ตอนที่ 726
ฝันเดียวหนึ่งปี
ณ บ้านเล็กบนเขามู่ชิงเกอกับราชาเทวะเฒ่านั่งหันหน้าเข้าหากัน
ที่นั่งนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงแม้แต่นิด ทั้งคู่นั่งอยู่บนแท่นใต้ชายคาชื่นชมทิวทัศน์มีลมโชยอ่อนๆ
มู่ชิงเกอหยิบกาสุราพร้อมถ้วยสุราสองใบมาวางอยู่ตรงเบื้องหน้าทั้งสองคนแล้วรินจนเต็มถ้วย
เมื่อมองดูนํ้าสุราไหลออกจากปากกาสุรา แววตาราชาเทวะเฒ่าก็เจือรอยยิ้มมากขึ้น
เมื่อวางกาสุราแล้วมู่ชิงเกอก็เงยหน้าขึ้นมองราชาเทวะเฒ่า
ราชาเทวะเฒ่าสูดกลิ่นสุราเข้าลึกแล้วพูดว่า “หอมจริงๆ!”
“นี่เป็นสุราที่ข้านำติดตัวมาจากบ้านเกิดข้า” มู่ชิงเกออธิบาย ก่อนที่จะบินขึ้นมาจากโลกแห่งยุคกลาง นางไปหลินชวนมารอบหนึ่งและได้นำสุรารสแรงจากแคว้นฉินมาด้วย เป็นสุราที่กองทัพตระกูลมู่ใช้เป็นของรางวัลให้เหล่ากองทัพ
แต่ว่าสุรานี้มีปริมาณไม่มากนัก โดยปกติแล้วนางจึงไม่นำมาดื่มง่ายๆ
“อ้อ เป็นสุราบ้านเกิดเจ้าเองหรือ” ราชาเทวะเฒ่าสนใจทันที
มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ แล้วบอกเขาว่า “ราชาเทวะเฒ่า เชิญ”
ราชาเทวะเฒ่ายกถ้วยสุราด้วยท่าทางชื่นชม ยกขึ้นดมที่ปลายจมูกตัวเองแล้วเอ่ยชมอีกครั้ง “สุรานี้ ดมแล้วรู้สึกจัดจ้าน นี่จึงเป็นกลิ่นสุราที่พึงมี!”
พูดจบ เขาก็ดื่มลงไปรวดเดียว สุรารสแรงไหลลงไปตามหลอดอาหารราวกับไฟแผดเผา เผาไหม้ร่างกายเขาตั้งแต่ภายในถึงภายนอก
เสียงระเบิดในสมองราวกับเลือดถูกเผาจนเดือด ทั้งร่างปลอดโปร่งยิ่งนัก
“สุราดี!” ราชาเทวะเฒ่ารับรู้ถึงรสของสุราแล้วกล่าวชมอีกครั้ง
ครั้งนี้คำชมของเขาดังออกมาจากใจจริง เป็นความรู้สึกแท้จริงหลังดื่มสุราแรงจัด
ขณะที่เขามองมู่ชิงเกอ หลังที่เริ่มโค้งงอของเขาก็กลายเป็นผึ่งผายขึ้นมา สีหน้าสดใส ราชาเทวะเฒ่ามองมู่ชิงเกอด้วยประกายตาแวววับ เห็นเขายังไม่ขยับถ้วยสุราเบื้องหน้าจึงอดถามไม่ได้ว่า “เหตุใดเจ้าไม่ดื่ม”
มู่ชิงเกอยิ้มน้อยๆ แล้วยกถ้วยสุราเบื้องหน้าตัวเองดื่มรวดเดียวจนหมด
สุราแรงที่ไหลลงสู่ลำคอจัดจ้านยิ่งนัก
ความรู้สึกที่รุนแรงเช่นนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจะรับได้ แต่มู่ชิงเกอกลับหลงใหลในสุราแรงชนิดนี้ นางไม่ชอบสุราชนิดที่มีกลิ่นหอมผลไม้รสชาติจืดชืดและมีรสหวานในลำคอ
สุราแรงของกองทัพตระกูลมู่นั้นนางไม่ได้ดื่มมานานแล้ว พอได้ดื่มอีกครั้ง ปฏิกิริยาของนางกลับไม่ได้มากเท่าราชาเทวะเฒ่าแต่มีความสะเทือนใจ
‘ญาติที่หลินชวน เพื่อนในโลกแห่งยุคกลาง… ไม่รู้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างในเวลานี้’ มู่ชิงเกอรำพันในใจนึกอยากกลับไปเยี่ยมเยียน แต่คงต้องรอให้นางอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงจนมีความสามารถในการฉีกกำแพงช่องว่างก่อนจึงจะสามารถทำได้
“เจ้าหนูน้อยเจ้ามีอะไรก็พูดเถอะ ดื่มสุราเจ้าแล้วจะไม่ตอบปัญหาเจ้านั้นย่อมทำไม่ได้” ราชาเทวะเฒ่าพูดยิ้มๆ
มู่ชิงเกอดึงความคิดกลับมามองเขาแล้วว่า “ในเมื่อราชาเทวะเฒ่าพูดเช่นนี้ข้าก็ไม่อ้อมค้อมอีก ข้าเพียงอยากถามว่า คาถาครึ่งท่อนที่ราชาเทวะเฒ่าสอนข้านั้นมาจากไหนหรือ”
“หึม” ราชาเทวะเฒ่าเลิกคิ้วแล้วค่อยๆ พิจารณามู่ชิงเกออย่างละเอียด
สักครู่หนึ่งเขาจึงว่า “ข้าเคยบอกเจ้าว่า หากเจ้ามีโชควาสนาจะต้องได้อีกครึ่งท่อน หรือว่าเวลานี้เจ้ามีอีกครึ่งท่อนนั้นแล้ว”
เพราะอยากรู้หรือลองใจกันแน่
มู่ชิงเกอตอบเรียบๆ โดยไม่แสดงทีท่าอะไร “ขณะนี้ข้าอยู่ชั้นถํ้าวิญญาณชั้นแปด คาถาครึ่งท่อนที่ราชาเทวะเฒ่าให้ข้านั้นไม่พอที่จะใช้ช่วยในการบำเพ็ญอีกแล้ว ข้าไม่ชอบรอโอกาสมาแต่ไหนแต่ไรจึงอยากถามให้แน่ชัดเพื่อจะได้ไปค้นหา หากจะให้รอต้องรอจนถึง เมื่อไร แม้ข้ารอได้คู่แค้นของข้าก็รอไม่ได้”
สองตาราชาเทวะเฒ่าหรี่ลงแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าหมายถึงเหยียนเสี่ยหรือ”
มู่ชิงเกอไม่ได้พูด ไม่ตอบว่าใช่หรือไม่โดยให้ราชาเทวะเฒ่าคาดเดาเอาเอง
การวางตัวเช่นนี้ ความจริงแล้วเป็นการทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดได้ง่ายที่สุด เมื่อฝ่ายตรงข้ามถลำไปในความคิดตัวเองก็จะหาคำตอบที่สมเหตุสมผลให้นางได้โดยที่ไม่สงสัยในตัวนาง
“อืม เหยียนเสี่ยเป็นคนที่ร้ายกาจมาก เขามีชื่อเสียงมานานแล้ว การที่ถูกยกย่องว่าเป็นราชาเทวะน้อยที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรนั้นไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ”
จริงดังนั้น ราชาเทวะเฒ่าคิดว่าตัวเองคาดเดาถูกจึงพยักหน้านิดๆ แล้วพูด
“ดังนั้นข้าจึงไม่มีเวลาจะรออีก” มู่ชิงเกอพูด
การตอบเช่นนี้ยิ่งทำให้ราชาเทวะเฒ่าคิดว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้อง
“ความคิดเจ้าไม่เลว การไม่ยอมสยบต่อเหยียนเสี่ยนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่คาถาอีกครึ่งท่อนที่หายไปนั้น หากเจ้าคิดจะไปหาเองคงไม่ง่ายนัก ไม่แน่ว่ายังไม่ทันได้เบาะแสก็อาจจะตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว” ราชาเทวะเฒ่าเอ่ยเตือน
มู่ชิงเกอยิ้มเรียบๆ “อย่างน้อยข้าก็จะได้รู้ว่ามันเป็นอะไรแน่แล้วราชาเทวะเฒ่าได้มาได้อย่างไร ข้าไปตามหาร่องรอยเดิมก็ยังดีกว่านั่งรอความตาย”
“เจ้าอยากใช้วิธีของข้าไปหา ข้าบอกได้เลยว่า ไม่ต้องคิดแล้ว เพราะมันเป็นไปไม่ได้” ราชาเทวะเฒ่าโบกไม้โบกมือ
“อ้อ ทำไมหรือ” มู่ชิงเกอถามด้วยสายตาเป็นประกาย
ราชาเทวะเฒ่าบอกว่า “ที่ข้าได้คาถาครึ่งท่อนนี้มาก็เพราะโชควาสนา หนังสือพิสดารเล่มนั้น เวลานั้นอยู่ภายใต้การแย่งชิงกันของเหล่าราชาเทวะจนถูกฉีกแยกออกเป็นส่วนๆ ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งก็คือส่วนที่มีคาถาครึ่งท่อนนี้ถูกทำลายลงทันที ส่วนข้าในเวลานั้นบังเอิญอยู่ใกล้ที่สุด ทั้งมีความสามารถผ่านตาไม่ลืม จึงจดจำได้โดยบังเอิญ แต่น่าเสียดายถึงจำได้ก็ไร้ประโยชน์เพราะข้าใช้บำเพ็ญไม่ได้เลย”
พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา หัวเราะจนสุดท้ายแล้วเขาจึงพูดอย่างสะท้อนใจ “ล้วนอยากได้แต่ไม่สามารถบำเพ็ญได้ นี่จะต่างอะไรกับเศษกระดาษหรือ”
พูดแล้วดวงตาเขาก็เปล่งประกายมองมู่ชิงเกอแล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า “แต่เจ้ากลับบำเพ็ญได้ ทำให้ข้ารู้สึกเกินคาดทั้งยินดีอย่างยิ่ง”
ตาดำมู่ชิงเกอหดลงเล็กน้อย จับจ้องราชาเทวะเฒ่าแต่ไม่ได้พูดคำใด ใบหน้าก็ไม่แสดงท่าทีหลบหลีกหรือกลัวถูกจับได้แต่อย่างใด
ทั้งคู่จับจ้องกันอยู่พักหนึ่ง ราชาเทวะเฒ่าก็เอนกายไปด้านหลังแล้วบอกมู่ชิงเกอว่า “สุราเจ้าร้อนแรงจัดจ้าน ลงท้องเพียงถ้วยเดียวก็ขึ้นไปถึงศีรษะ หมดคำถามแล้วก็ไปเถอะ อย่ามากวนความฝันของข้า”
มู่ชิงเกอลุกขึ้นทำความเคารพเขาแล้วหันกายจากไป
นางออกจากบ้านเล็กบนเขาแต่จิตใจไม่ได้สงบลง คำพูดสุดท้ายของราชาเทวะเฒ่าหมายความว่าอย่างไร บอกใบ้นางหรือเตือนนาง
หรือเขาคาดเดาถึงฐานะของนางออกแล้ว
อีกอย่างหนึ่งคำอธิบายของราชาเทวะเฒ่านั้นมีน้อยมาก ทำให้คนนึกถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นไม่ออก แต่ราชครูเคยบอกว่าเรื่องนั้นดินแดนฮ่วนเยวี่ยไม่ได้เข้าร่วมด้วย
เดี๋ยวก่อน!
ประกายตามู่ชิงเกอวาบขึ้นมา หมื่นปีก่อนราชาเทวะเฒ่าออกจากตำแหน่งแล้วกระมัง
มู่ชิงเกอค่อยๆ ส่ายหน้า คำถามเหล่านี้นางยังไม่เข้าใจนัก หลังเก็บงำความคิดแล้วนางก็ไปพบเหยาชิงไห่กับซีเซียนเสวี่ย หลังกำชับพวกเขาทั้งหมดแล้ว นางก็กลับวังตัวเองและเริ่มปิดประตูบำเพ็ญ
การปิดประตูบำเพ็ญไม่ใช่เพื่อทะลวงขอบเขต แต่เพื่อให้อยู่ในเขตแดนได้อย่างมั่นคง รับรู้นิ้วหนึ่งจิตให้ทะลุปรุโปร่งมากยิ่งขึ้น
พริบตาเท่านั้นหนึ่งปีก็ผันผ่านไป มู่ชิงเกอได้ปิดประตูบำเพ็ญมาครบหนึ่งปีแล้ว
จนนางตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเพียงหลับไปหนึ่งตื่น ฝันไปหนึ่งครั้งเท่านั้น แต่บนโลกนั้นกลับผ่านไปแล้วถึงหนึ่งปี