Skip to content

พลิกปฐพี 757

ตอนที่ 757

ท่านโห่ว จากกันมานานสบายดีนะ

เป็นตายร่วมกัน

ชูเนี่ยนซาบซึ้งใจนัก นางมองมู่ชิงเกอแล้วกระซิบว่า “ชิงเกอ เจ้าไม่ต้องเสียเวลาเพื่อธุระของข้าหรอก”

มู่ชิงเกอสั่นศีรษะ “ก็ไม่เชิง ระหว่างข้ากับราชาเทวะอู๋หวายังมีบัญชีเก่าไม่ได้สะสาง”

“เจ้า…” ชูเนี่ยนชักลังเล

นางเม้มปาก สองตาเครียดขึ้น

คำพูดของมู่ชิงเกอทำให้คนฉลาดเฉลียวเช่นนางคิดต่อไปมากมาย แต่มีบางคำถามไม่สะดวกที่จะถามเวลานี้

“เจ้าตามข้ามา” ราชาเฟิ่งบอกมู่ชิงเกอกะทันหัน

ชูเนี่ยนยืนขวางด้านหน้าของมู่ชิงเกอไว้ด้วยความระแวดระวัง บอกราชาเฟิ่งเสียงเครียดว่า “เรื่องไฟนิพพานเป็นความคิดข้าเอง ไม่เกี่ยวกับเขา”

เห็นชูเนี่ยนไม่ไว้ใจตัวเองถึงเพียงนี้ ราชาเฟิ่งก็โกรธจนถลึงตา พูดอย่างเหลืออดว่า “พวกเจ้าเวลานี้มีพันธสัญญาเป็นตาย ข้ายังจะทำอะไรเขาได้หรือ”

และพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ข้าเพียงจะคุยกับเจ้าหนุ่มนี่ไม่กี่คำเท่านั้น”

ชูเนี่ยนยังไม่สู้จะวางใจนัก แต่มู่ชิงเกอกลับเดินออกจากข้างหลังนางและตบไหล่นางเบาๆ “ไม่ต้องกังวล”

พูดจบ นางก็ตามราชาเฟิ่งเดินไปข้างๆ

“ราชาเฟิ่งคิดจะคุยอะไรกับข้าหรือ” มู่ชิงเกอถาม

ราชาเฟิ่งหน้าเครียดจ้องมองมู่ชิงเกอ ทันใดนั้น สองตาเขาก็เปล่งประกายตื่นตะลึงถามเสียงหลงว่า “เหตุใดข้าจึงรับรู้ขั้นบำเพ็ญของเจ้าไม่ได้แล้ว ก่อนนี้ข้ารู้ว่าเจ้าใช้วิธีพิเศษซ่อนเร้นขั้นบำเพ็ญ แต่ก็ยังพอรับรู้ได้ แต่ครั้งนี้ข้ากลับรับรู้ไม่ได้เลย นี่มันเรื่องอะไรกัน”

เขาครุ่นคิดพึมพำ “โดยปกติ เมื่อผ่านไฟนิพพานแล้ว ผลบำเพ็ญต้องสูงขึ้นมากจึงจะถูก”

ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์คนใหม่เมื่อสองวันก่อนขึ้นมา

ตาดำราชาเฟิ่งหดลงโดยฉับพลันแล้วพูดอย่างตกตะลึงว่า “หรือเจ้าทะลวงขอบเขตไปถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว”

นี่…มันปีศาจอะไรกัน มาจากไหนกันแน่

เขาเป็นเผ่าอสูร ทั้งเป็นเผ่าเฟิ่งหวงที่สูงศักดิ์ที่สุด ย่อมดูออกว่าอายุกระดูกมู่ชิงเกอยังไม่เกินร้อยปี

ขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่อายุไม่ถึงร้อยปี…นี่มันเป็นไปได้อย่างไร

‘หากข่าวนี้แพร่ออกไป น่ากลัวว่าทั้งแผ่นดินเทพมารคงต้องสั่นสะท้านกันแน่’ ราชาเฟิ่งครวญอยู่ในใจ

“ถูกต้อง ภายใต้โชควาสนา ได้เข้าถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว” มู่ชิงเกอผงกศีรษะนิดๆ นํ้าเสียงแน่วนิ่งปกติ ไม่มีท่าทีหยิ่งทะนงแม้แต่นิด

ท่าทีเช่นนี้ของมู่ชิงเกอทำให้ราชาเฟิ่งชื่นชมมาก เดิมทีเขาตั้งใจจะเตือนมู่ชิงเกอว่าคนที่มีพันธสัญญากับราชาเผ่าเฟิ่งหวงในอนาคตจะต้องเป็นคนเหนือคน เทพ เหนือเทพ แต่เวลานี้เมื่อเห็นพรสวรรค์การบำเพ็ญที่ฝืนลิขิตฟ้า อีกทั้งจิตใจที่แน่วนิ่งไม่หยิ่งทะนง ทั้งร้ายกาจดุจมารปีศาจ คำพูดที่เตรียมไว้จึงล้วนเก็บคืนกลับไปหมด

“เฮ้อ โลกนี้มีคนโดดเด่นเกิดขึ้น พวกข้าแก่แล้ว ต่อไปล้วนเป็นโลกของพวกเจ้าคนหนุ่มสาว” ราชาเฟิ่งเปลี่ยนคำเตือนที่ไม่ได้พูดเป็นคำสะท้อนใจแทน

เมื่อตั้งสติแล้วเขาก็พูดว่า “เจ้ามีพรสวรรค์เช่นนี้ ทำให้รู้สึกผิดคาดจริงๆ แต่ว่าข้ายังต้องเตือนเจ้าสักคำ เทพมารสองเผ่าไม่ถูกกันตลอดมา เมื่อเผ่าเทพมีคนร้ายกาจเหนือมนุษย์เช่นนี้หากข่าวแพร่ไปถึงเผ่ามาร น่ากลัวพวกเขาจะลงมือจัดการเจ้า ดังนั้นเจ้าจะต้องเรียนรู้การเก็บงำประกายไว้”

คนเผ่ามารจะสังหารนาง?

มู่ชิงเกอไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ก็ยังขอบคุณในความหวังดีของราชาเฟิ่ง

ราชาเฟิ่งขมวดคิ้วพูดอีกว่า “ถึงแม้เจ้ากับชูเนี่ยนมีพันธสัญญากันแล้ว แต่เวลานี้นางยังต้องอยู่ในป่าหวูถง เพื่อเรียนรู้บัญญัติอาคมในเผ่า การบำเพ็ญของนางหากยังไม่ถึงเกณฑ์ข้าจะไม่ให้นางกลับไปผจญภัยที่ดินแดนอู๋หวา ยังมีอีก หากเจ้าจะจัดการเจ้าแก่สารเลวอู๋หวาจะต้องบอกให้ข้ารู้ข้าจะได้ไปร่วมแก้แค้นด้วย”

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วพยักหน้าว่า “ได้ เรื่องแก้แค้นต้องค่อยๆ วางแผนให้ละเอียด แต่ก็คงไม่นานนัก ราชาเฟิ่งโปรดอย่าร้อนรน ชูเนี่ยนนั้นให้นางอยู่ในป่าหวูถงก่อน รอจนท่านวางใจปล่อยนางออกไปแล้วค่อยให้นางกลับดินแดนอู๋หวา เรื่องนี้ยังต้องการให้นางเป็นคนจัดการแผนภายในด้วย”

ราชาเฟิ่งผงกศีรษะแล้วพูดอย่างชื่นชมว่า “ข้ารู้สึกว่า เจ้าเป็นคนไม่เลวทีเดียว ฮ่าๆๆ”

เขาหัวเราะเสียงดัง ดูท่าทางพูดคุยกับมู่ชิงเกอได้ถูกคอมาก ทำให้ชูเนี่ยนที่เฝ้าสังเกตเหตุการณ์อยู่ข้างๆ วางใจลงด้วย

ตกลงกันได้แล้ว มู่ชิงเกอกับราชาเฟิ่งก็ย้อนกลับมา

ราชาเฟิ่งบอกชูเนี่ยนว่า “ลูกรัก ตามกฎของเผ่า เจ้าเป็นองค์หญิงเผ่าเฟิ่งหวง หลังจากนิพพานครั้งแรก ต้องประกาศให้รู้ทั่วหล้า เจ้าว่า…”

“ไม่ได้” ชูเนี่ยนห้ามทันที “หากประกาศทั่วหล้า ทุกคนมิรู้กันหมดว่าข้าเป็นอะไรหรือ แล้วข้าจะกลับดินแดนอู๋หวาไปนำมารดาออกมาได้อย่างไร หากเป็นเช่นนั้นแล้วคงต้องบุกหักเอาด้วยกำลังเท่านั้น”

“ใช่…จริงด้วย” ราชาเฟิ่งสงบลง

“แต่ก็ละเลยเจ้าเกินไป” ราชาเฟิ่งมองชูเนี่ยนอย่างห่วงใยสุดแสน

ชูเนี่ยนสั่นศีรษะ “ทั้งหมดเป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น บางเรื่องพวกเรารู้กันเองก็พอแล้ว ไม่ต้องใส่ใจสายตาคนข้างนอกนัก”

ราชาเฟิ่งถอนใจแล้วบอกนางว่า “ได้ ตามใจเจ้า เพียงแต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ข้าจะต้องจัดงานเลี้ยงให้ลูกสาวคนเดียวของข้าอย่างยิ่งใหญ่ ให้ทั้งแผ่นดินเทพมารรู้ว่าเจ้าเป็นลูกสาวข้า ไม่ใช่ลูกสาวราชาเทวะอู๋หวาชั่วช้าผู้นั้น”

มู่ชิงเกอนึกขำ นินทาในใจ ‘ที่แท้ราชาเฟิ่งเฒ่าก็หวงลูกสาว วิถีชีวิตพ่อลูกเช่นนี้บางครั้งก็ทำให้คนรู้สึกชื่นชมอิจฉาเหมือนกัน’

ถึงแม้นางเองก็มีบิดา แต่นางไม่ใช่มู่ชิงเกอคนนั้น เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของมู่เหลียนเฉิง อย่างมากก็เป็นรูปแบบของทหารที่เคารพนับถือซึ่งกันและกัน ระหว่างพวกเขาไม่อาจเป็นดังเช่นชูเนี่ยนกับราชาเฟิ่งเฒ่าเช่นนี้

ชูเนี่ยนยังคงอยู่ในป่าหวูถง เรียนรู้บัญญัติอาคม เผ่าเฟิ่งหวงรวมทั้งวิถีบำเพ็ญ จะออกจากป่าหวูถงได้เมื่อใดนั้นต้องอยู่ที่ราชาเฟิ่งเท่านั้น

ส่วนมู่ชิงเกอ วันรุ่งขึ้นหลังจากนิพพานจบสิ้นก็ออกจากป่าหวูถงไปคนเดียว

ชูเนี่ยนไม่ได้มาส่งนาง นางเองก็ไม่ต้องการบรรยากาศอาลัยอาวรณ์เช่นนี้ เพียงแค่ไม่ได้ตายจากก็ ยังมีโอกาสได้พบกันอีก อีกทั้งชะตาชีวิตพวกนางก็ได้ผูกติดกันแล้ว

ยังต้องมีความรู้สึกซึมเศร้าส่วนเกินอะไรมาอีกเล่า

มู่ชิงเกออยู่ในป่าหวูถงสิบปีแล้ว นางจะต้องออกไปรับรู้เหตุการณ์ภายนอกต่อไป

แต่ขณะที่นางเดินออกจากป่าหวูถงก็ชะงักไปทันที

สองคนที่เกินคาดคิด แต่ก็สมเหตุสมผลปรากฎอยู่เบื้องหน้านาง

มองดูคนที่อยู่ข้างชายผมเงินนัยน์ตาสีเลือด รูปร่างบึกบึนผมกระเซอะกระเซิงมีรอยสักที่ปากกำลังยิ้มให้นางอยู่ มุมปากมู่ชิงเกอก็ยกขึ้นเล็กน้อย

“ท่านโห่ว จากกันมานาน สบายดีนะ” มู่ชิงเกอหรี่ตายิ้มพูด

เพียงแต่ รอยยิ้มนั้นเจือไปด้วยความหนาวเหน็บ

ทำให้ร่างของโห่วสะดุ้ง กระดูกสันหลังเย็นวาบ รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งเกร็งพลางยิ้มเขินๆ พูดกับมู่ชิงเกอว่า “แหะๆ นังหนู พวกเราไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปีแล้ว เจ้าไม่คิดถึงข้าเลยหรือ”

มู่ชิงเกอแค่นยิ้ม “ไม่คิด ข้าไม่อยากสิ้นเปลืองโอสถข้าไปช่วยชีวิตคนคนเดียวซํ้าๆ”

เอ่อ…

มู่ชิงเกอที่โกรธขึ้นมาแล้วแม้แต่โห่วก็ยังทำท่าจะรับไม่ไหว

แต่ก่อนนี้เขาเองก็เป็นคนห้าวหาญแข็งแกร่ง เคยยอมลงให้ใครที่ไหนกัน แต่ภายหลัง วิธีการเล่นงานเขาของนังหนูผู้นี้มีสารพัดชนิดไม่หยุดไม่หย่อน จัดการเสียจนเขาจนดิ้นไม่หลุด

อีกทั้งข้างกายนาง ยังมีเจ้าแห่งแดนมารที่มีอุบายเต็มสมอง คอยตั้งหน้าตั้งตาจับจ้องอยู่

สองคนนี้รวมเป็นกระบี่คู่ ใต้หล้านี้จะไม่มีใครเทียบได้

โห่วยิ้มเขินๆ เข้าไปใกล้มู่ชิงเกออย่างเอาใจแล้วบอกนางว่า “เจ้าดูสิ ข้าไม่ใช่ยังดีๆ อยู่หรือ อีกทั้งเมื่อรู้ว่าเจ้าจะออกจากป่าหวูถง ข้ากับหยินเฉินก็มารออยู่ที่นี่ตั้ง หลายวันแล้ว”

มู่ชิงเกอแค่นยิ้ม “ที่เจ้าไม่เป็นไร และเวลานี้ยังยืนอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะโอสถระดับมหาเทพของข้าสองเม็ด”

โห่วยิ้มอย่างขวยเขินขึ้นมาทันที

“ข้าว่านะท่านโห่ว เจ้าทำให้คนเป็นห่วงน้อยลงหน่อยได้ไหม” มู่ชิงเกอใช้แววตาเย้ยหยัน กอดอกหรี่ตาพูดเยาะเย้ยโห่วว่า “คุยโวว่าเป็นบรรพบุรุษของเหล่าสัตว์ร้าย เหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นไก่อ่อน เพิ่งกลับป่าอสูร ก็โดนคนตีจนบาดเจ็บสาหัส แค้นเก่าไม่ทันชำระก็เพิ่มแค้นใหม่ขึ้นมาอีกแล้ว”

โห่วโดนมู่ชิงเกอซํ้าเติมหลายครั้ง สีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายรอบ สุดท้ายแล้วก็หน้าดำครํ่าเครียด

เขาพูดอย่างแค้นเคืองว่า “ฮึ เจ้าพวกสารเลว! บิดาจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อแก้แค้น!”

พูดแล้วนัยน์ตาเขาเปล่งประกายแวววับ มองมู่ชิงเกอว่า “นังหนู ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้เพราะมีเรื่องดีจะบอกเจ้า เจ้าตามข้าไปแก้แค้นดีไหม เจ้าไม่ต้องออกแรงอะไร แค่อยู่ข้างๆ ดูข้าฆ่าฟันก็พอแล้ว”

พูดจบ เขาก็พิจารณามองมู่ชิงเกอทั้งร่าง ยิ้มอย่างพิลึกพิลั่นแล้วเลิกคิ้วพูดกับนางว่า “หากข้าเดาไม่ผิด เงาภาพขั้นศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฎเมื่อสองสามวันก่อนนี้ เป็นเจ้าใช่ไหม”

มู่ชิงเกอมองเขาคล้ายอมยิ้ม แต่ไม่ตอบข้อสงสัยเขา

มู่ชิงเกอละสายตาคืน คลายมือที่กอดอกแล้วเดินไปทางหยินเฉิน บอกหยินเฉินว่า “พวกเราไป”

หยินเฉินอมยิ้มพยักหน้าแล้วตามมู่ชิงเกอจากไป

จนเมื่อสองคนนี้จากไปแล้ว โห่วซึ่งยืนงงอยู่ที่เดิม จึงรู้ตัวรีบร้องบอกทั้งคู่ว่า “นี่! พวกเจ้ารอข้าก่อน!”

พูดจบก็เร่งตามไป

โห่ววิ่งตามอยู่ข้างหลัง มู่ชิงเกอกับหยินเฉินดูเหมือนไม่ได้เดินเร็ว แต่ก้าวเท้าแต่ละก้าวก็เคลื่อนตัวไปหนึ่งลี้แล้ว

เงาร่างทั้งสามคนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในป่า ห่างจากป่าหวูถงไกลขึ้นเรื่อยๆ

โห่ววิ่งตามขึ้นไป ได้ยินมู่ชิงเกอกำลังคุยกับหยินเฉิน

ที่มู่ชิงเกอสอบถามถึงย่อมเกี่ยวกับเรื่องราวบนแผ่นดินเทพมาร หยินเฉินล้วนตอบทั้งหมด เรื่องที่มู่ชิงเกอกำชับไว้เมื่อสิบปีก่อน เขาได้ปฏิบัติตามครบหมดทุกอย่างแล้ว

ในสิบปีนี้ส่วนใหญ่ล้วนบำเพ็ญอยู่ในป่าอสูร ปีสองปีก็ออกไปตระเวนสำรวจหนึ่งรอบตามที่มู่ชิงเกอสั่งไว้เพื่อรับรู้สภาพการณ์

ในสิบปีนี้เฟิงหลินเยี่ยตู้ในแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร ขยายกิจการใหญ่โตขึ้นมาจนมีชื่อเสียงขจรขจาย

พวกเขาต่างทำตามที่มู่ชิงเกอบอกคือซุ่มซ่อนไว้อย่างมิดชิด ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ เพียงแค่เก็บรวบรวมข่าวสารดินแดนเทพที่มู่ชิงเกอสั่งไว้อย่างเงียบเชียบ

ในสิบปีนี้ข่าวคราวตระกูลมู่เหลือเดนราวกับอยู่ดีๆ ก็หายไปจากแผ่นดินเทพมาร ไม่มีข่าวอะไรออกมาแม้แต่น้อย

สิ่งนี้ชวนให้คนรู้สึกว่าหลังจากนายน้อยตระกูลมู่ถูกสังหารแล้ว ตระกูลมู่เหลือเดนก็แตกแยกสูญสลายไปจนหมดสิ้น

คนในแดนเทพเหล่านี้คิดไม่ถึงแม้แต่นิดว่า คนตระกูลมู่ได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นอีกแบบหนึ่ง ฝังร่างอยู่ตามที่ต่างๆ

กระทั่งในสิบหกดินแดนเทพนั้นล้วนมีคนของมู่ชิงเกออยู่

“ด้านดินแดนมารยังไม่มีข่าวคราวอะไร” หยินเฉินว่า

มู่ชิงเกอพยักหน้านิดๆ ไม่มีข่าวก็คือข่าวที่ดีที่สุด นั่นหมายถึงการปิดประตูบำเพ็ญของซือมั่วราบรื่นทุกอย่าง เดิมทีเขาว่าจะปิดประตูบำเพ็ญใช้เวลาราวร้อย ปี แต่เวลานี้เพิ่งผ่านไปเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น กว่าจะออกจากการบำเพ็ญยังอีกยาวไกล

มู่ชิงเกอถอนใจ

“ชิงเกอ ต่อไปจะต้องทำอะไรอีก” หยินเฉินถาม

ซุ่มอยู่เฉยๆ ฝังตัวให้ลึก นอกจากเพื่อแทรกซึมเข้าแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรแล้วก็เพื่อรอมู่ชิงเกอ เวลานี้มู่ชิงเกอกลับมาแล้ว เขาย่อมต้องถามว่าต้องเปลี่ยนแปลง อะไรจากปัจจุบันนี้หรือไม่

มู่ชิงเกอขมวดคิ้วเม้มปากพูดว่า “ครั้งนี้ได้ผลเกินคาดคิด นั่นคือเวลาที่พวกเราปฏิบัติการจะได้รับแรงสนับสนุนจากเผ่าเฟิ่งหวง แต่หากจะจัดการพวกเขา กำลังพวกเรายังไม่พอ อย่างน้อยที่สุดข้าก็ยังไม่พอ”

มู่ชิงเกอเข้าใจดีว่า หากนางจะฟื้นฟูตระกูลมู่ สร้างเก้าชั้นฟ้ากลับขึ้นมาใหม่ จะต้องกระทำจนสามารถชำระข้อหาความผิดต่างๆ เพียงแค่ผลบำเพ็ญของนาง ขึ้นถึงจุดสุดยอด แข็งแกร่งจนผู้คนทั้งหมดต่างต้องแหงนมอง เวลานั้นนางคิดจะทำอะไรก็จะไม่มีใครกล้าขัดขวางนางอีก แต่นอกจากนั้นแล้วนางยังต้องรวบรวมกำลัง

ตระกูลมู่ครั้งนั้นที่ถูกทำให้ล่มสลายก็เพราะอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ความช่วยเหลือ ความแข็งแกร่งของพวกเขาทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรกับใคร ยังผลให้ขณะภัยร้ายมาถึงจึงมีแต่คนร่วมรุมแต่ไม่มีใครร่วมต่อสู้ด้วยเลย

เวลานี้มีเพียงเผ่าเฟิ่งหวงเผ่าเดียวยังไม่พอ!

“ฝังตัวต่ออีก แทรกซึมให้ลึกมากขึ้น ถึงเวลานั้นแล้วพวกเรายังสามารถแบ่งแยกพวกเขาจากภายในได้ สามารถผ่อนคลายแรงกดดันของสงครามเต็มรูปแบบ” มู่ชิงเกอบอก

“ได้” หยินเฉินพยักหน้า

รอจนทั้งคู่พูดจบโห่วจึงพูดแทรกว่า “นี่ พวกเจ้าคุยกันจบแล้วหรือยัง คุยจบแล้วข้าจะได้คุยบ้าง”

พอเขาเปิดปาก มู่ชิงเกอกับหยินเฉินทั้งคู่ต่างมองไปที่เขา

โห่วบิดคออย่างพื้นๆ แล้วพูดว่า “ที่ข้าพูดเมื่อกี้นี้เจ้าตกลงหรือไม่”

คำถามนี้ย่อมถามมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอเลิกคิ้วถามเขา “เจ้าพูดว่าอะไรนะ”

โห่วชะงักยอมแพ้แววตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมู่ชิงเกอ ทำได้เพียงพูดอีกรอบ “ข้าบอกว่าให้เจ้าตามข้าไปแก้แค้น เจ้าไม่ต้องออกแรงแค่ดูอยู่ข้างๆ ก็พอ แล้วเจ้าจะ ได้รับประโยชน์เอง”

“ประโยชน์อะไร” มู่ชิงเกอถาม

โห่วกลับหัวเราะ ‘หึๆ’ ทำทีเป็นลึกลับ “ถึงเวลาแล้วเจ้าก็จะรู้เอง”

มู่ชิงเกอสั่นศีรษะ “ข้าไม่รู้จักแม้แต่คู่แค้นเจ้า เจ้าว่าข้าไม่ต้องลงมือ แต่พอคนเห็นข้าเป็นพวกเดียวกับเจ้า แล้วเข้ามาลงมือกับข้าจะทำอย่างไรเล่า ไม่ไปดีกว่า”

โห่วกระตุกมุมปาก พูดด้วยสีหน้าน่าเกลียด “นี่เป็นเรื่องดีข้าจึงนึกถึงเจ้า อีกอย่างพวกเราก็เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว”

มู่ชิงเกอมองเขาคล้ายยิ้มว่า “เป็นพวกเดียวกันหรือ ดี เจ้าบอกข้าก่อนว่าใครกันแน่ที่ตีเจ้าจนบาดเจ็บในแผ่นดินเทพมารจนเจ้าต้องเข้าสู่โลกแห่งยุคกลาง อีกทั้งครั้งนี้กลับมาป่าอสูรใครทำเจ้าบาดเจ็บอีก”

โห่วเพิ่งรู้ตัวก็ยิ้มเขินๆ กับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าติ ว่าข้าไม่บอกความจริงให้เจ้ารู้หรือ”

มู่ชิงเกอสายตาเย็นเฉียบไม่พูดจา แต่ท่าทางนั้นชัดเจนมากแล้ว

โห่วถอนใจบอกนางว่า “ความจริง ข้ารู้สึกว่าเจ้ามีเรื่องเยอะอยู่แล้วจึงไม่อยากให้เรื่องของข้าทำให้เจ้ายุ่งยาก แต่เวลานี้จะบอกเจ้าก็แล้วกัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!