ตอนที่ 606
อย่าได้อหังการเกินไปนะ
ซือมั่วกอดนางแน่นเข้าไปอีกให้ใบหน้าแนบชิดกล่าวว่า “ข้ากลับอยากให้เวลานี้พวกเขามาที่นี่แล้วเห็นว่าข้ากับฮูหยินข้ารักกันแนบแน่นแค่ไหน”
มู่ชิงเกอดิ้นหลุดจากอ้อมกอดเขา ค้อนเขาหนึ่งขวับถือว่าตักเตือน
ท่าทางของนางทำให้ซือมั่วยิ้มออกมาอย่างชื่นบาน
“เจ้าคงไม่คิดร่วมแข่งขันจริงๆ หรอกใช่ไหม” มู่ชิงเกอถามอย่างไม่แน่ใจ
ความเหิมเกริมของซือมั่วเกินกว่าที่นางคาดคิดไปอยู่มาก เวลานี้ต่อให้เขาพยักหน้าว่าจะไป เล่นสนุกกับกลุ่มเด็กๆ นางก็เชื่อ
ยังดีที่ซือมั่วไม่ได้ไร้สาระถึงขนาดนั้น
เขาบอกมู่ชิงเกอว่า “ข้าเพียงมาสังเกตการณ์เท่านั้นไม่ได้ร่วมแข่งขันด้วย” เขามาดูเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขา จะมีเวลาว่างที่ไหนมาร่วมแข่งขันอะไรนั้น
อืม เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาร่วมแข่งขันก็ดีแล้ว เขาจะได้ตั้งอกตั้งใจดูเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขาว่าโดดเด่นแค่ไหนจนขึ้นได้ถึงอันดับแรก
“นับได้ว่าเจ้ายังพอมีสติอยู่บ้าง” มู่ชิงเกอเหน็บไปหนึ่งคำ
หากมีคนรู้ว่าเจ้าแห่งมารของแดนมารถึงขนาดปลอมตัวเป็นลูกศิษย์เผ่าเทพมาร่วมงานสี่ดินแดนเทพถกวิถี คงจะทำให้คนไม่น้อยต้องหวาดหวั่นสะดุ้งสะเทือน
ไม่เพียงเพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ ยังเป็นเพราะการที่เขาทำเช่นนี้ออกจะลดฐานะตัวเองไปหน่อย
“ข้ามาหาเจ้ายังมีเรื่องอื่นอีกด้วย” ซือมั่วโอบกอดมู่ชิงเกอ พานางเข้าบ้าน หลังจากตัวเองนั่งลงแล้วก็อุ้มนางขึ้นมาบนตัก
มู่ชิงเกอนั่งบนตักซือมั่วใช้สองมือกอดคอเขาถามว่า “เรื่องอะไรหรือ”
“ยังจำมู่เทียนอินได้ไหม” ซือมั่วถาม
มู่ชิงเกอหรี่ทั้งสองตาทันที ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เดิมราวกับมีชั้นนํ้าแข็งปกคลุม มุมปากที่เชิดขึ้นก็ค่อยๆ ตกลงกลายเป็นแน่นเกร็ง “มีข่าวเขาแล้วหรือ”
หลังจากที่หานชุ่นแล้ว ซือมั่วก็ส่งคนแอบติดตามมู่เทียนอิน
เวลานั้นข่าวที่นำกลับมาให้นางก็คือมู่เทียนอินบาดเจ็บสาหัส ตบะบำเพ็ญถูกสกัด พรสวรรค์ถูกบั่นทอน แต่แขนที่ถูกนางฟันขาดได้ถูกต่อกลับไปใหม่
แน่นอนแขนที่ต่อกลับเข้าไปนั้นไม่ใช่ของเดิม แขนมู่เทียนอินที่ขาดไปขณะอยู่ที่หานชุ่นถูกนางบดจนละเอียดไม่เหลือแม้แต่ซากไปนานแล้ว
จากนั้นตระกูลมู่ในแผ่นดินเทพก็หลบซ่อนอย่างมิดชิดโดยสมบูรณ์
เดิมทีตระกูลมู่ก็ใช้ชีวิตอย่างหลบๆซ่อนๆเพื่อหลบการล่าสังหารจากเผ่าเทพอื่นๆ อยู่แล้ว แต่หลังจากครั้งนั้นแล้วก็ถึงขนาดไม่มีร่องรอยอะไรอีกเลย
กระทั่งสายสืบที่ซือมั่วส่งออกไปก็ยังหายไปหมดทุกคน
ไม่เช่นนั้นทำไมนางจึงคิดจะทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงลือลั่น เพื่อให้มู่เทียนอินมาหาถึงที่เล่า
เนื่องจากนางรู้ว่าไม่ว่าจะเป็นแค้นส่วนตัวหรือการแย่งตำแหน่งนายน้อยตระกูลมู่ล้วนทำให้มู่เทียนอินต้องปรากฎตัวขึ้นที่เบื้องหน้านางอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่นางจะทำคือให้มู่เทียนอินรู้ว่าตัวเองมาแล้ว
“อย่าเป็นเช่นนี้” ซือมั่วยื่นมือลูบรอยย่นที่หว่างคิ้วนางให้เรียบ แววสังหารเย็นเฉียบที่ผุดขึ้นมาในนัยน์ตานาง ทำให้ซือมั่วรู้สึกปวดใจ “คนเช่นนั้นไม่มีค่าควรที่จะให้เสี่ยวเกอเอ๋อร์ของข้าต้องโมโหเพราะเขา”
มู่ชิงเกอเก็บไอสังหารรอบตัวถอนหายใจแล้วแย้มยิ้มออกมา “หลายปีมานี้เขาเป็นผู้ชายที่ข้าคิดถึงมากที่สุดนอกจากเจ้า”
ท่าทางล้อเล่นทั้งนัยน์ตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่ง ทั้งยังคำพูดหยอกเย้าทำให้ตาสีอำพันของซือมั่วมืดลง ก้มศีรษะลงครอบครองริมฝีปากนาง
เขากัดริมฝีปากมู่ชิงเกออย่างแรงราวกับจะลงโทษนาง ตักเตือนนางว่า “นอกจากข้าแล้วห้ามไม่ให้คิดถึงผู้ชายคนไหน ต่อให้เป็นศัตรูก็ไม่ได้!”
คำพูดอันธพาลของเขาทำให้มาดเจ้าแห่งมารของเขากลับคืนมาบางส่วน
มู่ชิงเกอก็ไม่โกรธ กลั้นหัวเราะแล้วมองอาการผู้ชายขี้หึงคนนี้ เจ้าแห่งมารที่สังหารคนชนิดตาไม่กะพริบในสายตาคนอื่น แต่เป็นที่ชื่นชอบในสายตานาง ช่างน่ารักยิ่งนัก
“กลับมาเรื่องสำคัญก่อน อยู่ดีๆ ก็เอ่ยถึงเขาเพราะมีข่าวเกี่ยวกับเขาแล้วหรือ” มู่ชิงเกอถาม
ซือมั่วว่า “ข่าวที่แน่ชัดยังไม่มี แต่พบเบาะแสได้บ้างแล้ว”
เขาหยุดนิดหนึ่งมองมู่ชิงเกอว่า “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ เจ้ารู้ไหมว่าในแผ่นดินเทพ สิทธิ์แห่งเทพก็ สามารถซื้อขายในตลาดมืดได้”
มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ นางก็เคยได้ยินมา
“ตลาดมืดชนิดนี้มีวิธีการพิเศษคือสามารถสังหารมนุษย์เทพ แล้วเก็บสิทธิ์แห่งเทพของเขาไป ไม่ให้สิทธิ์แห่งเทพของเขาเข้าไปในสุสานเทพ” ซือมั่วกล่าว
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วนิดๆ ที่นางแปลกใจไม่ใช่วิธีเก็บสิทธิ์แห่งเทพ ไม่ใช่เบื้องหลังตลาดมืด แต่คือเรื่องที่ว่าทำไม อยู่ดีๆ ซือมั่วพูดถึงเรื่องนี้ต่างหาก
“คนของข้าระยะนี้พบว่ามีคนต้องสงสัยว่าจะเป็นพวกที่เหลือของตระกูลมู่ไปตลาดมืดบ่อยๆ คิดจะซื้อสิทธิ์แห่งเทพคุณภาพดีเยี่ยม” ซือมั่วบอกสาเหตุ
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว ตาที่หรี่นั้นค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น “พวกเขาต้องการสิทธิ์แห่งเทพหรือ”
คนตระกูลมู่ต้องการสิทธิ์แห่งเทพไปทำอะไรกัน ตระกูลมู่ที่เหลือในแผ่นดินเทพมารล้วนเป็นมนุษย์เทพ ต่างมีสิทธิ์แห่งเทพของตัวเอง ทำไมยังจะต้องซื้อสิทธิ์แห่งเทพอีก
นิ่งไปนิดหนึ่งแล้วนางถามว่า “ในแผ่นดินเทพ สิทธิ์แห่งเทพล้วนมีมาแต่กำเนิด ทำไมจึงยังมีตลาดมืดเช่นนี้อยู่”
ซือมั่วยิ้ม “เจ้าลืมแล้วหรือว่ายังมีกลุ่มที่เกิดมาไม่มีสิทธิ์แห่งเทพ หากพวกเขาจะก้าวเข้าเส้นทางการบำเพ็ญก็จะซื้อสิทธิ์แห่งเทพเข้าหลอมด้วยกันเพื่อแทนที่”
มู่ชิงเกอตาสว่างนึกขึ้นได้ทันที
ใช่แล้ว มนุษย์ธรรมดา ในแผ่นดินเทพยังมีมนุษย์ธรรมดาอยู่ แต่เกี่ยวอะไรกับตระกูลมู่ต้องการซื้อสิทธิ์แห่งเทพเล่า…
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วสั่นศีรษะ “ตระกูลมู่เสี่ยงภัยซื้อสิทธิ์แห่งเทพย่อมจะต้องเพื่อบุคคลที่สำคัญมากๆ คนที่สำคัญที่สุดของตระกูลมู่ก็คือมู่เทียนอินหรือว่ามู่เทียนอินต้องการ ไม่ใช่ ตัวมู่เทียนอินเองมีสิทธิ์แห่งเทพอยู่แล้ว เขาจะยังต้องการไปอีกทำไม หากสิทธิ์แห่งเทพเขา ไม่ยอดเยี่ยมก็คงไม่ถูกผู้เฝ้ามองเลือกให้เป็นนายน้อยหรอก”
“คิดไม่ออกก็อย่าเพิ่งคิด แต่ครั้งนี้กลับเป็นโอกาสดี หากพวกเขาซื้อสิทธิ์แห่งเทพไปจริงๆ คนของข้าจะสามารถสาวไปถึงร่องรอยของพวกเขาได้” ซือมั่วบอกมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอกลับเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด ลุกขึ้นยืนจากตักของเขาแล้วเดินไปกลับหลายก้าว สองตาหรี่ลงมุมปากแค่นยิ้ม “สิทธิ์แห่งเทพมู่เทียนอินเสียหายแล้ว ทั้งยังเสียหายหนักมากจนไม่สามารถฟื้นฟูได้”
“หือ” ครั้งนี้ กลายเป็นซือมั่วที่ออกอาการประหลาดใจ
เมื่อมู่ชิงเกอเข้าใจแล้วก็ทำให้คิ้วที่ขมวดอยู่คลายออก นางมองไปที่ซือมั่วแล้วยิ้มออกมา “อามั่ว เจ้ารู้ไหมว่าผู้เฝ้ามองมีวิธีลับที่สามารถหลอมสองสิทธิ์แห่งเทพรวมเข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มคุณภาพสิทธิ์แห่งเทพได้”
นัยน์ตาสีอำพันของซือมั่วเกิดประกายเข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอทันที
มู่ชิงเกอหันมองนอกห้อง สองมือไพล่หลังยิ้มอย่างนึกสนุกว่า “ดูแล้วที่หานชุ่นครั้งนั้นเขาบาดเจ็บสาหัสทั้งฝืนยกระดับตบะบำเพ็ญจนถูกแรงสะท้อนกลับ ทำให้สิทธิ์แห่งเทพเสียหายหนักกระทั่งไม่สามารถฟื้นคืน ผู้เฝ้ามองข้างตัวเขาจึงต้องใช้วิธีลับนี้เพื่อซ่อมแซมสิทธิ์แห่งเทพให้เขา”
“เป็นไปได้ว่ามู่เทียนอินรับรู้ถึงความกดดันจากเจ้า ไม่พอใจพรสวรรค์ที่มีอยู่ปัจจุบันอยากให้มีการทะลวงขอบเขตจึงต้องใช้ชวิธีนี้” ซือมั่วเสนอความเป็นไปได้อีกแบบหนึ่ง
มู่ชิงเกอกับมู่เทียนอิน เร็วช้าก็ต้องมีการสู้รบ ในจุดนี้มู่ชิงเกอรู้ มู่เทียนอินก็ย่อมรู้
การรบที่หานชุ่นทำให้มู่ชิงเกอบาดเจ็บสาหัส เพื่อนรักไม่รู้เป็นตายร้ายดี หยวนหยวนเพื่อช่วยนาง แทบจะต้องสลายทั้งร่างทั้งจิตวิญญาณ แต่มู่เทียนอินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก
ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับอะไรไปทั้งยังเสียแขนไปข้างหนึ่ง บาดเจ็บสาหัสทั้งถูกแรงสะท้อนกลับ
การรบเช่นนี้และความรุนแรงเช่นนี้อยู่เหนือความคาดหมายของเขา ราคาที่ต้องจ่ายครั้งสุดท้ายล้วนเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึง น่ากลัวว่าจิตใจเขาก็คงโกรธแค้นมู่ชิงเกออย่างแสนสาหัส เต็มไปด้วยความหวั่นเกรงต่อนาง
ดังนั้นเขาจึงต้องยกระดับตัวเองโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดที่มู่เทียนอินจะทำ
“เมื่อครั้งหานชุ่น มู่เทียนอินบำเพ็ญถึงระดับไหนแล้ว” มู่ชิงเกอถาม
ซือมั่วเวลานี้ก็ไม่ปิดบังนางอีกแล้ว “ขั้นถํ้าวิญญาณขั้นห้า”
“ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นห้า” มู่ชิงเกอสูดลมหายใจลึก พรสวรรค์มู่เทียนอินช่างร้ายกาจจริงๆ หากนางไม่ได้จำผิด มู่เทียนอินมีอายุเพียงร้อยปีเท่านั้น
ชั้นถํ้าวิญญาณชั้นห้าเมื่ออายุร้อยปี พรสวรรค์เหนือกว่าเหล่าลูกศิษย์หน้าตำหนักดินแดนเทพไปไกลนัก
มิน่า มิน่าผู้เฝ้ามองของแผ่นดินเทพจึงได้ให้ความสำคัญมู่เทียนอินเช่นนี้ เชื่อว่าเขาต่างหากจึงจะเป็นนายน้อยตระกูลมู่ที่แท้จริง
“เวลานี้ข้าเป็นเพียงขั้นถํ้าวิญญาณชั้นสาม ยังห่างเขาอีกช่วงหนึ่ง” มู่ชิงเกอพูด
ซือมั่วบอกนางว่า “ไม่ต้องรีบ เสี่ยวเกอเอ๋อร์’ของข้าอายุยังน้อย”
ใช่แล้ว นางยังอายุน้อย
มู่ชิงเกอมองเขา ผุดรอยยิ้มในแววตา
“ดังนั้นที่เจ้าเสี่ยงภัยมาครั้งนี้ยังมีอีกเรื่องก็คือตามข่าวมู่เทียนอินสินะ” นัยน์ตามู่ชิงเกอผุดความอบอุ่นออกมา
‘ทั้งยังข่าวเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างด้วย” ซือมั่วเอ่ยเสริม
นัยน์ตามู่ชิงเกอเปล่งประกายแวววับ พูดเสียงเครียด “เคล็ดวิชาเทวะส่วนล่าง”
ซือมั่วพยักหน้า
มู่ชิงเกอว่า “ราชครูเคยคำนวณดูแล้วแต่ก็ยังไม่มีข่าวที่แน่ชัด ได้เพียงคาดเดาว่าเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างอาจอยู่ในมือมู่เทียนอินแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เขาไม่มีส่วนบนกับส่วนกลางจึงไม่สามารถบำเพ็ญ แต่ก็เป็นไปได้ว่าอยู่ในมือราชาเทวะที่ทำลายล้างตระกูลมู่แต่แรก”
ซือมั่วพูดว่า “ที่ข้าแน่ใจได้คือเขายังไม่ได้ส่วนล่างไป แต่พอมีเบาะแสในมือบ้าง เสี่ยวเกอเอ๋อร์ให้เวลาข้าอีกนิด ข้าจะให้เจ้ารู้ว่าเขาได้เบาะแสอะไรไป ให้เจ้ามีข้อมูลพอๆ กับเขา”
“อามั่ว” มู่ชิงเกอมองซือมั่วด้วยแววตาระยิบระยับ
ซือมั่วไม่ให้นางพูดขอบคุณ แต่เวลานี้จิตใจนางเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“เสี่ยวเกอเอ๋อร์เจ้ารู้ไหมว่าที่เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำให้ใจข้าหวั่นไหวนัก” แววตาซือมั่วเข้มขึ้น
มู่ชิงเกอรู้ตัวทันทีรีบกะพริบตากลับคืนสู่สภาพปกติ นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เพิ่มระยะห่างซือมั่วมากขึ้น บอกเขาว่า “หากได้ข่าวอะไรขอให้บอกข้าทันที ยังมีอีก ถึงแม้เจ้าปลอมตัวได้แนบเนียนแค่ไหนก็ตาม ก็ยังต้องพยายามลดตัวตน อย่าให้ราชาเทวะจงซานตรวจพบได้”
“เขายังไม่มีฝีมือถึงระดับนั้น” ซือมั่วพูดอย่างดูแคลน
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก ไร้คำจะเอ่ยต่อ
มู่ชิงเกอออกจากเรือนซือมั่วหลังนั้นแล้วก็เดินออกจากตรอกเปลี่ยวเข้าไปในถนนใหญ่
แม้เดินอยู่ในหมู่คนแต่มู่ชิงเกอกลับใจจดจ่ออยู่ที่ข่าวมู่เทียนอิน หากนางคาดเดาถูกต้อง คนที่เหลือของตระกูลมู่เสาะหาสิทธิ์แห่งเทพเพื่อมู่เทียนอิน ถ้าเช่นนั้นหากเขาหลอมรวมได้สำเร็จ พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นถึงระดับไหนกันนะ
ผ่านมาหลายปีตบะบำเพ็ญของมู่เทียนอินอยู่ถึงขั้นไหนแล้ว
มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ว่ามู่เทียนอินเวลานี้อยู่ขั้นไหนก็ล้วนสูงกว่านาง นางยังต้องพยายาม ต้องพยายามมากขึ้นก่อนที่จะมีการสู้รบของคนทั้งสอง
พยายามเพิ่มตบะการบำเพ็ญให้สูงขึ้น
มู่ชิงเกอมองขึ้นไปข้างบน ดวงตาที่แจ่มใสมองไปที่ฟันเฟืองลาดเอียงถูกทับถมโดยหิมะราวกับล่องลอยกลางท้องฟ้า
‘สี่ดินแดนเทพถกวิถีครั้งนี้ ข้าจะต้องเข้าไปให้ถึงสามคนแรกเพื่อจะได้มีคุณสมบัติเข้าอาบแสงแห่งวิถีในสิบวันให้ได้’ มู่ชิงเกอคิด
เวลานี้ในจิตใจนางรู้สึกเพียงว่าในเมื่อสามคนแรกต่างได้อาบแสงแห่งวิถีสิบวันเหมือนกัน อย่างนั้นนางเพียงแค่ เป็นหนึ่งในสามคนแรกได้ก็พอแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าในสามคนแรกนี้ยังมีผลประโยชน์ที่ได้รับแตกต่างกันไปอีกด้วย
มู่ชิงเกอเดินไปทางที่พักของดินแดนฮ่วนเยวี่ย แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ทำให้นางหยุดเดินหันหลัง เปลี่ยนทิศทางใหม่
“หลีกไป” เสียงที่เย็นเฉียบไร้จิตใจถูกใส่พลังเทพไว้
สองคำทำให้พวกคนมุงรอบๆ ต่างถอยไปจนหมด แต่คนก่อเรื่องไม่ได้ถอยไปด้วย
ซวนเฉียงขมวดคิ้วนิดๆ นางนึกไม่ถึงว่าตัวเองแค่เพียงบำเพ็ญเสร็จสิ้นแล้วออกมาเดินเล่นก็จะมีความยุ่งยากเข้ามาหาแบบนี้ คนที่ขวางอยู่เบื้องหน้านางก็คือลูกศิษย์ดินแดนจั๋วอวี่ที่เพิ่งเข้ามาดินแดนจงซาน ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ว่าตัวนางคือคนของดินแดนฮ่วนเยวี่ย ยังกล้าเหิมเกริมถึงเพียงนี้
จิตใจซวนเฉียงค่อยๆ ผุดความรู้สึกต้องการสังหารขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะสถานที่และเวลาไม่เอื้ออำนวยนางคงสังหารคนที่มาขวางทางพวกนี้ไปนานแล้ว
“นางฟ้าดินแดนฮ่วนเยวี่ย ดูเจ้าเย็นชาเช่นนี้ หรือว่าคือ ซวนเฉียงผู้ฝึกวิถีลืมรัก หนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ดินแดนฮ่วนเยวี่ย” ลูกศิษย์ดินแดนจั๋วอวี่ที่ขวางทางยิ้มอย่างกวนโทสะ
ซวนเฉียงเม้มปากนิ่ง ไม่ได้สนใจ
เขากลับยิ่งได้ใจ คำพูดที่ออกจากปากก็ยิ่งหยาบคาย “ข้าว่านะเจ้างามถึงเพียงนี้จะบำเพ็ญทำไมวิถีลืมรัก ไม่สู้ติดตามข้า ข้าเป็นเพื่อนร่วมฝึกวิถีสราญรมย์กับเจ้า ฝึกกันทั้งวันทั้งคืนก็ยังไหว ดีไหม”
“บังอาจ!” ถูกคนดูหมิ่นหยาบคายเช่นนี้สีหน้าซวนเฉียง เย็นเฉียบไปทั้งใบหน้า
ขณะที่นางกำลังจะควบคุมจิตสังหารในใจไม่อยู่นั้น เสียงหนึ่งก็แทรกเข้ามากะทันหัน”เจ้าเจ็ด”
ซวนเฉียงมองไปก็เห็นมู่ชิงเกอเดินออกมาจากฝูงชน
“เจ้าเป็นใคร เรื่องของข้าเจ้ากล้ายุ่งหรือ ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไร” ลูกศิษย์ดินแดนจั่วอวี่ร้องอย่างโอหัง
เขากำลังหยอกเย้าสาวงาม อยู่ดีๆ มีหนุ่มรูปงามกว่าเขามาวุ่นวายอะไรด้วย
มู่ชิงเกอมองเขา ยิ้มว่า “แล้วเจ้าเป็นตัวอะไรหรือ”
ทั้งคำพูดและนํ้าเสียง ความยโสโอหังไม่ได้น้อยไปกว่าคนดินแดนจั๋วอวี่แม้แต่นิด ทำให้คนรู้สึกว่า ทั้งคู่กำลังประลองกันว่าใครยโสโอหังกว่าใคร