ตอนที่ 587
พบราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยครั้งแรก
“เจ้าดูรีบร้อนมาก” เซียนสุ่ยยิ้มพูด
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ บอกเขาว่า “ไหนๆ ก็ต้องต่อสู้กัน ช้าเร็วก็ต้องต่อสู้ แล้วจะรํ่าไรไปทำไมเล่า”
คำพูดนี้สามารถทำให้ใบหน้าไร้พิษสงของเซียนสุ่ยหุบยิ้มได้สำเร็จ สายตาที่ดูเหมือนอ่อนแอนั้น ค่อยๆ เย็นวาบขึ้นมา
มู่ชิงเกอหรี่ตาทั้งสองข้าง ระวังตัวเงียบๆ บอกตัวเองว่า ‘นี่ต่างหากจึงจะเป็นท่าทางที่สิบลูกศิษย์ ใหญ่ตำหนักหน้าสมควรเป็น’
ส่วนที่ไม่มีพิษมีภัยก็ดี ส่วนที่อ่อนแอก็ดี ล้วนเป็นใบหน้าหนึ่งของเซียนสุ่ย เป็นการปลอมแปลง
“ดี ในเมื่อเจ้ารีบร้อนเช่นนี้ข้าก็ยินดีสนองเจ้า ความจริงยังนึกอยากจะพูดคุยกับเจ้ามากหน่อย” เซียนสุ่ยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่รอยยิ้มครั้งนี้ไม่มีความอบอุ่นเลยแม้แต่นิด
“ไม่ต้องหรอก หลังจากจบแล้ว หากศิษย์พี่เซียนสุ่ยยังอยากพูดคุยกับข้าอีก ข้ายินดีคุยด้วย”มู่ชิงเกอบอกตรงๆ
เซียนสุ่ยยิ้ม “ดี ไม่เหมือนใครดี”
เขายื่นมือออกมา ในมือไม่มีอาวุธ บอกมู่ชิงเกอว่า “เจ้าเริ่มก่อน ข้าบำเพ็ญก่อนเจ้านานนัก ทั้ง เจ้าเป็นผู้ท้าทาย หากข้าลงมือก่อนเดี๋ยวเจ้าจะไม่มีโอกาสลงมือ”
มู่ชิงเกอยิ้ม “เช่นนั้นขอขอบคุณศิษย์พี่แล้ว”
พูดจบ นางก็โบกมือขวา ในมือนางเกิดไฟลุกเป็นสาย เมื่อเปลวไฟที่โชติช่วงหายไปก็มีทวนยาวใสลื่นถูกนางกำอยู่ในมือทันที
เมื่อทวนหลิงหลงปรากฎก็เป็นที่สนใจของผู้คนบนเขาเล็กที่ลอยอยู่รอบๆ ทันที
“เป็นอาวุธที่ไม่เลวทีเดียว” สายตาสี่น้อยเปล่งประกายแวบหนึ่ง ผงกศีรษะยิ้ม
หกน้อยยิ้มพูดว่า “ของไม่เลว แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของจะสามารถใช้ได้เต็มอานุภาพหรือไม่’’
ที่นี่เป็นแผ่นดินเทพ เป็นดินแดนฮ่วนเยวี่ย
ยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพในมือมู่ชิงเกอ อย่างมากก็เพียงทำให้เผ่าเทพเหล่านี้ตื่นเต้นได้บ้างเท่านั้น ไม่เหมือนโลกแห่งยุคกลางที่ทุกคนต่างตื่นเต้นสนใจ สายตาเซียนสุ่ยพิจารณาทวนหลิงหลงครู่หนึ่งแล้วผงกศีรษะชมว่า “ไม่เลว เป็นทวนชั้นดี”
แววตาสดใสของมู่ชิงเกอมองที่ทวนหลิงหลง รอยยิ้มเชื่อมั่นผุดขึ้นที่มุมปากนาง นางพยักหน้านิดๆ พูดตามเซียนสุ่ยว่า “เป็นทวนที่ดีมากจริงๆ”
ต่อให้พบกับอาวุธที่ร้ายกาจกว่าในภายหลัง หรือนางหล่อหลอมอาวุธใหม่ที่ร้ายกาจกว่าได้ก็ตาม ล้วนไม่สามารถแทนที่ทวนหลิงหลงในจิตใจนางได้
“ศิษย์พี่เซียนสุ่ย ระวังด้วย!” มู่ชิงเกอแววตาเครียดขรึม มือกำทวนหลิงหลง แทงตรงไปที่ เซียนสุ่ย
นางไม่ได้ใช้คาถาอาคม เซียนสุ่ยย่อมไม่เปิดฉากใช้คาถาอาคมทันที
ปลายคมทวนหลิงหลงวาดผ่านเบื้องหน้าเซียนสุ่ย เซียนสุ่ยเบี่ยงตัวเคลื่อนย้าย เริ่มต่อสู้ประชิดตัวกับมู่ชิงเกอ นี่เป็นการประลองทักษะการต่อสู้
เขาใช้การเคลื่อนย้าย มู่ชิงเกอใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิด ตำแหน่งทั้งคู่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน ต่างพลิกแพลงจนคนอื่นๆ มองตามกันไม่ทัน
“เขาตามทันความไวของเจ้าสาม!” แปดน้อยพูดอย่างตะลึงงัน
สี่น้อยกลับยิ้มเยาะว่า “เจ้าสามยังไม่ได้เริ่มลงมือจริงจัง แค่เล่นกับเขาเฉยๆ”
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าในใจเซียนสุ่ยเวลานี้เต็มไปด้วยความตกตะลึง
ความไวของเขาแม้แต่บรรดาสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้าเขาก็ยังอยู่แนวหน้า เขาออมมือหรือไม่ ตัวเองย่อมรู้ดี มู่ชิงเกอเห็นชัดเจนถึงการเคลื่อนย้ายของเขาทุกครั้ง จึงตามเขาได้ทัน เซียนสุ่ยหลบทวนหลิงหลงอยู่บนเวทีประลอง
เมื่อเขาหยุด มู่ชิงเกอก็ไม่โจมตี
“ข้าเกือบลืมไป ปัญญาเทวะของเจ้าร้ายกาจมาก” เซียนสุ่ยมองมู่ชิงเกอแล้วพูดคำนี้ออกมากะทันหัน
“เจ้าสามหมายความว่าอะไร” ห้าน้อยมองสี่น้อยข้างๆ แล้วถาม
สี่น้อยหรี่ตา พูดเสียงเครียดว่า “ดูแล้วเมื่อครู่นี้เจ้าสามไม่ได้ออมมือ แต่ถูกจับจุดการเคลื่อนย้ายได้จริงๆ”
“อะไรนะ! เป็นไปไม่ได้ ความไวของเจ้าสามแม้แต่ข้ายังดูไม่ออก แล้วนั้นเพียงแค่ลูกศิษย์ที่ เข้ามาดินแดนฮ่วนเยวี่ยเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้นนะ” ห้าน้อยพูดอย่างไม่เชื่อ
สี่น้อยมองเขาแล้วยิ้มเยาะเอ่ยว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ขณะที่เขาเข้าดินแดนฮ่วนเยวี่ยรับการทดสอบเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ห้าน้อยถูกเขาเตือนความจำแล้วตาดำก็หดลงทันที
“สามารถดูหมื่นหลักธรรมได้ชัดเจนในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม ทั้งสามารถเข้าใจได้ไม่ใช่เพียงอาศัยความเข้าใจเท่านั้น แต่หมายความว่า ปัญญาเทวะของเขาแข็งแกร่งจนเจ้ากับข้าต่างยากที่จะเข้าถึงได้” สี่น้อยพูดเสียงเครียด
ครั้งนี้สายตาเขามองดูเวทีประลองอย่างจริงจังมากขึ้น
ไม่เพียงแต่เขา คนอื่นก็เช่นเดียวกัน
ห้าน้อยพึมพำอย่างตกใจว่า “ไม่หรอก…เป็นไปไม่ได้…”
บนเวทีประลอง มู่ชิงเกอไม่ได้แสดงอาการต่อคำพูดของเซียนสุ่ย นางบอกเซียนสุ่ยว่า “ศิษย์พี่เซียนสุ่ย ต่อสู้กันเช่นนี้ สู้ประลองจริงจังดีกว่าไหม”
เซียนสุ่ยเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างนึกสนุก “ข้ารู้สึกว่าเจ้าใจร้อนจริงๆ เลย”
ใช่แล้ว นางรีบร้อนมาก
พลังเทพในกายนางสู้เซียนสุ่ยไม่ได้ ผู้ชายที่ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยคนนี้ความจริงแล้วเจ้าเล่ห์มาก คิดจะให้นางสิ้นเปลืองพลังเทพจนหมด แพ้โดยไม่ต้องต่อสู้
“ต้องรีบหน่อย’’ มู่ชิงเกอรับอย่างไม่ปิดบัง กระทั้งแหงนหน้ามองท้องฟ้าพูดคำที่ทำให้คนฟังหัวเราะตกเก้าอี้ “ข้าว่าฟ้าหม่นมาก อีกสักครู่ฝนคงตก พวกเรารีบต่อสู้ให้เสร็จจะได้รีบกลับไปเก็บเสื้อผ้า”
‘ลูกพี่ข้า ท่านพูดอะไรออกมา’ ถงเถิงได้ยินเข้า ก็แทบตกจากเขาเล็กที่ลอยอยู่
คนอื่นก็ต่างหัวเราะกันลั่น
เซียนสุ่ยตะลึง ผงกศีรษะยิ้ม “เจ้านี่ใช้ได้จริงๆ”
ใหญ่น้อยมองจวงซาน พูดอย่างคลุมเครือว่า “เจ้าสิบ คนใหม่ของเจ้าตลกไม่เลวเลย”
จวงซานคราวนี้ไม่นิ่งเฉย พยักหน้ามองไปทางใหญ่น้อยแล้วยิ้มนิดๆ “ใช่แล้ว ตลกดีจริงๆ”
“กลับไปเก็บเสื้อผ้าหรือ” ใบหน้าเซียนสุ่ยบิดเบี้ยวโดยไม่มีสาเหตุ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น
หัวเราะเสร็จเขาก็มองไปทางมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “ตลกมาก ตลกมาก เจ้าตลกมากจริงๆ ในเมื่อเจ้าอยากจะรีบกลับไปเก็บเสื้อผ้าข้าก็ยินดีส่งเสริมเจ้า”
รอยยิ้มเซียนสุ่ยหายไปในบัดดล เขาเปล่งพลังออกมา เสื้อผ้าถูกพายุที่พัดมากะทันหันจนเกิด เสียงดังพึ่บพั่บ
‘มาแล้ว’ แววตามู่ชิงเกอส่งประกาย นางเก็บทวนหลิงหลง ค่อยๆ คุมเชิง
เซียนสุ่ยใช้บัญญัติอาคม นางจะยอมรั้งท้ายไม่ได้
ด้วยการเรียกระดมของเซียนสุ่ย พลังกฎบัญญัติรอบๆ เวทีประลองต่างมารวมตัวกัน ห้อมล้อม รอบตัวเขา จับกลุ่มอยู่ไม่กระจายออก
พลังเขาแข็งแกร่งมาก ดึงดูดสายตาของทุกคน ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า รอบตัวมู่ชิงเกอที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเวทีก็กำลังควบรวมพลังกฎบัญญัติอย่างเงียบเชียบเช่นกัน
รากวิญญาณของเซียนสุ่ยคือนํ้า ดังนั้นพลังกฎบัญญัติที่เขาสามารถใช้ได้ก็เกี่ยวข้องกับนํ้า บัญญัติอาคมของเขาก็ยิ่งต้องเกี่ยวข้องกับนํ้า
ส่วนรากวิญญาณทั้งห้าของมู่ชิงเกอนั้น มีอย่างหนึ่งที่สามารถบังคับนํ้าได้นั้นคือสายฟ้า
พลังสายฟ้านั้นใกลชิดกับมู่ชิงเกอมากที่สุด เป็นหนึ่งในพลังที่ติดตัวนางมาด้วย ดังนั้นที่ผู้เฒ่าลึกลับชี้แนะให้นางนั้นก็คือบัญญัติอาคมของสายฟ้า
ในบรรดาบัญญัติอาคมของสายฟ้ามีบัญญัติอาคมหนึ่งที่สามารถเอาชนะบัญญัติอาคมที่สร้างชื่อให้เซียนสุ่ยได้
ตามที่ผู้เฒ่าลึกลับบอกไว้ เซียนสุ่ยดูเหมือนนิ่งสงบแต่ความจริงเป็นคนหยิ่งยโสมากที่สุด ในการต่อสู้หากสามารถดึงดูดให้เขาเกิดสนใจจริงๆ ได้ เขาก็จะเกิดความคิดอยากเอาชนะและจะใช้กระบวนท่าเดียวพิชิตศึก กระบวนท่านี้ก็คือบัญญัติอาคมที่สร้างชื่อให้เขานั่นเอง
”น้ำเรียงขวาง…” เซียนสุ่ยเรียกชื่อบัญญัติอาคมด้วยเสียงเย็นเฉียบ
สายตามู่ชิงเกอเหี้ยมโหดขึ้นมา คำพูดของผู้เฒ่าลึกลับราวกับดังอยู่ข้างหู
‘นํ้าเรียงขวางของเซียนสุ่ยก็คือบัญญัติอาคมสร้างชื่อของเขา บัญญัติอาคมสายนํ้านั้น เปลี่ยนความนุ่มนวลของน้ำกลายเป็นแข็งแกร่งรุนแรง อันตรายมาก หากเจ้าจะเอาชนะเขา มีเพียงโอกาสเดียวคือ ขณะที่เซียนสุ่ยใช้ท่วงท่านี้ร่างกายเขามักจะเผยจุดอ่อนจุดหนึ่งออกมา นั้นคือรักแร้ของเขา ความจริงจุดอ่อนที่รักแร้เห็นชัดเจน มีคนรู้จำนวนมาก แต่การจะโจมตีจุดอ่อนนี้จนทำให้เขาพ่ายแพ้ได้นั้น มีเพียงอย่างเดียวคือคาถาอาคมสายฟ้าหาวหมาง…”
“หาวหมาง” มู่ชิงเกอพึมพำเสียงค่อย เสียงนั้นเบาจนนางได้ยินเพียงคนเดียว
เวลานี้ ทุกคนต่างถูกพลังกฎบัญญัติของน้ำเรียงขวางทำให้ตกตะลึงไป เซียนสุ่ยรวมพลังน้ำรอบบริเวณ อาศัยกฎบัญญัติ ให้พวกมันรวมตัวอยู่เบื้องหน้าของตัวเอง
พริบตานั้นบนเวทีประลองก็ถาโถมดั่งทะเลเดือด มีอานุภาพขนาดเขาถล่มดินทลาย
ภาพที่น่าตื่นกลัวนี้ทำเอาเหล่าลูกศิษย์ที่เข เล็กต่างมีอาการหวาดหวั่น สายตาเต็มไปด้วยความ นับถือบูชา
ในเวลานั้นเอง เซียนสุ่ยก็ยกแขนขึ้น เผยจุดอ่อนที่รักแร้ออกมา
‘เวลานี้แหละ!’ มู่ชิงเกอตาดำหดเล็กลง พลังกฎบัญญัติสายฟ้าที่สะสมไว้เงียบๆ อยู่ในมือนางแปลงเป็นเข็มแหลม พุ่งตรงไปยังจุดอ่อนที่รักแร้นั้น
เข็มแหลมเล็กมาก เล็กจนไม่มีใครสังเกตเห็นได้
แต่พอเซียนสุ่ยเห็นท่าทางดีดพลังของมู่ชิงเกอ สองตาก็เบิกโต ความรู้สึกว่า แย่แล้ว ผุดขึ้นใน ส่วนลึกของหัวใจ
เขารู้ลึกถึงความผิดพลาดแต่ก็สายเกินไปแล้ว
พลังบัญญัติสายฟ้าที่มู่ชิงเกอดีดออกไปนั้น กระทบเข้ากับน้ำเรียงขวางกลายเป็นกระแสไฟฟ้านับไม่ถ้วนจนฟ้าดินเปลี่ยนสี ขณะที่สายฟ้าทำลายแนวป้องกันน้ำเรียงขวาง เข็มแหลมนั้นก็พุ่งตรงไปยังรักแร้ของเซียนสุ่ยอย่างโหดเหี้ยม
“พลังกฎบัญญัติ! ทำไมเขาจึงรู้จักพลังกฎบัญญัติ เจ้าสิบไม่ใช่บอกว่าเขาเพิ่งทะลวงขอบเขตขั้นถํ้าวิญญาณแค่สิบวันไม่ใช่หรือ” ใหญ่น้อยมองจวงซานอย่างสะท้านใจ
ในเวลาเดียวกัน เหล่าลูกศิษย์อื่นๆ ต่างก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน
“มีพลังกฎบัญญัติด้วย ไม่ใช่เพิ่งเข้าขั้นถํ้าวิญญาณหรือ”
“การต่อสู้ครั้งนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ เลย”
“ใครจะเป็นผู้ชนะกันแน่”
ถงเถิงตกตะลึงตาค้าง เขาเคยชินกับผลกระทบที่ได้รับจากมู่ชิงเกอแล้ว
“ข้าก็ไม่รู้” จวงซานสกัดกั้นความหวาดผวาภายในจิตใจตอบใหญ่น้อย
ในเวลานี้เอง ซวนเฉียงก็พูดเรียบๆ ว่า “เจ้าสามจะแพ้แล้ว”
จริงดังนั้น พอนางพูดจบพลังกฎบัญญัติสะท้านฟ้าของนํ้าเรียงขวางก็กระจายหายไป เซียนสุ่ย กระอักโลหิต มือกุมรักแร้ถอยกรูดไปข้างหลัง
“เจ้าสาม!”
“เจ้าสาม!”
“เจ้าสาม!”
ภาพนี้ทำให้น้อยคนอื่นๆ สะเทือนใจ ต่างคิดจะเข้าช่วยเหลือ
แต่กลับถูกใหญ่น้อยห้ามไว้ ตวาดเสียงเย็นเฉียบว่า “พวกเจ้าจะทำอะไร! นี่เป็นเวทีประลอง ทุกคนถอยไป”
ทั้งห้าน้อย หกน้อย แปดน้อย รองน้อยถูกเขาตวาดเช่นนี้ก็ได้สติกลับมา สีหน้าเคร่งเครียดชักเท้าถอยกลับคืน กระจายพลังเทพที่เรียกขึ้นมาออกไป
เห็นเซียนสุ่ยกระอักโลหิตถอยกรูด เหล่าลูกศิษย์บนเขาเล็กลอยต่างร้องฮือฮากัน
คงมีเพียงถงเถิงที่ตะโกนร้องยินดีโดยไม่กลัวเกรงอะไร “ลูกพี่ข้าชนะแล้ว…”
เซียนสุ่ยพยุงร่างกายนิ่งได้ก็มองมู่ชิงเกอ ด้วยใบหน้าที่สั่นสะท้าน ราวกับเขาไม่นึกถึงเลยว่า มู่ชิงเกอจะใช้ไม้นี้
นํ้าเรียงขวางถูกทำลาย มู่ชิงเกอย่อมถอนพลังกฎบัญญัติของนางออกไป เวทีประลองบนยอดเขากลับคืนสู่ความเงียบสงบ
การต่อสู้นี้ มู่ชิงเกอเองก็รู้สึกสั่นสะท้านถึงจิตใจภายใน เป็นครั้งแรกที่นางใช้พลังกฎบัญญัติเข้าต่อสู้ ที่แท้มีความรุนแรงสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้เอง
“ฮึ! ชนะอะไร เป็นการลอบโจมตีชัดๆ” เสียงร้องของถงเถิงทำให้ห้าน้อยไม่พอใจ แววตาที่เหี้ยมโหดดุร้ายมองไปที่เขา
ถงเถิงรู้สึกว่าถูกคนเพ่งเล็งก็รีบเก็บอาการ ไม่กล้าแสดงออกอีก แต่ภายในจิตใจยังคงลิงโลดยิ่งนัก ตื่นเต้นจนหาสิ่งใดเปรียบเทียบไม่ได้
“เจ้าชนะแล้ว” หลังจากเซียนสุ่ยระงับความพลุ่งพล่านของลมหายใจได้ก็ยืนตัวตรงพูดกับมู่ชิงเกอ
เขาเองก็ใจกว้างพอสมควร เพียงแต่คนอื่นๆ กลับไม่ยอมรับกัน
“เจ้าสาม นี่จะนับเป็นเขาชนะได้อย่างไร” ห้าน้อยพูดทันที
สี่น้อยก็แค่นเสียงฮึว่า “ใช่แล้ว นี่จะนับว่าชนะหรือ”
จวงซานมองมู่ชิงเกออย่างค่อนข้างกังวล เขาเองก็ตะลึงไปเช่นกัน แต่ที่กังวลยิ่งกว่าคือสภาพ การณ์ของมู่ชิงเกอในเวลานี้
“เงียบให้หมด เซียนสุ่ยรู้ตัวเองว่าทำอะไรอยู่” ใหญ่น้อยเปิดปาก คำเรียกของเขาได้เปลี่ยนจากเจ้าสามเป็นเซียนสุ่ยแล้ว
เซียนสุ่ยยิ้มจางๆ บอกมู่ชิงเกอว่า “แพ้ก็คือแพ้ เพียงแต่อีกครึ่งปีข้าจะมาหาเจ้าอีก”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ ไม่ได้ปฏิเสธ
การต่อสู้ครั้งนี้ นางใช้อุบายจริงๆ เริ่มต้นที่หัดบัญญัติอาคมเน้นจุดอ่อนของเซียนสุ่ย ในขณะต่อสู้เร่งความเร็วทำให้เซียนสุ่ยสนใจ หลอกล่อให้เขาใช้นํ้าเรียงขวาง สุดท้ายแล้วทำให้นางชนะได้ด้วยกระบวนท่าเดียว
ทั้งหมดนี้ได้เตรียมการไว้ก่อนหมดแล้ว
มู่ชิงเกอมองร่างผอมบางของเซียนสุ่ยที่จากไป ในใจคิดว่า ‘อีกครึ่งปี เจ้ามาหาข้า ข้าจะคืนการ ต่อสู้ที่ยุติธรรมให้แก่เจ้า’
“เจ้าสามเป็นอะไรกันแน่ จะมาทำเป็นสุภาพบุรุษอะไรในเวลานี้” ห้าน้อยทุบราวกั้นของเขาลอยเล็กอย่างแรง
“เขามีความคิดของตัวเอง” ใหญ่น้อยบอกห้าน้อย
สี่น้อยมองมู่ชิงเกออย่างเฉยเมย ถามว่า “พวกเราจะยอมรับเขาหรือไม่”
คราวนี้ไม่มีใครตอบ
“การท้าทายครั้งนี้ มู่ชิงเกอชนะ ขึ้นเมฆมงคล เข้าวังราชาเทวะ คำนับราชาเทวะ” เสียงที่เรียก มู่ชิงเกอตอนทดสอบปรากฎขึ้นอีกครั้งในเวลานี้
ครั้งนี้พอเสียงหายไปก็มีเมฆลอยมาจากขอบฟ้าหยุดลงที่ใต้เท้าของมู่ชิงเกอ ยกนางลอยขึ้นทั้ง ตัว แล้วมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่สูงที่สุดในดินแดนฮ่วนเยวี่ย…