ยไม่ทันได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของมู่ชิงเกอ สายตาอันใสซื่อนั้นรีบจ้องไปที่ฉินอี้เหยา
ฉินอี้เหยาพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เสด็จพี่ไม่ได้ถูกลงโทษ เพียงแค่ต้องการแสดงความกตัญญูต่อไทเฮา จึงอาสาไปรักษาศีลที่อารามสามเดือน เพื่ออธิษฐานให้กับไทเฮาและแคว้นของเรา”
“แบบนี้นี่เอง” ป๋ายซีเยวี่ยรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย นางก็นึกว่ารุ่ยอ๋องทำความผิดอะไรไว้ถึงได้โดนลงโทษแต่หากขนิษฐาแท้ๆออย่างองค์หญิงฉางเล่อยังไม่ใส่พระทัย ก็บ่งบอกว่าไม่ได้ทำอันใดให้ฮ่องเต้ไม่พอใจ
นางมองฉินอี้เหยาแล้วมองมู่ชิงเกอที่ไม่ได้สนใจมองนางแวบหนึ่ง ในที่สุดก็พูดขึ้นมาว่า “ซีเยวี่ยไม่รบกวนการสนทนาขององค์หญิงและพี่มู่แล้ว” พูดจบก็พาลวี่จือเดินไกลออกไป
หลังจากที่นางเดินห่างไปไกล มู่ชิงเกอก็มองฉินอี้เหยา พร้อมยิ้มและพูดว่า “องค์หญิงช่างคิดเผื่อพระเชษฐาของพระองค์อย่างดีเลยจริงๆ”
ฉินอี้เหยาตอบนิ่งๆ “ข้าเพียงแต่ไม่ต้องการให้ผู้ที่คิดไม่ซื่อรู้ก็เท่านั้น” “พระองค์ไม่ทรงโปรดนางหรือ?” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วแล้วถาม
ฉินอีเหยาขมวดคิ้ว
เห็นนางเป็นแบบนี้แล้ว มู่ชิงเกอก็หัวเราะ “แต่ว่า พระเชษฐาของพระองค์ทรงโปรดนางมากเลยนะ!”
คำพูดนี้ทำให้ฉินอี้เหยาถึงกับมองป๋ายซีเยวี่ยแล้วขมวดคิ้ว