ตอนที่ 619
สี่ราชาเทวะน้อย
“ถูกต้อง 99 ชั้น แต่ตั้งแต่ชั้น 24 ขึ้นไป ชั้นด้านบนนั้นไม่เคยมีใครขึ้นไปได้มาก่อน”
“ไม่รู้ว่า ครั้งนี้พวกเราจะสามารถบำเพ็ญได้ที่ชั้นไหน”
“คนที่ปีนได้ถึงชั้นที่ 24 คือเป่ยเหยียนหนึ่งในสี่ราชาเทวะน้อยใช่หรือไม่”
“เวลานี้อย่างมากที่สุดเรียกได้เพียงสามราชาเทวะน้อยกระมัง อีกหนึ่งตำแหน่งยังว่างอยู่เลยนะ” มีคนพูดอย่างสะท้อนใจ
มู่ชิงเกอภายในแสงแห่งวิถีปีนขึ้นไปได้ 13 ชั้นแล้ว
ส่วนคนด้านนอกแสงแห่งวิถีก็เริ่มพูดคุยกันฆ่าเวลา ราวกับว่าพวกเขาวางจิตใจที่แขวนอยู่ลงเนื่องจากมู่ชิงเกอได้ผ่านพ้นมาตรฐานที่ตํ่าที่สุดไปได้แล้ว
หัวข้อพูดคุยของพวกเขาได้เปลี่ยนจากเรื่องที่ว่า ใครขึ้นไปได้สูงสุดในแสงแห่งวิถีเป็นเรื่องสี่ราชาเทวะน้อย แห่งแผ่นดินเทพตะวันออกแทน
ฮ่วนเยวี่ยสิบคนล้วนอยู่ภายในกลุ่มนี้ เวลานี้พวกเขายืนห้อมล้อมรอบตัวหลีเฉาฟังคำวิจารณ์เหล่านั้นด้วยแววตาที่ไม่สู้จะปกตินัก
สี่ราชาเทวะน้อยก็คือผู้ที่ถูกยกย่องว่าในอนาคตมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะได้เป็นราชาเทวะคนใหม่ที่สามารถทดแทนตำแหน่งราชาเทวะคนปัจจุบันได้
ทุกแดนเทพต่างมีหนึ่งคน ปัจจุบันที่ยังขาดอยู่ก็คือ แดนฮ่วนเยวี่ย
ราชาเทวะน้อยแดนจงซาน เป่ยเหยียน ราชาเทวะน้อยแดนจั๋วอวี่ เหยียนเสี่ย ราชาเทวะน้อยแดนเหว่ยอี้ ชิวเยวี่ย ส่วนราชาเทวะน้อยแดนฮ่วนเยวี่ย…
“สามพันปีมาแล้ว ราชาเทวะไม่เอ่ยถึงเรื่องราชาเทวะน้อยอีกเลย” ซวนเฉียงเม้มปากพูดออกมา
หลีเฉาถอนใจว่า “เรื่องนั้นทำให้ราชาเทวะเสียใจมากจนเกินไป ที่เขาไม่เอ่ยถึงเลยก็สามารถเข้าใจได้”
“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ศิษย์พี่อวี๋หยาทำไมจึงต้องทิ้งด้านสว่างเข้าหาด้านมืด เข้าไปในแดนมารด้วย” สี่น้อยสั่นศีรษะช้าๆ พูดออกมา
“เจ้าสี่เงียบเลย” หลีเฉาส่งเสียงเตือน
สี่น้อยชะงัก หุบปากไม่เอ่ยอะไรอีก
หัวข้อนี้เป็นสิ่งต้องห้ามของแดนฮ่วนเยวี่ย เป็นหัวข้อที่ห้ามไม่ให้ลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ยพูดถึง
แต่พวกเขาไม่พูดก็ไม่ได้หมายความว่าลูกศิษย์แดนเทพอื่นจะไม่พูดด้วย
เมื่อด้านแดนฮ่วนเยวี่ยสงบปากสงบคำลงก็กลับได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบด้านได้ชัดเจนมากขึ้น
“ข้าได้ยินว่า ราชาเทวะน้อยแดนฮ่วนเยวี่ยเพราะรักผู้หญิงเผ่ามารคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วชื่อเสียงฐานะย่อยยับ ถูกทอดทิ้งเหยียดหยามจากเผ่าเทพ สุดท้ายแล้วจึงต้องเข้าไปในแดนมาร”
“เรื่องนี้ข้าก็ได้ยินมา ข้าจำได้ว่าราชาเทวะน้อยฮ่วนเยวี่ย คนนั้นชื่อว่าอวี๋หยา เห็นว่าพรสวรรค์สุดยอด ทั้งถูกยกย่องว่าสามารถแข่งกับเป่ยเหยียนแดนจงซานได้ เวลานั้นทั้งสี่ราชาเทวะน้อยโดดเด่นเหนือชั้น สามคนนอกจากเขาต่างเข้าอาบแสงแห่งวิถีแล้ว เป่ยเหยียนผลงานดีที่สุด ขึ้นถึงชั้น 23 หลังจากอาบแสงแห่งวิถีแล้ว ภายในครึ่งปีทะลวงขอบเขต ติดต่อกันสามชั้น รองลงมาคือราชาเทวะน้อยแดนจั๋วอวี่ เหยียนเสี่ยขึ้นถึงชั้น 22 ก็ได้ทะลวงขอบเขตสามชั้นภายในครึ่งปีเช่นเดียวกัน คนสุดท้ายคือราชาเทวะน้อยแดนเหว่ยอี้ ชิวเยวี่ยถึงแม้เพียงขึ้นถึงชั้นที่ 20 แต่ก็สามารถทะลวงขอบเขตถึงสามชั้นเหมือนกัน เหล่าผู้อาวุโสเวลานั้นตั้งความหวังไว้ที่อวี๋หยาอย่างสูงสุดล้วนอยากเห็นเขานำลูกศิษย์เข้าไปในแสงแห่งวิถีว่าจะสามารถขึ้นได้ถึงชั้นไหน ไม่นึกเลยว่า ยังไม่ทันเริ่มถกวิถีก็มีข่าวว่าเขาเข้าไปอยู่ในเผ่ามาร เป็นที่น่าเสียดายนัก”
“ฮึ! เสียดายอะไร ในสายตาข้าคนที่จิตใจไม่แน่วแน่จนถูกเผ่ามารล่อลวงไปได้ง่ายๆ เช่นนี้ไม่เหมาะสมที่จะมาเป็นสี่ราชาเทวะน้อยของพวกเราแผ่นดินเทพตะวันออก รีบจากไปก่อนก็ดี อนาคตหากเกิดสงครามเทพมารครั้งใหญ่เขาจะได้ไม่มาทรยศหักหลังเรา”
“พวกเจ้าว่าผู้หญิงเผ่ามารร้ายกาจสักแค่ไหนกัน ขนาดคนระดับอวี๋หยายังหลอกล่อไปได้ ข้าได้ยินมาว่าอวี๋หยานิสัยเย็นชา พูดน้อยมาก แม้แต่ในแดนฮ่วนเยวี่ยก็ไม่พูดคุยเล่นหัวกับ เหล่าลูกศิษย์หญิง นิสัยเย็นชาอย่างมาก ลูกศิษย์หญิงในแดนเทพอื่นก็มีคนแสดงความรักต่อเขา แต่เขาล้วนปฏิเสธอย่างเย็นชา แล้วทำไมจึงถูกผู้หญิงเผ่ามารล่อหลอกจนหลงมัวเมาไร้สติออกจากแผ่นดินเทพได้เล่า”
“เรื่องสมัยนั้นใครจะบอกได้ชัดเจนเล่า อีกทั้งผ่านไปหลายพันปีแล้ว อวี๋หยามีชีวิตอยู่หรือไม่ยังไม่รู้เลย จะพูดถึงเขาทำไม”
“ใช่แล้ว แต่แดนฮ่วนเยวี่ยหลายพันปีนี้ ไม่พูดเรื่องราชาเทวะน้อยเลย รอให้ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยสิ้นสูญแล้ว แดนฮ่วนเยวี่ยจะไม่วุ่นวายใหญ่โตเลยหรือ”
“ฮี่ๆ นั้นก็เป็นเรื่องอีกนานๆ มากนั้นแหละ ใครจะว่างมานั่งห่วงกัน”
การวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับอวี๋หยาจบลงในที่สุด
ภายในจิตใจลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ยทั้งหมดเรื่องนี้เหมือนแผลเป็นที่ลบเลือนไม่ออก ฟังคนอื่นวิจารณ์แล้วพวกเขาก็รู้ลึกเจ็บปวดถึงดวงใจ เหลือที่จะทนรับได้
เพียงแต่มีหลีเฉากดไว้ทำให้พวกเขาไม่ได้เอ่ยหยุดยั้ง
เนื่องจากพวกเขาต่างรู้ว่าหากแข็งขืนออกไปโต้เถียงมีแต่จะโดนวิจารณ์กลับมาอีกมากมายเท่านั้น
ในที่สุด พวกเขาก็ไม่วิจารณ์ต่อ จิตใจเหล่าลูกศิษย์แดนฮ่วนเยวี่ยก็สบายขึ้นเล็กน้อย
“รีบดูเร็ว เขาปีนไปถึงชั้น 23 แล้ว”
“ชั้น 23 จริงๆ ด้วย”
“นั้นเป็นสถิติที่เป่ยเหยียนทำไว้ก่อนหน้านี้นี่”
“เขายืนนิ่งไม่ขยับแล้ว ไม่สามารถปีนต่อได้แล้วกระมัง”
“อ่าๆๆ…ไม่ว่าจะสามารถหรือไม่สามารถพวกเราก็คุ้มค่าแล้ว คุ้มมากแล้ว”
“ถูกต้องๆๆ ยังดีที่ครั้งนี้สามน้อยอ่วนเยวี่ยชนะ หากเป็นคนอื่นยังไม่รู้ว่าจะขึ้นถึงชั้น 23 ได้หรือไม่”
พวกที่เพิ่งวิจารณ์กันจบพอเงยหน้าดูก็พบว่ามู่ชิงเกอขึ้นไปถึงชั้นที่ 23 แล้ว พวกเขาต่างดีใจยิ่งนัก พากันตื่นเต้นร้องเกรียวกราวมองไปที่มู่ชิงเกอ
แม้แต่หลีเฉากับจวงซานก็เป็นเช่นเดียวกัน พวกเขาก็มัวแต่สนใจเรื่องตั้งแต่เก่าก่อนนั้นจนลืมมู่ชิงเกอไป เวลานี้เมื่อได้ยินเสียงฮือฮาพวกเขาจึงสังเกตเห็นว่า มู่ชิงเกอได้ขึ้นไปถึงความสูงระดับเดียวกับที่เป่ยเหยียนเคยไปถึงแล้ว
คงมีเพียงผู้ดูแลแดนจงซานที่เฝ้าสังเกตมู่ชิงเกอตลอดเวลา ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ เขามองดูมู่ชิงเกอปีนขึ้นไปทีละชั้นๆ ระหว่างการปีนขึ้นนั้นท่าทางผ่อนคลายสบายใจของอีกฝ่ายทำให้เขาชักจะสงสัยว่าแสงแห่งวิถีที่นี่เป็นของปลอมหรือไม่
ที่ว่ายากราวกับปีนขึ้นสวรรค์เล่า
ทำไมคนผู้นี้จึงเดินได้สะดวกสบายนักนะ
ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นเต้น มู่ชิงเกอก็ได้ขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 24 แล้ว ทำลายสถิติเดิมที่เป่ยเหยียนทำไว้
“ชั้น…ชั้นที่ 24 แล้ว”
“ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม”
เสียงฮือฮาดังเซ็งแซ่ภายนอกแสงแห่งวิถี
คนไม่น้อยขยี้ตาเพื่อดูให้แน่ใจ
ความสูงของมู่ชิงเกอตัดสินความสูงของชั้นที่พวกเขาทั้งหมดจะได้รับ ยิ่งมู่ชิงเกอขึ้นไปได้สูงเท่าไร สำหรับพวกเขาแล้วก็ยิ่งดีเท่านั้น
เวลานี้ มู่ชิงเกอยังคงขึ้นไปต่อเนื่อง พวกเขาย่อมตื่นเต้น กระทั้งดีอกดีใจออกมา
เวลานี้ แม้แต่ลูกศิษย์แดนจั๋วอวี่ที่สามารถเบียดเข้ามาในร้อยคนได้เองก็ลืมความแค้นที่มีต่อมู่ชิงเกอไปชั่วคราว ภาวนาให้เขาปีนขึ้นไปสูงขึ้นอีก…สูงขึ้นไปอีก
มู่ชิงเกอไม่ได้คิดถึงคนอื่น เวลานี้นางยืนอยู่ที่บันไดชั้น 24 เงยหน้าเอามือไพล่หลัง มองบันไดที่ไขว้ไปมาด้านบน
นางยังสามารถขึ้นไปได้อีก ถึงแม้จะเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดัน พลังนั้นขัดขวางไม่ให้นางปีนขึ้นไปต่อ แต่ก็ใช่ว่าจะทนไม่ไหว
‘ในเมื่อยังขึ้นได้ก็ขึ้นไปต่อเถอะ’ มู่ชิงเกอบอกตัวเองในใจ และปีนต่อขึ้นไปอีก
ชั้นที่ 25
ชั้นที่ 26
นอกแสงแห่งวิถี ทั้งบริเวณต่างเงียบเชียบ ทุกคนต่างจ้องเงาร่างสีแดงที่ปีนชั้นบันไดขึ้นไปไม่หยุด ยังคงปีนต่อเนื่อง
“เขาจะสามารถปีนขึ้นไปได้ถึงชั้นไหนกัน” สี่น้อยฮ่วนเยวี่ยถามอย่างอดไม่ได้
แต่คำถามนี้ก็ไม่มีใครสามารถตอบได้
ซวนเฉียงเม้มปากพูดเรียบๆ ว่า “ราชาเทวะเคยบอกว่า หากศิษย์พี่อวี๋หยามาที่แสงแห่งวิถีอย่างมากที่สุดก็สามารถขึ้นไปได้ถึงชั้น 30”
“ชั้น 30 หรือ” หลีเฉาพึมพำ
เวลานี้เท้าของมู่ชิงเกอก็เหยียบลงที่ชั้น 30 พอดี ขณะที่นางยืนอยู่ที่ชั้น 30 ตาดำของซวนเฉียงก็หดลง ใบหน้าที่เย็นชาดังน้ำแข็งเกิดอาการตกใจเป็นครั้งแรก
หลีเฉามองเงาหลังมู่ชิงเกอที่ปีนต่อไปด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก หลุดปากออกมาว่า “ไม่แน่ว่า พวกเราแดนฮ่วนเยวี่ยเองก็สมควรมีราชาเทวะน้อยคนใหม่ได้แล้ว”
ราชาเทวะน้อยคนใหม่
นอกจากจวงซานแล้ว คนทั้งแปดที่เหลือต่างออกอาการประหลาดใจ
ราชาเทวะน้อยคนใหม่เป็นมู่ชิงเกอหรือ
ผู้ที่ทำให้น้อยทั้งหมดของฮ่วนเยวี่ยต่างมองไปที่เงาร่างด้านหลังของเขาได้ ใช่แล้ว เจ้าคนนี้ มารปีศาจที่ไม่รู้โผล่มาจากส่วนไหนของโลกข้างล่างเข้ามาในแผ่นดินเทพ ในช่วงสั้นๆ ไม่กี่ปีก็สร้างสิ่งมหัศจรรย์มากมายเช่นนี้
ราวกับคำว่า ‘พ่ายแพ้’ ไม่มีอยู่ในตัวเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฎบนตัวเขาตลอดไป
…ชั้นที่ 34
ชั้นที่ 35
ชั้นที่ 36
หลังจากมู่ชิงเกอขึ้นถึงชั้นที่ 40 แล้วสีหน้าท่าทางของผู้คนนอกแสงแห่งวิถีก็ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายอย่างไรได้แล้ว
สุดท้ายแล้ว มู่ชิงเกอก็หยุดลงที่ชั้นที่ 52
นางยืนอยู่บนบันไดแล้วเงยหน้าแหงนมอง พึมพำกับตัวเองว่า “คล้ายกับยังขึ้นได้อีก แต่ที่นี่ก็พอสมควรแล้ว โลภมากลาภหาย ความทะเยอทะยานนั้นมีได้ แต่จะโลภเกินไปไม่ได้”
นางกลับไม่รู้ว่าขณะที่นางหยุดลงผู้คนที่ยืนอยู่นอกแสงแห่งวิถีนั้นต่างถอนหายใจโล่งอกพร้อมๆกัน
ความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจคือ ‘ในที่สุดเขาก็หยุดลงจนได้’
มู่ชิงเกอแหวกชายเสื้อคลุม นั่งขัดสมาธิลงยึดครองบันไดชั้นที่ 52
พอนางนั่งลงชั้นบันไดทั้งหมดที่นางเดินผ่านต่างเปล่งรัศมีทองคำออกมา ราวกับบัญญัติข้อห้ามถูกเปิดออก กลายเป็นแสงสว่างบาดตาไปทั้งแถบ
ผู้คนที่อยู่นอกแสงแห่งวิถีถูกแสงสว่างเหล่านี้สาดส่องจนต้องพากันหลับตาลง
ผู้ดูแลแดนจงซานคนนั้นก็ผวาตื่นจากความตกใจ สั่งคนที่เหลือทันที “ที่สอง ขึ้นชั้น 50 ที่สาม ขึ้นชั้น 47 คนที่เหลือขึ้นชั้น 42”
พอเขาสั่งจบ ทุกคนก็เคลื่อนไหวในทันที
หลีเฉาก้าวเข้าแสงแห่งวิถีก่อน อวี้ลี่ว์ตามมาติดๆ เขาเดินมาที่ข้างตัวหลีเฉาแล้วบอกเขาว่า “อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าครั้งนี้ข้าแพ้ได้คุ้มค่ามาก การตัดสินใจของข้าเองก็ฉลาดลํ้าจริงๆ”
คำพูดของเขาหมายความว่าอะไรนั้นหลีเฉาย่อมรู้อยู่แก่ใจ
ความจริง ใจเขาเองก็คิดเช่นเดียวกัน
หากเขาเป็นที่หนึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นบันไดมาได้สูงถึงเพียงนี้ คำนวณดูแล้วการที่เขายอมแพ้ก่อน ดูเหมือนทำให้มู่ชิงเกอสมหวัง แต่ความจริงแล้วก็ทำให้ตัวเองสมหวังเช่นกัน กระทั่งทำให้ตัวเองต้องตื่นเต้นยินดีเสียด้วยซํ้า
การยอมถอยครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ
หลีเฉาสั่นศีรษะฝืนยิ้ม ดูแล้วจนสุดท้ายเขาก็ยังติดหนี้น้ำใจมู่ชิงเกออยู่ดี
ทั้งร้อยคนเข้าไปในแสงแห่งวิถีแล้ว หลีเฉาขึ้นไปชั้นที่ 50 ที่อยู่ใกล้มู่ชิงเกอมากที่สุดขณะที่เขาไปถึงและมองขึ้นไปก็เห็นมู่ชิงเกอหลับตาทั้งสองข้างเริ่มต้นบำเพ็ญแล้ว
หลีเฉาเองก็นั่งขัดสมาธิโดยไม่ได้ส่งเสียงรบกวนใดๆ ปรับอารมณ์ความรู้สึก หลับตาทั้งสองข้างลง
การอาบแสงแห่งวิถีนั้นเป็นโอกาสพิเศษ และเป็นโอกาสที่จะได้เลื่อนชั้นการบำเพ็ญที่ดีที่สุด