ตอนที่ 668
ฟ้าถล่มดินทลาย
แขนของมู่เทียนอินค่อยๆ ใหญ่ขึ้นอย่างที่เห็นด้วยตาเปล่าได้ชัดเจน
พลังบ้าคลั่งและกลิ่นอายของความโหดร้ายที่มู่ชิงเกอรู้สึกได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้นางต้องจริงจังขึ้น ทวนหลิงหลงที่กำแน่นในมือเตรียมพร้อมรับศึกเต็มที่
“อ๊าก” แขนที่พองขึ้นทำให้มู่เทียนอินเจ็บปวดจนอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงดังออกมา
แม้ปากเขาบอกว่าขอบใจ แต่ความเป็นจริงขณะที่พูดคำนั้น นํ้าเสียงเขาเต็มไปด้วยความโหดร้ายอย่างถึงที่สุด
ดวงตาเขาจ้องมองมู่ชิงเกอด้วยความเคียดแค้นเหลือล้น แววตาผุดความบ้าคลั่งออกมา หลังจากเขาร้องอย่างเจ็บปวดแล้วก็กลับหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่งขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆ มู่ชิงเกอ ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เจ้าให้ข้ามาอย่างไรเล่า!” มู่เทียนอินตะคอกใส่มู่ชิงเกอด้วยท่าทางดุร้าย
ทันใดนั้น เสื้อที่แขนขวารวมทั้งปลอกแขนโลหะถักก็ถูกแขนที่ขยายตัวไม่หยุดดันจนแตกละเอียด เศษผ้ากระจายหล่นเต็มพื้น
ในที่สุดมู่ชิงเกอก็สามารถเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของแขนใหม่มู่เทียนอินได้อย่างชัดเจน
ตาดำของมู่ชิงเกอหดลง แววตาผุดความสะท้านขึ้น
รอยต่อแขนที่ไหล่ขวาของมู่เทียนอินนั้นไม่ใช่แขนของมนุษย์เลยสักนิด ไม่รู้เป็นแขนของเผ่าอสูรชนิดไหน แขนนั้นลํ่าสันกว่าแขนมนุษย์มากมายนัก
มองดูแล้วไม่ได้เข้ากับขนาดร่างกายของมู่เทียนอินเลยแม้แต่นิด
สภาพไม่เข้ากันที่เกิดขึ้นนั้นคงเป็นหลังจากที่ผนึกเข้าไปแล้ว
แขนนั้นลํ่าสันมาก มีเกล็ดเขียวขึ้นจนเต็ม ที่ข้อศอกยังมีเงี่ยงแหลมคมอันหนึ่งงอกย้อนออกมา นิ้วทั้งห้าเป็นกรงเล็บเหมือนของเผ่าอสูร เห็นข้อกระดูกได้ชัดเจน เล็บที่ดูคมดั่งใบมีดนั้นผุดแสงเย็นวาบออกมา
ราวกับว่าข่วนเพียงเบาๆ ก็สามารถทำให้ทุกสิ่งแหลกละเอียดลงได้
แขนทั้งท่อนนั้นเขียวคลํ้าจนดำ เนื่องจากถูกปลดปล่อยออกมาที่หัวไหล่ตรงรอยต่อจึงยังมีเส้นชีพจรแดงสีแดงเลือดเป็นเส้นๆ นูนออกมาที่ด้านนอกผิวหนัง แผ่ขยายไปตามลำคอและใบหน้าด้านขวาของมู่เทียนอิน เห็นแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก
พอแขนขวาปรากฎ มู่ชิงเกอก็เห็นว่าใต้แขนนั้น พลันมีพลังโหดเหี้ยมม้วนออกมาห้อมล้อมแขนนั้นเอาไว้ เศษหินที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนถูกพลังนั้นป่นจนเป็นผง
“แขนกิเลนนี่! ท่านต่อแขนกิเลนให้เขารึ” ราชครูที่เห็นภาพนี้ผ่านกระจกหันมองผู้เฝ้ามองที่อยู่ด้านข้างด้วยความสะท้าน
ผู้เฝ้ามองกลับมีใบหน้านิ่งเฉย ราวกับไม่รู้สึกสักนิดว่ามีอะไรไม่สมควร ต่อให้เผชิญหน้ากับการเค้นถามของราชครู เขาก็ยังไม่อธิบายอะไร เพียงแค่มองภาพในกระจกนิ่ง
“ท่านรู้หรือไม่ว่า การต่อแขนกิเลนใส่ในร่างมนุษย์จะเกิดผลอย่างไรตามมา หลังจากคลายตราผนึกแล้วนิสัยสัตว์ร้ายที่หลงเหลือในแขนกิเลนจะค่อยๆ ควบ คุมจิตใจของมนุษย์ผู้นั้น ทำให้เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่ง จนหลงลืมความเป็นมนุษย์ไป อีกทั้งหากนิสัยคนผู้นั้นโหดร้ายอยู่แต่เดิม พลังของแขนกิเลนก็จะยิ่งเพิ่มสูง การสะท้อนกลับก็จะยิ่งรุนแรง ต่อให้เป็นเวลาปกติขณะมีตราผนึก หากคนผู้นั้นมีจิตใจไม่แน่วแน่มากพอก็ยังได้รับผลกระทบ” ราชครูพูดอย่างรวดเร็ว
เขารู้สึกว่าศิษย์พี่ตัวเองเหมือนจะเสียสติไปแล้ว
การต่อแขนกิเลนให้มู่เทียนอิน เป็นการช่วยเขาหรือทำร้ายเขากันแน่
คำตำหนิของราชครูไม่ได้ทำให้สีหน้าของผู้เฝ้ามองเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด จนเขาพูดจบ ผู้เฝ้ามองจึงพูดเรียบๆ ว่า “นายน้อยของตระกูลมู่ เรื่องแรกคือต้องมี พลังที่ยิ่งใหญ่ ในเมื่อแขนเดิมของเขาไม่แข็งแกร่งพอ ข้าก็ต้องเปลี่ยนแขนที่แข็งแกร่งขึ้นให้เขา ผิดตรงไหนกัน บรรพชนตระกูลมู่ในครั้งนั้น ไม่ใช่เคยเปลี่ยนแขนกิเลนเช่นกันหรือไร”
ผู้เฝ้ามองมองไปยังราชครู ดวงตาที่นิ่งดังนํ้านั้น แฝงด้วยอารมณ์ที่เข้าใจได้ยาก
ราชครูสะอึกพูดเสียงหลงว่า “มู่เทียนอินคนนี้ เทียบกับบรรพชนตระกูลมู่ครั้งนั้นได้หรือ บรรพชนตระกูลมู่มีความมุมานะเหนือใดเทียบได้ มีพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก ต่อให้เป็นแขนกิเลนที่บ้าคลั่งก็ยังต้องยอมสยบต่อเขา มู่เทียนอินคนนี้คู่ควรแล้วหรือ”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร ถึงอย่างไรเทียนอินก็ต้องมีแขนอีกข้าง” ผู้เฝ้ามองตอบด้วยท่าทีเยือกเย็นจนเรียกได้ว่าเลือดเย็น
ราวกับว่า มู่เทียนอินในจิตใจเขานั้นไม่ใช่มนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นเครื่องจักรล้างแค้นที่เขาตั้งอกตั้งใจสร้างขึ้นมา
ราชครูอดไม่ได้ที่จะไว้อาลัยให้กับชะตาชีวิตของมู่เทียนอิน
เวลานี้ บนซากปรักหักพังของเก้าชั้นฟ้า มู่เทียนอินที่กำลังต่อสู้เอาเป็นเอาตายกัปมู่ชิงเกอคงไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีความสำคัญแค่ไหนในจิตใจของอาจารย์ตัว
เอง
ราชครูจ้องมองเงาหลังของศิษย์พี่ตนแล้วส่ายหน้าช้าๆ คิดในใจว่า ‘ผู้เฝ้ามองต้องยอมอยู่ใต้อาณัติตระกูลมู่ แต่มู่เทียนอินกลับไม่สามารถควบคุมผู้เฝ้ามองได้บ่งบอกชัดเจนว่าเขาต้องเป็นผู้แพ้ เป็นแค่ก้อนหินรองเท้าเท่านั้น’
บนซากปรักหักพังของเก้าชั้นฟ้า ในหินลอยยักษ์ก้อนนั้น ตาขวาของมู่เทียนอินกลายเป็นสีเลือดแดงฉาน ภายในดวงตาสีเลือดเข้มนั้นราวกับมีพลังอันบ้าคลั่ง
กำลังระเบิดออกมา
มู่ชิงเกอรู้ว่านั่นเป็นเพราะมู่เทียนอินไม่สามารถควบคุมพลังบ้าคลั่งของแขนนี้ไว้ได้
ตั้งแต่รอยต่อของแขนจนถึงคอ ทั้งยังเส้นเอ็นสีแดงบนใบหน้า ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ลามไปจนถึงตาขวาของเขา
ที่นางไม่รู้ก็คือ เวลานี้ดวงตาของมู่เทียนอินมีเพียงตาซ้ายเท่านั้นที่มองเห็นได้ตามปกติ ส่วนตาขวาเห็นได้เพียงสีเลือดจากการเข่นฆ่าสังหาร มีแต่สีเลือดทุก แห่งหน
“มู่ชิงเกอ เห็นแล้วหรือยัง เพราะสิ่งที่เจ้ามอบให้ ข้าจึงได้มีพลังที่แข็งแกร่งมากมายเช่นนี้ เจ้าว่าข้าควรขอบใจเจ้าไหมเล่า” มู่เทียนอินพูดกับมู่ชิงเกอด้วยท่าที เหี้ยมโหดก้าวร้าว
มุมปากเขาผุดรอยยิ้มชั่วร้าย เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายออกมา
สองตามู่ชิงเกอหรี่ลง แววตาเคร่งเครียด นางไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าแขนนั้นซุกซ่อนพลังที่แข็งแกร่งเอาไว้มากเท่าไรกัน ดังนั้นนางจึงต้องเตรียมพร้อมไว้ด้วยพลังเต็มร้อย
ทวนหลิงหลงในมือนางค่อยๆ ชูขึ้นมา เล็งไปที่มู่เทียนอิน
กระดูกสะบักขวาด้านหลังของมู่เทียนอินปูดนูนขึ้นมาทำให้หลังของเขาค่อมลงไปเล็กน้อย
เขาลากแขนกิเลนแล้วส่งยิ้มบ้าคลั่งให้มู่ชิงเกอ
ทันใดนั้น เขาก็ยกแขนกิเลนขึ้นสะบัดไปที่มู่ชิงเกอ
พริบตาเดียวนั้นราวกับมีเสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังขึ้น พลังบ้าคลั่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในแขนนั้นพุ่งคำรามออกมาตรงไปที่มู่ชิงเกอ
พลังนั้นแฝงไปด้วยแรงทำลายล้างมหาศาล ทุกแห่งที่มันพุ่งผ่านพลันเกิดท้องฟ้าเปลี่ยนสี ฟ้าถล่มดินทลาย บนหินลอยนั้นพลันเกิดรอยแยกลึกน่ากลัวขึ้นทันที
‘กิเลน!’ สมองมู่ชิงเกอปรากฎเสียงตกใจของโห่วดังขึ้นมา
แต่นางยังไม่ทันได้คิดมากก็รีบถอยหลังกลับ คิดจะหลบพลังที่แขนนั้นสะบัดมา แต่ถึงแม้นางจะถอยหลบได้รวดเร็วแค่ไหนแต่พลังนั้นก็มาถึงเบื้องหน้านางแล้ว
นางเบิกสองตากว้าง ใช้ท่าก้าวดาราก่อกำเนิดอย่างรวดเร็วเพื่อหลบออกไปด้านข้าง
พลังที่บ้าคลั่งนั้นเฉียดผ่านไหล่นางไป มู่ชิงเกอรู้สึกว่าใบหน้าตัวเองเจ็บปวดร้อนผ่าวเหมือนโดนไฟลน
ปัง!
พลังนั้นโจมตีมู่ชิงเกอไม่โดน แต่กระแทกถูกก้อนหินลอยด้านหลังนางทำให้ก้อนหินลอยนั้นแตกระเบิดออกในทันที