ตอนที่ 646
คู่แค้นพบกันอีกครั้งที่เขาวงกต
คนที่ปลอมเป็นมู่ชิงเกอก็คือมั่วหยาง
ขณะที่มู่ชิงเกอหลบไปก็ได้ปล่อยเขาออกมาจากช่องว่าง เขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าของมู่ชิงเกอเอาไว้แล้ว เพื่อปลอมเป็นนาง รอคอยงานในคืนนี้
มั่วหยางมีความสูงกับรูปร่างใกล้เคียงกับมู่ชิงเกอมากที่สุด ขณะที่ทุกคนเมามาย ทั้งยังเป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนใครจะไปสังเกตว่าคนคนนั้นไม่ใช่นาง
มีหลักฐานยืนยันสถานที่แล้ว นางย่อมแอบหลบออกไปอย่างสบายใจ
หุ่นเทพมารนั้นนางไม่ได้นำไปด้วย
เนื่องจากราชาเทวะอู๋หวารู้ถึงคลื่นพลังเทพของพวกเขาแล้ว หากมีการต่อสู้กันในเขาวงกต ราชาเทวะอู๋หวายังไม่ทันมาก็เดาถูกแล้วว่าเป็นฝีมือใคร
ดังนั้นนางจึงไม่ได้นำหุ่นเทพมารไปด้วย ถึงอย่างไรนางก็มีช่องว่างไร้เทียมทานอยู่ด้วย ในนั้นมีทหารเป็นพันคน หากไม่ไหวจริงๆ นางหลบเข้าไปในช่องว่างก็ยัง สามารถทำได้ไม่จำเป็นที่ต้องอาศัยหุ่นเทพมารไปเสียทุกเรื่อง
มู่ชิงเกอเดินไปพลางถอดเสื้อตัวนอกสีแดงออกไปพลาง ด้านในเป็นชุดที่กลมกลืนกับการพรางตัวในเวลากลางคืน ทั้งยังหยิบสายรัดผมมาเปลี่ยนที่เกล้าผมออก แม้แต่รองเท้าก็เช่นเดียวกัน
นางเปลี่ยนทุกอย่างที่สามารถสืบสาวถึงฐานะมู่ชิงเกอออกจนหมดแล้วหยิบหน้ากากอสูรมาสวมเอาไว้
นางเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งโดยทันที
หน้ากากอสูรนั้นซือมั่วตั้งใจทิ้งไว้ให้นางก่อนไป เอามาใช้งานได้พอดี
ต่อให้ถูกจับได้จริงๆ ก็ไม่มีใครรู้ฐานะที่แท้จริงของนาง
คนที่มู่ชิงเกอแปลงมานี้เป็นคนที่มีหน้าตาธรรมดาอย่างที่สุด เป็นประเภทที่แม้โยนเข้ากลุ่มคนก็ยังหาไม่พบ อีกทั้งนางยังปลดตุ้มหูที่เป็นเครื่องมืออำพรางออกมากลับคืนสู่สถานะหญิงสาว ทั้งยังถอดปลอกนิ้วชี้ขวาออก แล้วหยิบกระบี่สั้นออกมาใช้เป็นอาวุธแทน
น่ากลัวว่า ต่อให้หยินเฉินมายืนอยู่ที่เบืองหน้านางก็ยังจำนางไม่ได้
หนึ่งมือสังหารหญิงอย่างไรก็ไม่อาจนำมาเชื่อมโยงกับราชาเทวะน้อยดินแดนฮ่วนเยวี่ยได้
เกี่ยวกับการปลอมตัว มู่ชิงเกอมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ เวลานี้คนในวังราชาเทวะ รวมทั้งคนรับใช้ส่วนใหญ่ล้วนชุมนุมกันอยู่ในตำหนักหน้า ในตำหนักหลัง มีเพียงทหารยามเข้าผลัดลาดตระเวน ไม่มีคนอื่นอีก
มู่ชิงเกออาศัยข้อมูลของหยินเฉินหลบทหารยามที่เฝ้าตำหนักหลังมาได้อย่างสบายๆ จนมาถึงหน้าเขาวงกต
‘นี่ก็คือเขาวงกตเก้าคดเคี้ยวหรือ’ มู่ชิงเกอไม่ได้รีบร้อนเข้าไป แต่ยืนอยู่ในมุมมืด เก็บลมหายใจ มองอยู่นิ่งๆ
เวลานี้เอง นางราวกับแปลงกายเป็นต้นไม้หรือก้อนหิน ยากที่คนจะตรวจพบได้
วิธีเก็บงำวิญญาณเทพเช่นนี้นางเรียนรู้มาจากเคล็ดวิชาเทวะส่วนกลางและเพิ่งใช้เป็นครั้งแรก
ถึงแม้จะมีข้อมูลจากหยินเฉิน แต่มู่ชิงเกอก็ยังไม่ลงมือทันที นางอยากดูให้แน่ใจอีกครั้ง ไม่ใช่ไม่เชื่อหยินเฉิน แต่ไม่มีใครรับรองได้ว่าวันนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ การระวังตัวย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ
หนึ่งชั่วยาม ผ่านไป เมื่อมู่ชิงเกอแน่ใจแล้วว่าสภาพการณ์ภายในเขาวงกตไม่ได้ต่างกับข้อมูลที่หยินเฉินได้มาแล้วก็อาศัยช่วงที่ยามไม่ทันระวังเบี่ยงตัวเข้าไปในเขาวงกต
พอนางเข้าไปก็พบกับอาคมเตือนภัยทันที อาคมนี้สามารถเปิดเผยตัวตนของผู้บุกรุกได้ ตาดำมู่ชิงเกอหดลง สองมือเคลื่อนไหวอย่างเร็ว นางจำต้องคลี่คลายอาคม ก่อนที่อาคมจะแจ้งเตือน มิฉะนั้นแล้ว คืนนี้นางจะต้องกลับมือเปล่า
ยังดีทีมู่ชิงเกอมีประสบการณ์จากอาคมในค่ายกลสุสานเทพ ทั้งยังพบอาคมได้ทันเวลา ก่อนที่มันจะส่งสัญญาณเตือนจึงคลายอาคมได้โดยสะดวก
มู่ชิงเกอหายใจโล่งอก เดินเข้าไปต่อด้วยความระมัดระวัง
หยินเฉินบอกว่าที่นี่มีกับดักทุกระยะ เต็มไปด้วยอาคม ทั้งยังมีทหารชุ่มอยู่ อีกทั้งที่นี่เป็นเขาวงกต หากเดินพลาดเพียงก้าวเดียวก็จะติดอยู่ด้านใน
ยังดีที่ปัญญาเทวะของมู่ชิงเกอแข็งแกร่งมากจึงสามารถหลบหลีกอาคม ใช้ปัญญาเทวะนำทาง ช่วยนางหาตำแหน่งศาลาอีเยี่ยได้
อาศัยปัญญาเทวะที่แข็งแกร่ง ทั้งความเข้าใจอาคม มู่ชิงเกอจึงเข้าไปในเขาวงกตได้ลึกขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลานี้เอง จุดที่นางเคยหยุดดูนั้นก็ปรากฎคนสามคนขึ้น
“พวกเจ้าสองคนรอรับมือที่นี่ ข้าเข้าไปคนเดียว” เมื่อเห็นเขาวงกตเบื้องหน้า สายตามู่เทียนอินก็เกิดประกายไฟลิงโลดออกมา
“นายน้อย ให้พวกเราตามท่านเข้าไปด้วยเถอะ” มู่หลินพูดอย่างไม่วางใจ
แต่มู่เทียนอินกลับปฏิเสธความหวังดีของเขา “แค่เขาวงกตนิดเดียวจะขวางข้าได้หรือ พวกเจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ หากเกิดอะไรขึ้นรีบแจ้งข้าไป”
คิดแล้วเขาเอ่ยเพิ่มอีกว่า “หากเห็นมู่ชิงเกอมาไม่ต้องขัดขวาง ให้เขาเข้ามา ข้าจะจัดการเขาในนั้น”
“นายน้อย” มู่หลินอยากพูดอะไรอีก แต่มู่เทียนอินก็รีบร้อนเข้าไปในเขาวงกตแล้ว
ทางเข้าเขาวงกตมีมากมาย มู่เทียนอินโชคดมากที่เลือกทางเข้าที่ไม่มีอาคมกำกับไว้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเส้นทางนี้จะปลอดภัย
เนื่องจากการจัดการที่ดูเหมือนสะเพร่านั้นก็เพียงเพื่อล่อลวงให้ศัตรูเข้าไปให้ลึกกว่าเดิม…
ในเขาวงกต ทหารยามกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวขึ้นเบื้องหน้ามู่ชิงเกอ
พวกเขาเป็นเช่นที่หยินเฉินบรรยาย เพียงเฝ้าอยู่กับที่ ไม่ได้เดินออกไปไหน
เพราะอะไรกัน
มู่ชิงเกอที่ซ่อนเร้นในที่มืด ตรวจสอบอย่างละเอียด ทำไมในเขาวงกตมีอาคมอยู่แล้ว แต่ยังต้องส่งคนมาเฝ้า เพียงเพื่อเป็นหลักประกันสองชั้นหรือมีเหตุผลอื่น
ในเวลานั้น มู่ชิงเกอไม่เข้าใจ
นางมองไปที่ยามเฝ้าเขาวงกตเหล่านั้นพวกเขามีราวสิบคนต่อชุดคอยเฝ้าอยู่ที่นี่ สถานที่ให้เฝ้านั้น ก็ไม่ได้กว้างมาก มีทางเข้าออกได้คนเดียวเท่านั้น หากมีการต่อสู้ก็จะคับแคบมาก
อีกทั้งทหารเฝ้ายามเขาวงกต ล้วนแต่อยู่ชั้นถํ้าวิญญาณชั้นสามขึ้นไป
แต่ เมื่อมู่ชิงเกอดูอย่างละเอียดแล้วก็ได้รู้ว่าชั้นพลังของพวกเขามีการใช้วิธีพิเศษในการเพิ่มให้สูงขึ้น มีโอกาสถูกแรงสะท้อนกลับได้ง่ายมาก
ทันใดนั้น มู่ชิงเกอก็สังเกตเห็นถึงการจัดขบวนพวกเขา ทั้งจังหวะการเดินไปกลับ
จังหวะนั้นดูราวกับปกติธรรมดา แต่หากดูให้ละเอียดแล้วจะพบว่า ภายในซ่อนเร้นจังหวะจะโคนบางอย่างเอาไว้
’ราชาเทวะอู๋หวาเป็นคนที่หมกมุ่นในเรื่องค่ายกลเป็นอย่างมาก’
คำพูดของซือมั่วผุดขึ้นมาในสมองของมู่ชิงเกอ
คำพูดของเขา หากพิจารณาอย่างละเอียดราวกับพูดไปเพียงสนุกปาก เขาใช้คำว่าหมกมุ่นมาก แต่ไม่ใช้คำว่าเชี่ยวชาญมากหรือลึกซึ้งมาก นั่นหมายความว่า ราชาเทวะอู๋หวาชอบเรื่องอาคมค่ายกล เป็นเพียงความชอบ แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักค่ายกลอย่างลึกซึ้ง
คนที่ชื่นชอบอาคมค่ายกล นอกจากวางอาคมในเขาวงกตแล้วยังต้อง มียามเฝ้าเขาวงกต
นางดูจังหวะการก้าวเท้าของยามเฝ้าเหล่านี้ทั้งตำแหน่งที่ยืนก็เข้าใจแล้ว พวกเขาเฝ้ายามตามตำแหน่งค่ายกล ดูแล้วเหมือนยืนตามสบาย แต่ความจริงแล้ว พวกเขาทั้งสิบคนก็คือค่ายกล
คนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เผลอบุกรุกเข้าไปก็จะตกอยู่ในค่ายกลของพวกเขา ต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับ
ถึงเวลานั้น ความแข็งแกร่งที่พวกเขาระเบิดออกมาจะไม่ใช่เพียงแค่ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นสาม
มู่ชิงเกอเองก็รู้จักอาคมค่ายกล ย่อมรู้ถึงการเพิ่มพูนพลังของพลังค่ายกลที่ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งบวกหนึ่งเท่านั้น
‘เกือบหลงกลไปแล้ว’ มู่ชิงเกอคิดในใจว่าโชคดี นางถอยกลับไปสองก้าวแล้วเลี้ยวเข้าไปอีกทางหนึ่ง หลบทหารเฝ้ายามเหล่านั้น
มู่ชิงเกอแน่ใจได้เลยว่า บนตัวทหารยามเหล่านี้จะต้องมีของที่แจ้งข่าวแก่ราชาเทวะได้แน่นอน
หากติดอยู่ภายใน พวกเขาไม่ต้องสังหารผู้บุกรุก เพียงรอราชาเทวะมาถึงก็พอแล้ว
‘หากไม่สังหาร ใช้เพียงค่ายกลขังไว้ทหารยามเหล่านี้ก็น่าจะต้านทานได้เพียงขั้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น’ มู่ชิงเกอคำนวณในใจ
นางในเวลานี้เป็นเพียงแค่ขั้นถํ้าวิญญาณชั้นเจ็ด หากบุกรุกเข้าไป โอกาสหนีรอดนั้นมี แต่น้อยมาก
อาศัยปัญญาเทวะสำรวจ มู่ชิงเกอสามารถรู้ได้เพียงทิศทางคร่าวๆ ของศาลาอีเยี่ย แต่ไม่สามารถหาทางเข้าออกทั้งหมดของเขาวงกต ยังดีที่นางรู้เกี่ยวกับเขาวงกตมาพอประมาณจึงไม่ได้หลงเข้าทางตันทำให้เสียเวลา
เวลาของนางส่วนใหญ่ใช้ในการคลี่คลายอาคม
ยิ่งคลี่คลายอาคมมากเข้า มู่ชิงเกอก็ยิ่งเข้าใจคำพูดซือมั่วนั้น อาคมเหล่านี้ถึงแม้จะสลับซับซ้อน แต่สำหรับนางแล้วยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก
ทางด้านนี้ มู่ชิงเกอกำลังเข้าเขาวงกตลึกขึ้น อีกด้านหนึ่งมู่เทียนอินก็ใช้วิธีของตัวเองก้าวลึกเข้าไปในเขาวงกตเหมือนกัน
ในมือเขา มีเม็ดแก้การกีดขวางที่ผู้เฝ้ามองเตรียมไว้ให้ ของที่ว่าเป็นลูกเหล็กเล็กๆ ของสิ่งนี้ไม่สามารถคลายอาคมได้ แต่สามารถทำให้อาคมคลายตัวได้ชั่วขณะหนึ่ง ในชั่วขณะเดียวนี้เพียงใช้โอกาสให้ดีก็สามารถผ่านอาคมไปได้
ดังนั้น มู่เทียนอินจึงอาศัยเม็ดแก้การกีดขวางเหล่านี้ เข้าไปถึงส่วนลึกของเขาวงกตโดยไม่มีอันตรายใดๆ ทหารเฝ้าเขาวงกตเหล่านั้นเขาเองก็เห็น เขาใช้วิธีเดียวกับมู่ชิงเกอ เปลี่ยนทางเดินโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว
โดยไม่รู้ตัว ทั้งคู่ที่อยู่ในเขาวงกต ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าใกล้กันเข้าไปเรื่อยๆ
‘แปลกมาก ทำไมปัญญาเทวะบอกข้าว่าที่นี่ไม่มีทางออก ศาลาอีเยี่ยอยู่ใกล้ๆ นี่เอง แต่ไม่มีกลับทางออกไปหามัน’ มู่ชิงเกอคิดหนักอยู่ในใจ
เขาวงกตนี้ยากกว่าที่นางคิดเอาไว้ ดูเวลาค่อยๆ ผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนแปลง มู่ชิงเกอเริ่มเกิดความร้อนรน
หากนางไม่สามารถหาศาลาอีเยี่ยพบก่อนสว่างและรีบกลับไปแล้วล่ะก็ นางอาจถูกราชาเทวะอู๋หวาตรวจพบ และเข้ามาขัดขวาง
กับราชาเทวะ นางเวลานี้ทำได้เพียงหนีเท่านั้น
มู่ชิงเกอเดินอยู่ในทางเขาวงกตก็เห็นทางเลี้ยวข้างหน้า นอกจากเลี้ยวแล้วก็ไม่มีทางอื่นอีก นางไม่มีทางเลือก เดินเลี้ยวไปตามทางนั้น
เพียงแต่พอนางเลี้ยวแล้วเบื้องหน้านางไม่ไกลนักก็ปรากฎคนคนหนึ่งขึ้น คนคนนั้นก็พบว่าข้างหน้าตัวเองมีคนปรากฎขึ้น เขาราวกับตกตะลึง ยืนอยู่กับที่
‘มู่เทียนอิน’ เมื่อเห็นคนที่ยืนตรงหน้าชัดเจน ดวงตามู่ชิงเกอเกิดประกายแวบหนึ่ง
สองคนได้พบหน้ากันจังๆ ในเขาวงกต มู่ชิงเกอจำมู่เทียนอินได้ แต่มู่เทียนอินไม่สามารถจำมู่ชิงเกอได้
ดวงตามีประกายโหดเหี้ยม ถามเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นใคร”
ดวงตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอมีประกายมืดดำ ยิ้มว่า “ท่านดูแล้วก็ไม่ใช่คนดินแดนอู๋หวา จะสนใจทำไมว่าข้าเป็นใคร”