ตอนที่ 682
ร่วมกันแสดงละคร
“คารวะนายน้อยตระกูลข้า!”
สองคนที่คุกเข่าบนพื้นก็คือมู่ซานกับมู่หลินนั่นเอง
พวกเขาเคยพบมู่ชิงเกอที่ดินแดนอู๋หวา ขณะที่พวกเขาหลบหนีมู่ชิงเกอก็เคยพบพวกเขาเช่นกัน
เพียงแต่ นางไม่เข้าใจว่า ผู้เฝ้ามองนำสองคนนี้มาที่นี่เพื่ออะไร
ที่สำคัญที่สุดคือ…
พวกเขาเรียกนางว่าอะไรนะ
แววตาใสกระจ่างของมู่ชิงเกอมองไปที่มู่หลินกับมู่ซาน ถึงแม้จะเป็นเพียงการกวาดสายตาผ่านๆ แต่ทั้งคู่ที่เคยเห็นฝีมือมู่ชิงเกอมาก่อนก็ยังตื่นเต้นอยู่ดี ความรู้สึกชนิดนี้พวกเขาไม่เคยมีมาก่อนขณะอยู่ต่อหน้ามู่เทียนอิน ควรพูดว่า ความรู้สึกที่มู่เทียนอินมีให้กับคนอื่นคือความหวาดกลัว เนื่องจากนิสัยเขาเหี้ยมโหด หยิ่งยโส โดยเฉพาะหลังจากบาดเจ็บแล้วก็ยิ่งหนักข้อมากขึ้น ทำให้ ทุกคนต้องคอยระมัดระวังปรนนิบัติอย่างเดียว ไม่กล้าล่วงเกิน
ส่วนมู่ชิงเกอน่ะหรือ ถึงแม้พวกเขาเพียงแค่ได้เห็นไกลๆ แต่เวลานี้เมื่อได้มา คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา ทั้งมู่หลินและมู่ซานต่างก็เกิดความเคารพหวั่นเกรงขึ้นในใจ
คำว่า ‘นายน้อย’ นี้พวกเขาเรียกด้วยความเต็มอกเต็มใจ
“เทียนอินตายแล้ว เจ้าย่อมเป็นนายน้อยตระกูลมู่ตัวจริง” ผู้เฝ้ามองเอ่ยขึ้นในเวลานี้ราวกับจะอธิบายข้อสงสัยให้มู่ชิงเกอ
แต่มู่ชิงเกอกลับยิ้มอย่างสนุกสนาน “ข้ารับปากตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือปฏิเสธ เจ้าก็เป็นอยู่แล้ว” ผู้เฝ้ามองพูดเรียบๆ
คำพูดโต้ตอบของทั้งคู่ทำให้มู่หลินกับมู่ซานที่คุกเข่าอยู่ แอบสบตากันด้วยความตกใจเล็กน้อย
พวกเขายังไม่เคยเห็นใครกล้าใช้นํ้าเสียงเช่นนี้พูดกับผู้เฝ้ามองมาก่อน อย่างน้อยมู่เทียนอินก็ไม่เคยทำเช่นนี้
“พูดเช่นนี้ เจ้าคิดจะมาพึ่งพาข้าหรือ” แววตามู่ชิงเกอผุดแววยิ้มเยาะ
นางรับปากว่าจะฟื้นฟูตระกูลมู่ แต่ที่นางรับปากนั้นคือตระกูลมู่ที่หลงเหลือในโลกแห่งยุคกลาง แต่ไม่เคยรับปากตระกูลมู่บนแผ่นดินเทพมาร
การทดสอบนางหลายครั้งนั้นเวลานี้ล้วนผ่านไปทั้งหมด แล้วจะมาให้ ‘รางวัล’ นางด้วยหัวโขนอันนี้หรือไร
ขอโทษ นางไม่สนใจ
“นี่เป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่มีทางหนีพ้น ไม่เกี่ยวกับว่าพึ่งพาหรือไม่ พวกเราเพียงปฏิบัติตามคำสั่งเสียของบรรพชนตระกูลมู่คัดเลือกนายน้อยที่ชนะเพื่อสนับสนุนอย่างเต็มที่” ผู้เฝ้ามองพูด
มู่ชิงเกอแค่นยิ้มยืดขาที่นั่งขัดสมาธิลงแล้วยืนขึ้นมา ปกติร่างกายของนางก็สูงอยู่แล้ว เวลานี้เมื่อยืนอยู่บนแท่นเหยียบหน้าเตียงก็ยิ่งดูสูงเข้าไปอีก กระทั้งมองผู้เฝ้ามองด้วยสายตาของผู้เหนือกว่า สองมือที่ไพล่หลัง อกผายไหล่ผึ่ง ไม่มีอาการใจฝ่อแม้แต่นิด ความหยิ่งยโสที่ผุดออกมาจากเนื้อแท้นั้น
กระทั่งมู่ซานกับมู่หลินยังรู้สึกได้ ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองดูเขา บารมีของมู่ชิงเกอไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้เฝ้ามองเลย
ใจพวกเขาผุดความรู้สึกประหลาดออกมา รู้สึกราวกับว่าขณะที่มู่เทียนอินเป็นนายน้อยนั้น ยามอยู่ต่อหน้าผู้เฝ้ามองยังคงเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต แต่คนตรงหน้านี้เล่ากลับมีท่วงท่าของผู้นำอยู่แล้ว
เขายืนอยู่ที่นี่ ระหว่างเขากับผู้เฝ้ามองที่พวกเขาเคารพนับถือเกิดเส้นทางนายบ่าวที่ยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ปรากฎออกมาแล้วขึ้น
“ข้าปฏิเสธ” แววตามู่ชิงเกอเย็นเฉียบ มุมปากผุดรอยยิ้ม คล้ายยิ้มเยาะออกมา
ผู้เฝ้ามองอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เม้มปากไม่พูดราวกับไม่นึกว่ามู่ชิงเกอจะปฏิเสธอย่างง่ายดายเช่นนี้
ปฏิเสธแล้วหรือ
มู่หลินกับมู่ซานงงงัน เวลานี้เองราชครูก็เดินเข้ามาในห้องของมู่ชิงเกอ เมื่อเห็นพวกผู้เฝ้ามองทั้งสามคนก็รู้สึกเกินคาดอยู่บ้าง แต่เขาก็เดินเร็วๆ มาจนถึงข้างกายมู่ชิงเกอและยืนนิ่ง เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของศิษย์พี่ตัวเองจึงรีบเร่งมา ขณะ ที่เขามาถึงหยินเฉินเองก็มาแล้ว
เวลานั้นในห้องของมู่ชิงเกอ มีคนเบียดกันอยู่หกคนคล้ายกำลังประจันหน้ากัน อยู่
“ศิษย์พี่ ท่านมาทำไม” ราชครูถามอย่างระแวง เขาเกรงว่าศิษย์พี่ตัวเองคนนี้จะนำความเดือดร้อนมาให้มู่ชิงเกออีก
ผู้เฝ้ามองพูดอย่างสงบว่า “ที่ข้ามาแน่นอนว่าเพื่อมายอมรับเจ้านาย”
“ยอมรับเจ้านาย?” ราชครูพลันเข้าใจขึ้นมา แต่ก็ยังขมวดคิ้วพูดว่า “นี่ไม่ใช่โอกาสเหมาะสม อย่าลืมว่าที่นี่คือถิ่นของดินแดนจื่อกวง พวกท่านรีบไปเสียเถิด”
“แต่เขาปฏิเสธ” ผู้เฝ้ามองราวกับไม่ได้ยินคำเตือนของราชครู เพียงมองมู่ชิงเกอแล้วพูดขึ้น
ราวกับว่าการปฏิเสธของมู่ชิงเกอนั้นราชครูไม่ได้รู้สึกเกินคาดแต่อย่างไร กลับนึกว่าเป็นเรื่องปกติด้วยซํ้าเนื่อง จากมู่ชิงเกอเป็นคนที่หัวแข็งมาก หากอยากเป็นลูกน้องของนาง อยากให้นางยอมรับก็ต้องเก็บความคิดทั้งหมดลงยอมสยบให้นางเท่านั้น
นางยอมรับคนที่เชื่อฟัง แต่ไม่ต้องการคนเช่นศิษย์พี่ตัวเองที่แม้มีความสามารถเหนือใคร แต่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง
แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาถกปัญหานี้
สองคิ้วของราชครูขมวดแน่นจนปรากฎรอยย่นหลายเส้น เขาบอกผู้เฝ้ามองว่า “เรื่องนี้ไว้พูดกันทีหลัง ศิษย์พี่หากท่านจะรับนายน้อยเป็นนายก็ควรคำนึงถึงความปลอดภัยของเขา พวกท่านมาปรากฎตัวที่นี่ หากถูกคนพบเห็นเข้าก็มีแต่จะส่งผลเสียต่อฐานะที่นายน้อยได้รับมาอย่างยากลำบาก”
เขาเข้าใจทุกอย่างดีกว่าผู้เฝ้ามองว่าการที่มู่ชิงเกอใช้เวลาเพียงสั้นๆ จากหน้าใหม่ที่เพิ่งบินขึ้นมา จนสามารถประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้ในเวลาเพียงไม่กี่ปีนั้น ต้องใช้ทั้งความพยายามและผ่านความยากลำบากมามากมายเพียงใด ต่อให้นางมีพรสวรรค์ที่ฝืนชะตาฟ้าแต่ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักอยู่ดี
ไม่มีความสำเร็จของใครที่ได้มาเปล่าๆ อยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงเห็นคุณค่าในสิ่งที่มู่ชิงเกอมีอยู่ในขณะนี้อย่างยิ่ง ไม่อยากทำลายมันลง
“เพราะอย่างนั้นพวกเราจึงมาอย่างไรเล่า” ผู้เฝ้ามองพูดคำนี้ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาผุดร่องรอยใคร่ครวญ
ในเวลานั้นราชครูกับหยินเฉินต่างก็ฟังไม่ออกถึงความหมายภายในนั้น
ทันใดนั้น ผู้เฝ้ามองก็บอกมู่ซานกับมู่หลินว่า “ลงมือ”
ลงมือ!
ลงมืออะไร?
ราชครูกับหยินเฉินตกตะลึงไป หลังจากมู่ซานกับมู่หลินสบตากันแล้วก็ยืนขึ้นจากพื้นทันทีพร้อมหยิบอาวุธลอบสังหารออกมาบอกมู่ชิงเกอว่า “นายน้อย ขออภัยแล้ว!”
พูดจบก็เริ่มโจมตีมู่ชิงเกอทันที
มู่ชิงเกอหรี่ตาประกายเย็นเฉียบ ผุดขึ้นในแววตา นางยังไม่ขยับ แต่หยินเฉินกับราชครูขยับแล้ว ห้องที่เดิมทีไม่ใหญ่นักไม่พอให้ใช้ต่อสู้ได้ทั้งสี่คนต่อสู้กันจนออกมานอกห้อง
เสียงต่อสู้กันนี้ดึงดูดความสนใจของเหล่าลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวง พวกเขาต่างพากันวิ่งมาทางด้านนี้ทันที
ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ ผู้เฝ้ามองก็ฟาดไม้เท้าไปที่มู่ชิงเกออย่างแรง
แววตามู่ชิงเกอเครียดขึ้นในมือปรากฎทวนหลิงหลง นางกำทวนกระแทกไปที่ไม้เท้าผู้เฝ้ามองอย่างแรง แรงกระแทกนั้นทำให้ทั้งคู่กระเด็นออกจากกัน
เวลานี้ คนของดินแดนจื่อกวงก็มาถึงแล้ว
คนนำหน้ายังคงเป็นหัวหน้าคนนั้น อินผิงเองก็ร่วมอยู่ด้วย
พอเห็นพวกมู่ชิงเกอต่อสู้กันอยู่ พวกเขาต่างก็ตะลึงไป
“เจ้าโจรสุนัขกล้าสังหารนายน้อยตระกูลข้า เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” เวลานี้เองผู้เฝ้ามองพลันร้องลั่น
แววตามู่ชิงเกอเปล่งประกายทันที มองคนดินแดนจื่อกวงและตะคอกใส่ว่า “ยังยืนเซ่ออยู่ทำไม พวกเขาเป็นตระกูลมู่เหลือเดน!”
อะไรนะ! ตระกูลมู่เหลือเดน!
คำพูดมู่ชิงเกอทำให้คนของดินแดนจื่อกวงต่างได้สติขึ้นมาทันที
หัวหน้าคนนั้นรีบเรียกพรรคพวกที่เหลือบุกเข้าไปด้วยกันทันที