ตอนที่ 72
วางยาบ้าอะไร!
“ชิงเกอ ข้าร้อนมาก” เสียงของฉินอี้เหยาไม่ได้เยือกเย็นเหมือนเคย แต่กลับมีความยั่วยวนแฝงอยู่
ในขณะที่พูด ร่างกายของนางก็ขยับเข้ามาใกล้ร่างของมู่ชิงเกออย่างไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่าการได้สูดดมกลิ่นอายของนางจะทำให้ความรู้สึกอันรุ่มร้อนสงบลงได้
มู่ชิงเกอเบิกตาโพลง รับร่างของฉินอี้เหยาที่เอนตัวเข้ามาหาเอาไว้ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งที่อยู่อีกฝั่งดังขึ้นมา จึงรีบหันไปมอง
ป๋ายซีเยวี่ยที่นอนอยู่ ยามนี้ขดตัวเป็นก้อนอย่างไม่สนใจบาดแผลของตนเอง และเอาแก้มถูกับเสื้อผ้าบนร่างไม่หยุด นางหรี่ตาลงสีหน้าราวกับกำลังมึนเมา
“ชิงเกอ” ในตอนนี้ฉินอี้เหยาไม่หลงเหลือความเย็นชาสูงส่งเฉกเช่นยามปกติอีก แต่นางเหมือนกลายร่างเป็นงูก็ไม่ปาน ต้องการจะเกี่ยวรัดพันอยู่บนตัวของมู่ชิงเกอ
มือเล็กค่อนข้างเย็นคู่นั้น กระทั่งทำท่าอยากจะล้วงเข้าไปในชายเสื้อของมู่ชิงเกอ ทำให้มู่ชิงเกอตกใจรีบตะครุบไว้แล้วดึงมือนางออกมา
หากมู่ชิงเกอไม่รู้มาก่อนก็คงจะสงสัยว่าทั้งสองนางเป็นอะไร
แต่ตอนนี้นางเข้าใจทุกอย่างแล้ว!
คำตอบนั้น ทำเอานางย่ำแย่ไปหมด ฉินจิ่นซิวไอ้เลวเอ๊ย! วางยาโดนน้องสาวตัวเอง!
“ชิงเกอ ข้าทรมานมาก” ฉินอี้เหยาที่แนบตัวติดกับนาง ค่อยๆ พูดด้วยนํ้าเสียงที่ชวนหลงใหล
มู่ชิงเกอห่อไหล่ในทันที สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้ขึ้นมา
หลังจากที่ขมวดคิ้วคิดสักพัก นางก็เอาขวดกระเบื้องเล็กๆ ขวดหนึ่งออกจากพื้นที่ว่าง ของในขวดนี้คือยาชิงชิงซ่านที่นางเคยปรุงเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ยาแก้พิษ แต่อย่างน้อยก็สามารถบรรเทาสถานการณ์ไว้ได้บ้าง
มู่ชิงเกอเทยาครึ่งขวดลงในปากของฉินอี้เหยาอย่างไม่ลังเล ที่เหลืออีกครึ่งขวดก็เทให้ป๋ายซีเยวี่ย
บางทีฤทธิ์ของยาชิงชิงซ่านอาจจะช่วยต้านฤทธิ์ยาบางประเภทได้จริงๆ ทั้งสองนางที่กินยาชิงชิงซ่านเข้าไป ก็ไม่ได้มีอาการเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว
ฉินอี้เหยาพิงอยู่บนตัวของมู่ชิงเกออย่างอ่อนแรงท่าทางเหมือนกำลังสะลืมสะลือ
อาการของป๋ายซีเยวี่ยที่นอนอยู่อีกด้านก็ไม่ได้ดีมากนัก กลิ่นธูปหอมที่นางสูดเข้าไปมากกว่าฉินอี้เหยา และยังบาดเจ็บภูมิต้านทานก็ยิ่งแย่
เห็นชุดสีขาวของป๋ายซีเยวี่ยย้อมไปด้วยเลือด มู่ชิงเกอก็ขมวดคิ้ว
ตอนแรกนางคิดว่า หลังจากที่กลับจวนไปแล้วค่อยหาหมอมารักษาป๋ายซีเยวี่ย แต่เมื่อสักครู่นางขยับตัวเพราะฤทธิ์ของยาพิษ เหมือนบาดแผลจะหนักกว่าเดิม ถ้ายื้อ ต่อไปเกรงว่าจะ…
ยุ่งยาก!
มู่ชิงเกอแอบด่าในใจคำหนึ่ง แล้วเปิดผ้าม่านรถม้า สายตาอันสดใสกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้น นางพลันตาเป็นประกาย ป้ายโรงหมอแห่งหนึ่งสะท้อนเข้าสู่สายตา
“หยุด” นางรีบสั่ง
อาจจะเพราะคำสั่งก่อนหน้านี้ของฉินอี้เหยา นางกำนัลและทหารของตำหนักองค์หญิงต่างก็หยุดรถม้าลงอย่างเชื่อฟัง
นอกรถม้า นางกำนัลคนหนึ่งเปิดผ้าม่านออกมาแล้วเอ่ยถาม : “คุณชาย มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
มู่ชิงเกอวางตัวฉินอี้เหยาลงอย่างระมัดระวัง พลางพูดกับนางกำนัลว่า “บาดแผลของแม่นางป๋ายนั้นยื้อต่อไปคงไม่ได้ เราพานางไปโรงหมอให้หมอรักษาก่อน ส่วน พวกเจ้าไปจวนตระกูลมู่ ให้คนในจวนตระกูลส่งรถม้าออกมาคันหนึ่ง”
“เจ้าค่ะ” นางกำนัลลงมือปฏิบัติโดยไร้ซึ่งข้อสงสัยใดๆ มู่ชิงเกอหันกลับไป อุ้มป๋ายซีเยวี่ยที่นอนอยู่บนรถม้าขึ้นมา แล้วลงจากรถม้า สั่งไม่ให้ใครเข้าใกล้รถม้า จากนั้นก็เดินเข้าโรงหมอไป
ในระหว่างที่ป๋ายซีเยวี่ยรักษาตัว คนที่สั่งให้ไปที่ตระกูลมู่ ก็นำรถม้าและองครักษ์เร่งตามมาถึงพอดี
ในขณะที่รอ มู่ชิงเกอก็สั่งให้หมอจัดเทียบยานํ้าสงบใจให้กับป๋ายซีเยวี่ย เพื่อต้านพิษภายในร่างกายของนาง
โชคดีที่ ฉินจิ่นซิวไม่ได้ใช้ยาพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงมากนัก แต่เป็นยาพิษที่มีส่วนช่วยเพิ่มความสนุกสนานเท่านั้น ผู้ ที่โดนยาพิษหากสามารถทนผ่านจุดที่ทรมานที่สุดไปได้ ก็จะค่อยๆ สงบลงเอง ไม่จำเป็นต้องหาชายหนุ่มมาเป็น ยาถอนพิษ แต่ป๋ายซีเยวี่ยแม้ว่าจะโดนพิษรุนแรงกว่าแต่เพราะความเจ็บปวดจากบาดแผลและฤทธิ์ของยาชิงชิงซ่าน และยาสงบใจ พิษในตัวนั้นก็ไม่ได้มีอันตรายอะไรมากแล้ว ตอนที่รถม้าและทหารองครักษ์ของจวนตระกูลมู่มาถึงโรงหมอ นางก็รักษาเสร็จแล้วแต่ยังสลบอยู่
แต่พิษในตัวของฉินอี้เหยานั้นยังไม่สลายไปทั้งหมด ภายในรถม้ายังคงมีเสียงร้องครางแผ่วเบาชวนให้ผู้คนจิตใจเตลิดเปิดเปิงดังออกมา
“คุณชาย” ทหารของตระกูลมู่ต่างก็รีบทำความเคารพ เมื่อพบกับมู่ชิงเกอ มู่ชิงเกอพยักหน้ารับ เห็นสาวใช้คนสนิทที่ชื่อลวี่จือของป๋ายซีเยวี่ยท่ามกลางคนที่มาจากจวนตระกูลมู่
“ลวี่จือ”
ลวี่จือรีบเดินมาด้วยนัยน์ตาตื่นตระหนก “ลวี่จือคารวะคุณชาย ขอบังอาจถามคุณชาย คุณหนูของข้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“นางไม่ระวังจึงบาดเจ็บในสนามล่าสัตว์ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้ว” มู่ชิงเกออธิบายผ่านๆ ในใจแอบคิดว่านางกำนัลในตำหนักขององค์หญิงฉลาดจริงๆ ตอนไป แจ้งข่าวที่ตระกูลมู่ยังรู้จักพาตัวลวี่จือมาด้วย ทำให้นางไม่ต้องยุ่งยาก “คุณหนูได้รับบาดเจ็บหรือ!” ลวี่จือพลันรู้สึกตื่นตระหนก ขึ้นมา
ปฏิกิริยาแบบนี้ทำให้มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
นางบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมากไม่ใช่หรือ อีกอย่าง เจ้านายของนางก็เป็นสายเหลืองขั้นกลาง บาดเจ็บเพียงเท่านี้ไม่เป็นอะไรมากกระมัง
พอสังเกตเห็นว่าสีหน้าของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไป ลวี่จือจึงรีบก้มหน้าลงกล่าวขอโทษ “ขออภัยด้วยเจ้าค่ะคุณชาย ลวี่จือ แค่เป็นห่วงคุณหนู”
“เอาเถอะ” มู่ชิงเกอยกมือขึ้นโบก “เจ้านายของเจ้าบาดเจ็บที่กระดูก จะเคลื่อนไหวส่งเดชไม่ได้ เดี๋ยวเจ้าก็พานางกลับไปรักษาตัวต่อที่จวน หากต้องการสิ่งใดก็ให้ไปหาพ่อบ้านแล้วกัน”
“คุณชาย ท่านไม่กลับจวนหรือเจ้าคะ?” ลวี่จือถามด้วยความสงสัย สายตานั้นเหมือนกำลังบอกว่า ‘คุณหนูของข้าก็บาดเจ็บขนาดนี้แล้ว แล้วยังเป็นเพราะออกไปกับท่านจึงได้รับบาดเจ็บด้วย ท่านจะทิ้งนางไว้แบบนี้ได้อย่างไร ตนเองยังจะออกไปเที่ยวเล่นที่นอกจวนอีกรึ?’
“ข้าจะไปไหนต้องรายงานเจ้ารึ?” มู่ชิงเกอมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
สายตานั้นทำให้ลวี่จือตกใจ รู้สึกเพียงว่ามีไอเย็นพุ่งเข้ามาหาตัวนาง จึงรีบส่ายหน้าพลางพูดว่า “ลวี่จือไม่รู้กาลเทศะเองเจ้าคะ”
มู่ชิงเกอแอบยิ้มเย็นในใจ หันกลับกลับไปสั่งการทหารจวนตระกูลมู่ แล้วเดินออกจากโรงหมอเข้าไปยังรถม้าขององค์หญิงฉางเล่อ หลังจากที่นางขึ้นรถ รถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนออกไปยังตำหนักขององค์หญิง
ลวี่จือจ้องรถม้า ความไม่พอใจทั้งหมดแสดงออกมาทางสีหน้า