Skip to content

พลิกปฐพี 758

ตอนที่ 758

ข้าจะพาเจ้าไปฆ่ามังกร!

“ความจริงเรื่องของข้าไม่ได้ซับซ้อนเพียงนั้น ครั้งนั้นพวกเผ่ามนุษย์ที่ลอบทำร้ายข้า ความจริงเจ้าเองก็รู้ดี” โห่วพูดพลางมองมู่ชิงเกอ

ตาดำมู่ชิงเกอหดลงทันใด หลุดปากว่า “คงไม่ใช่…”

นางยังพูดไม่ทันจบโห่วก็พยักหน้า พูดอย่างเย้ยหยันว่า “ภายในแผ่นดินเทพ ขั้นศักดิ์สิทธิ์นับว่าสุดยอดแล้ว คนที่กล้าเล่นงานข้าย่อมต้องเป็นสุดยอดของสุดยอด นอกจากในกลุ่มสิบหกคนนั้นแล้วยังจะมีใครได้อีก”

แววตามู่ชิงเกอเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด นางถามเสียงเครียดว่า “พวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่”

“ทำอะไรหรือ” โห่วยิ้มเย็นเฉียบบอกมู่ชิงเกอว่า “เมื่อก่อนข้าไม่บอก เพราะรู้สึกว่าเจ้าไม่แกร่งกล้าพอ เวลานี้เจ้าอยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้วถึงรู้ก็คงไม่เป็นไร”

โห่วหยุดเดินแล้วหาที่สบายๆ นั่งลง ท่าทางเกียจคร้านนี้ดูเป็นคนปล่อยตัวตามสบายมาก

มู่ชิงเกอก็นั่งลงตามเขาส่วนหยินเฉินก็นั่งอยู่ข้างนาง

โห่วนั่งพิงต้นไม้ ยิ้มประหลาดว่า “เจ้าควรรู้ว่าเหนือขั้นศักดิ์สิทธิ์นั้น ยังมีขั้นบรรพเทพที่ไม่มีใครเข้าถึงเป็นเวลานานแสนนานมาแล้ว”

แววตามู่ชิงเกอเครียดลงเล็กน้อยพลางพยักหน้า

ซือมั่วเคยบอกนาง แต่ที่พูดนั้นคือไม่เคยมีคนเข้าถึง ไม่ใช่เช่นที่โห่วพูดว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาแล้ว

“นานเข้าจึงกลายเป็นเพียงตำนาน เป็นขั้นพลังที่อยู่ในตำนานเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร ต่างถือว่าขั้นเก้าของขั้นศักดิ์สิทธิ์นั้นสูงที่สุดในโลกนี้” โห่วพูดต่อ

มู่ชิงเกอก็ฟังอย่างสงบ อีกทั้งฟังอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ

โห่วหันมองนางกะทันหันและหรี่ตาลง เกิดประกายสนุกสนานในแววตา “เจ้ารู้ไหมว่าคนสุดท้ายในตำนานที่เข้าถึงขั้นบรรพเทพเป็นใคร”

‘หากเป็นคนที่ข้าไม่รู้จัก โห่วคงไม่ถามเช่นนี้!’ ใจของมู่ชิงเกอกระตุกวูบ สองตาหรี่ลงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ภายใต้สายตาเฝ้ารอของโห่ว นางก็พูดเสียง เครียดว่า “บรรพชนตระกูลมู่ผู้สร้างเคล็ดวิชาเทวะ”

“ถูกต้อง!” โห่วพยักหน้า สองตาจ้องที่มู่ชิงเกอ “ความจริงบรรพชนตระกูลมู่ครั้งนั้น เหยียบช่องว่างอากาศจนแหลกภายใต้สายตาผู้คนออกจากแผ่นดินเทพมาร เล่ากันว่าไปโลกแห่งเจ้า เดิมทีเขาเป็นคนแสนธรรมดา แต่สามารถเดินทีละก้าวไปถึงจุดนั้นจึงเป็นปริศนาให้ผู้คนคาดเดาว่าภายในเคล็ดวิชาเทวะนั้น มีความลับของการทะลวงขอบเขตขั้นสุดท้ายซ่อนอยู่”

นัยน์ตามู่ชิงเกอเกิดประกายแหลมคมพูดว่า “ดังนั้นตระกูลมู่จึงได้ประสบเภทภัยในภายหลัง ไม่เพียงเพราะชื่อเสียงบารมีของเก้าชั้นฟ้าทำให้ดินแดนเทพอื่นเกิดความกดดันเท่านั้น แต่เพราะพวกเขาต่างอยากได้เคล็ดวิชาเทวะ อยากรู้ความลับของการเข้าสู่ชั้นบรรพเทพ ไม่ว่านี่จะเป็นเพียงตำนานหรือไม่ก็เพียงพอให้พวกเขาลองเสี่ยงดู”

“จิตใจคนล้วนละโมบโลภมาก เมื่อไม่เห็นความหวังในตัวเอง พวกเขาก็จะฝากความหวังไว้ในตัวคนอื่นหรือในสิ่งของอื่น” โห่วพูดอย่างสะท้อนใจ นัยน์ตามีแววเสียดสีอย่างชัดเจน

“เจ้ามีความพิเศษมาก ตอนข้ามองดูเจ้าราวกับมีเงาร่างของบรรพชนตระกูลมู่อยู่ เจ้าอาศัยแรงหนุนจากภายนอกน้อยมาก เชื่อมั่นในตนเอง” โห่วยิ้มมองมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอไม่ได้ใส่ใจในคำชมของเขาแต่พูดเบาๆ ว่า “ตามตำนานราชันย์โอสถจอมเทพสามารถทำให้คนที่อยู่ในขั้นสุดยอดของขั้นศักดิ์สิทธิ์ทะลวงขอบเขต เข้าถึงขั้นบรรพเทพได้ จึงทำให้เกิดเรื่องเหลียนเฉียว เทพโอสถถูกสังหาร หม้อผลาญสวรรค์ถูกจับจ้อง หรือว่าคนที่ทำร้ายเทพโอสถก็คือคนที่ทำให้ตระกูลมู่ล่ม สลาย”

เวลาเดียวกันนางก็คิดในใจว่า ‘โห่วพูดไม่ผิด แผ่นดินเทพมารแม้กว้างขวางนัก แต่คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้นก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน คนที่ทำเรื่องเหล่านี้ได้ก็ต้องเป็นพวกเขา ดีแล้ว แค้นเก่าแค้นใหม่จะได้ชำระไปพร้อมกันเลย’

“แต่บรรพชนตระกูลซางเล่า บรรพชนตระกูลซางให้ข้าคอยระวังเส้าอะไรบางอย่าง แต่ยังพูดไม่ทันจบ ที่ข้าคาดเดาเวลานี้ เจ้าเส้าอะไรผู้นี้ก็คือราชาเทวะ เส้าเทียน หรือว่าที่บรรพชนตระกูลซางร่วงดับลง เกี่ยวข้องกับราชาเทวะเส้าเทียน” มู่ชิงเกอถาม แววตานางเหี้ยมเกรียมจับจ้องโห่วแล้วถามว่า “คนที่ลอบทำ ร้ายเจ้าคือพวกเขา พวกเขาอยากได้อะไรจากตัวเจ้า”

โห่วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “บรรพชนตระกูลซางเป็นอย่างไรนั้นข้าไม่รู้ ข้านั้นเจ้าเองก็รู้ ข้าเป็นผู้เดียวที่อยู่มาตั้งแต่มีการกำเนิดฟ้าดิน ไม่รู้เจ้าบ้าที่ไหนบอกว่า เผ่าอสูรที่เกิดขึ้นขณะกำเนิดฟ้าดิน บนร่างนั้นอาจซ่อนเงื่อนงำการเข้าสู่ขั้นบรรพเทพไว้ ดังนั้นข้าจึงกลายเป็นเป้าหมายทดลองให้พวกเขาค้นคว้า”

เป็นเช่นนี้เองหรือ

ใบหน้ามู่ชิงเกอผุดความตกตะลึง

“ดังนั้นไป๋สี่เจ้างูน้อยนั้นก็ต้องระวังไว้ นางเองก็เป็นตัวเดียวในใต้หล้า โดยเฉพาะนางยังเป็นอมตะ เน่ยตัน* [1]ในตัวนางยังสามารถทำให้ตายแล้วคืนชีพได้อีกด้วย”

คำพูดนี้ไม่เพียงทำให้ลมหายใจมู่ชิงเกอเย็นวาบ ทั้งตาสีเลือดของหยินเฉินก็จับจ้องไปที่โห่ว

โห่วหันมองหยินเฉินแล้วมองมู่ชิงเกอ คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย สีหน้าเคร่งเครียด “นังหนู ชะตาชีวิตเจ้าไม่ธรรมดาเลย ข้า ไป๋สี่ ทั้งหยินเฉินสุนัขจิ้งจอก มังกรผ่าเหล่า เวลานี้ต่างชุมนุมอยู่ข้างตัวเจ้า ทั้งยังคนอื่นๆ อีก เคล็ดวิชาเทวะก็อยู่ในมือเจ้า เวลานี้แม้แต่เฟิ่งหวงน้อยเผ่าเฟิ่งหวงก็ยังมีพันธสัญญากับเจ้า ข้ามีลางสังหรณ์ว่า น่ากลัวในอนาคต เจ้าจะเขียนประวัติศาสตร์แผ่นดินเทพมารขึ้นมาใหม่”

“ข้าไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงปานนั้น แค่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ก็ดีมากแล้ว” มู่ชิงเกอยิ้มพูด

โห่วกลับส่ายหน้า “บางครั้งบางเรื่อง ไม่ใช่เจ้าพอใจหรือไม่พอใจ แต่เจ้าจะต้องโดนเหตุผลหลายสิ่งหลายอย่างผลักดันให้เดินไป จนวันใดวันหนึ่งพอเจ้าหันหลังกลับไปจึงจะพบว่าเส้นทางของตัวเองนั้นความจริงได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”

มู่ชิงเกอเม้มปาก แววตาเปลี่ยนเป็นดุดัน

“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าถูกลอบทำร้าย เวลานี้เจ้าก็รู้ชัดเจนแล้ว อย่านึกว่าถึงวันที่เจ้าล้างแค้นจะมีเพียงเผ่าเฟิ่งหวงที่ช่วยเหลือเจ้า ข้าเองก็จะช่วยด้วย ไม่เพียงเท่านั้น พอข้าสั่งให้เหล่าลัตว์ร้ายภายใต้คำสั่งข้ากลับมาหมด ก็เท่ากับช่วยข้าล้างแค้นให้ตัวเองด้วย” โห่วหัวเราะร่า

มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาด้วย นางรู้สึกซาบซึ้งในใจ ความจริงโห่วตั้งใจช่วยนางอยู่แล้ว แต่ที่แกล้งพูดเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้นางต้องติดหนี้ บุญคุณ

“ส่วนเรื่องที่หลังจากข้ากลับมา..สีหน้าโห่วเปลี่ยนเป็นดุร้าย กระดูกทั่วตัวเขาเกิดเสียงดัง ‘กร็อบ’ แล้วบอกมู่ชิงเกอว่า “นงหนู ข้าจะพาเจ้าไปสังหารมังกรดีไหม ยังไม่เคยลองใช่ไหม!”

สังหารมังกร!

มู่ชิงเกอรู้สึกประหลาดใจ พูดว่า “ที่เจ้าบาดเจ็บสาหัสครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับเผ่ามังกรหรือ”

โห่วแค่นยิ้ม “ไม่รู้ว่าพวกไส้เดือนจิ๋วสืบรู้มาจากไหนว่าข้ากลับมาแล้ว ถึงขนาดวางแผนสังหารข้า บอกว่าจะแก้แค้นให้พวกเผ่ามังกรที่ตายในมือข้า”

“เจ้าไม่ใช่ร้ายกาจนักหรือ ทั้งยังเป็นผู้พิฆาตมังกรอีก เหตุใดจึงได้โดนเผ่ามังกรตีจนปางตายได้เล่า” ท่าทางมู่ชิงเกอดูแปลกประหลาดนัก

โห่วดูจะเสียหน้ามาก กระแอมทีหนึ่ง “ข้าประมาทเอง อีกทั้งวิธีการพวกเขาก็ตํ่าช้ามาก’’

[1]* เน่ยตัน หรือ โอสถภายใน ในลัทธิเต๋านั้นมีความเชื่อว่าเมื่อบำเพ็ญตบะไปมากขึ้นแล้วจะสามารถรวบรวมลมปราณภายในร่างกายหล่อหลอมจนกลายเป็น เน่ยตันได้ เน่ยตันนั้นจึงถือว่าเป็นต้นกำเนิดของพลังบำเพ็ญทั้งหมด

“มันเรื่องอะไรกันแน่” มู่ชิงเกอถามหน้าเครียด

ชื่อเสียงโหดร้ายของโห่วไม่ใช่ได้มาเปล่าๆ เรืองอื่นไม่พูดถึง แต่การต่อสู้กับเผ่ามังกรนั้น หากต้องสู้กันจริงๆ นอกจากมังกรสิบตัวรุมเขาแล้วก็ยากนักที่จะทำให้เขาบาดเจ็บขนาดนั้นได้

โห่วเห็นมู่ชิงเกอชักอารมณ์เสียจึงไม่พล่ามต่อ แต่พูดตามจริงว่า “หลังจากข้ากลับมาแล้ว คนรุ่นหลังมาเยี่ยมเยียนข้าไม่น้อย ดังนั้นข้าจึงดื่มสุราไปไม่น้อย ใครจะรู้ว่าเจ้าพวกไส้เดือนเจ้าเล่ห์จะแอบใส่ผงสะกดวิญญาณไว้ในสุราที่คนรุ่นหลังผู้หนึ่งเอามา”

“ผงสะกดวิญญาณ!” มู่ชิงเกอร้องอย่างตกใจ “ได้ยินว่าหลังจากเผ่าอสูรกินเข้าไปแล้วจะตกอยู่ในห้วงหมดสติ ผู้ใดจะทำอะไรก็ได้”

“ถูกต้อง! ของสิ่งนั้นล่ะ” โห่วผงกศีรษะ

เขาพูดอย่างคับแค้นใจว่า “ข้าไม่ทันรู้ตัวก็โดนเข้าไปเต็มเปาจนถูกควบคุมไว้ ไส้เดือนพวกนั้นก็กระโดดออกมากะจะฆ่าข้าให้ตาย ยังดีที่ข้าไม่ใช่จะโดนฆ่าตายง่ายๆ ถึงแม้ข้าแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่พวกเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ต่างบาดเจ็บกันไม่น้อย”

มู่ชิงเกอแค่นหัวเราะ “เจ้าเกือบตาย พวกเขาเพียงแค่บาดเจ็บหนักเท่านั้น ใครเสียเปรียบกันแน่”

“ดังนั้นพอข้าออกจากการปิดประตูบำเพ็ญจึงจะไปล้างแค้นอย่างไรเล่า!” โห่วร้องเสียงดัง แล้วกระโดดขึ้นจากพื้น

มู่ชิงเกอแหงนหน้ามองเขา เขาก็มองมู่ชิงเกอแล้วบอกนางว่า “ข้าจะไปแดนมังกรฆ่ามังกร นังหนู เจ้าจะไปไหม”

“ไป! ย่อมไปแน่นอน” มู่ชิงเกอยิ้มกว้างแล้ว ลุกขึ้นมาจากพื้น นางเลิกคิ้วพูดว่า “ว่ากันว่าเนื้อลาบนพื้นดิน เนื้อมังกรบนฟ้า ข้าอยู่มาตั้งนาน ยังไม่เคยลิ้มรสเนื้อมังกรเลย ครั้งนี้จะตามเจ้าไปลองชิมดู”

สองตาโห่วเปล่งประกายจ้าพลางหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “ฮ่าๆๆ นังหนู เจ้านี่นับวันยิ่งถูกใจข้า ถูกต้อง! มังกรเทพอะไรกันก็แค่อาหารอร่อยมื้อหนึ่งเท่านั้น”

มู่ชิงเกอตาเป็นประกาย มุมปากมีรอยยิ้มตลอดเวลา

เผ่ามังกรที่นี่ ไม่ได้เป็นที่นับถือของผู้คนดังชาติก่อนของนาง พวกมันคล้ายกันมาก แต่ความรู้สึกแตกต่างกันมาก

ดังนั้นพอโห่วชวนนางไปฆ่ามังกร นางจึงไม่มีความรู้สึกในทางลบแม้เพียงนิดเดียว

ฐานะของเผ่ามังกรสูงส่ง แต่สำหรับมู่ชิงเกอแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก นางยอมรับในตัวโห่วมานานแล้ว ใครที่กล้าลงมือกับโห่วล้วนเป็นศัตรู ศัตรูที่ สมควรต้องถูกทำลายล้าง!

โห่วนำมู่ชิงเกอกับหยินเฉินมุ่งหน้าสู่แดนมังกร

พวกเขายังคงท่องอยู่ในป่าอสูร ไม่ได้สนใจเรื่องขั้นศักดิ์สิทธิ์กำเนิดใหม่ที่มีต่อแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทรกับแดนมารรกร้าง

ทำอย่างไรได้ เทพบนแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร กับมารในแดนมารรกร้างนั้นต่างก็สำรวจสืบหากันแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่าที่ไหนกันแน่ที่กำเนิดขั้นศักดิ์สิทธิ์ คนใหม่

ระหว่างทางที่พวกเขามุ่งสู่แดนมังกรก็หลบเร้นจากหัวข้อขั้นศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ไปได้อย่างหมดจด

แดนมังกรตั้งอยู่ที่ฝั่งตะวันออกของป่าอสูร ห่างจากป่าหวูถงซึ่งอยู่ทางใต้ไปไม่ไกลนักแต่ก็ไม่ใกล้ วิ่งทั้งกลางวันกลางคืนมาครึ่งเดือนกว่า ทั้งสามคนจึงมาถึงนอกแดนมังกร

“ที่นี่คือทางเข้าของแดนมังกร” โห่วค่อยๆ พูดกับมู่ชิงเกอและหยินเฉิน

“ที่นี่หรือ” มู่ชิงเกอออกจะประหลาดใจ ดวงตาใสกวาดผ่านทิวทัศน์ตรงหน้าก็ไม่พบเงาร่างมังกรเลยแม้แต่นิด

โห่วยิ้มพูดว่า “เจ้ามองดูเช่นนี้ไม่เห็นหรอก แดนมังกรเป็นแดนลึกลับ เป็นโลกใบเล็ก เป็นสถานที่ที่มังกรใหญ่ในอดีตนานมาแล้วร่วมแรงกันบุกเบิกออกมา”

พูดแล้วเขาก็พูดอย่างดูแคลนอีกว่า “เพื่อยกฐานะตัวเองให้เห็นว่าต่างกับคนอื่นพวกจอมปลอมเหล่านี้จึงอาศัยอยู่ในโลกใบเล็กนี้ ทางเข้าของโลกใบเล็กก็อยู่ที่นี่แหละ”

“เช่นนั้นพวกเราจะเข้าไปได้อย่างไร” มู่ชิงเกอถาม

“เข้าไปรึ ไม่ พวกเราจะไม่เข้าไป” โห่วปฏิเสธคำพูดมู่ชิงเกอทันที

“ไม่เข้าไปแล้วจะฆ่ามังกรได้อย่างไร” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม

โห่วยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ไม่เข้าไปจึงจะฆ่ามังกรได้ หากเข้าไปก็ถูกมังกรฆ่าแล้ว เจ้ารู้ไหมว่าในแดนมังกรนั้นมีมังกรกี่ตัว”

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปากพูดอู้อี้ว่า “ไม่ใช่ บอกว่าเผ่ามังกรมีปัญหาเรื่องการเพิ่มทายาทอยู่หรือ”

“ก็จริงอยู่” โห่วพยักหน้าแต่ก็เอ่ยเพิ่มเติมทันทีว่า “แต่อายุขัยของพวกเขายืนยาวมาก ภายในนั้นทั้ง มังกรชรา มังกรผู้ใหญ่ มังกรเด็ก มังกรทารก รวมทั้งไข่มังกร รวมๆ กันแล้ว อย่างน้อยก็หลายร้อยตัว พวกเราสามคนหากบุกเข้าไป รับรองได้ตายในทันทีแน่”

“…” มู่ชิงเกอพูดไม่ออก

หยินเฉินก็มองโห่วและถามว่า “เจ้ามีวิธีอะไรก็บอกมา ในบรรดาพวกเราทั้งหมดมีเพียงเจ้าที่รู้จักเผ่ามังกรมากที่สุด”

โห่วยิ้มแค่น “ข้ามาครั้งนี้ ไม่ใช่หาที่ตายแต่เพื่อแก้แค้น ข้าจะคิดหาวิธีหลอกล่อพวกที่ลอบทำร้ายข้าให้ออกมา รอจนพวกมันออกมาจากแดนมังกรแล้ว

พวกเราก็ค่อยลงมือ”

“สังหารหมู่ที่ปากทางเข้าแดนมังกรก็คงไม่ได้ต่างอะไรกับเข้าไปรนหาที่ตายในแดนมังกรกระมัง” มู่ชิงเกออดไม่ได้ที่จะสาดนํ้าเย็นใส่โห่ว

ที่นางพูดก็เป็นเรื่องจริงทีเดียว ฆ่าคนหน้าประตูบ้านเขาเองจะต่างอะไรกับการบุกเข้าไปฆ่าในบ้านเล่า

ก็อีหรอบเดียวกัน เหมือนแขวนคอบนขื่อรนหาที่ตายเอง

“ไม่ต้องตกใจ รอจนพวกมันออกมาพวกเรา ค่อยแอบตามไป พอห่างไปไกลแล้วค่อยลงมือก็ได้แล้ว”

มู่ชิงเกอเม้มปากนิ่งพักหนึ่ง ถามว่า “พวกเขามีกี่ตัว”

“ไม่มาก ห้าตัว ที่เหลือสองตัวคงยังหลบอยู่ในถํ้า บาดเจ็บสาหัสจึงกลายร่างไม่ได้ ครั้งนี้พวกเราจัดการเก็บดอกเบี้ยกันก่อน” โห่วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด

“มังกรห้าตัว พวกเราสามคน?” มู่ชิงเกอถามเพื่อความแน่ใจ

โห่วพยักหน้าอย่างแรง “ถูกต้อง! ข้าจัดการสามตัว พวกเจ้าช่วยข้าดึงไว้สองตัว รอให้ข้าจัดการพวกมันแล้วก็จะมาช่วยพวกเจ้าดีไหม”

“เจ้าคนเดียวจัดการสามตัว?” มู่ชิงเกอพูดอย่างประหลาดใจ

โห่วยิ้ม “อย่างไร เจ้าดูถูกข้าหรือ”

มู่ชิงเกอยิ้มพลางส่ายหน้า

“ไม่ต้องห่วง มังกรน้อยพวกนี้มีขั้นบำเพ็ญเพียงขั้นศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง อาศัยความแข็งแกร่งของพวกเจ้า จัดการคนละตัว ไม่มีปัญหาหรอก” โห่วพูดปลอบ

‘ขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่งหรือ ได้มาซ้อมมือพอดีเลยแฮะ’ มู่ชิงเกอคิดในใจ

นางเพิ่งก้าวเข้ามาในขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง เมื่อได้พบกับคู่ต่อสู้ระดับเดียวกัน โดยเฉพาะเผ่ามังกรที่หนังเหนียวเนื้อหนา นั่นย่อมเป็นหินลับมีดอย่างดี

อีกทั้งนางต้องการรับรู้หมัดมังกรฟ้าในเคล็ดวิชาเทวะ การต่อสู้กับเผ่ามังกรก็มีประโยชน์เช่นกัน

หมัดมังกรฟ้าตามที่บรรยายในเคล็ดวิชาเทวะส่วนล่างนั้นตั้งชื่อตามลักษณะท่าทาง ว่ากันว่า กระบวนหมัดใช้ออกมาจนถึงจุดสุดยอดแล้วจะชักนำพลังแห่งกฎบัญญัติในตัวทั้งหมดออกมาโดยไม่แบ่งแยกชนิด แปลงเป็นมังกรทำลายฟ้าดิน

สำเร็จเบื้องต้น หมัดเดียวสังหารผู้แข็งแกร่งขั้นถํ้าวิญญาณได้ สำเร็จระดับกลาง หมัดเดียวสังหารผู้แข็งแกร่งขั้นศักดิ์สิทธิ์ได้ พลังทำลายล้างรุนแรงมหาศาล

“ที่ข้าอยากรู้คือ เจ้าจะหลอกล่อพวกมันออกมาได้อย่างไร” มู่ชิงเกอมองโห่วแล้วพูดอย่างนึกสนุก

ใครจะรู้ว่าโห่วกลับเอ่ยออกมาตรงๆ ว่า “ข้าจะส่งหนังสือท้ารบให้พวกมัน นัดพวกมันออกมาต่อสู้กันวันนี้”

มุมปากมู่ชิงเกอกระตุกอย่างแรง ถลึงตามองโห่ว คิดในใจว่า ‘อะไรกันนี่!’

“ในเมื่อเจ้านัดพวกมันออกมาต่อสู้ แล้วพวกเรามาที่นี่ทำไม” มู่ชิงเกอกุมหน้าผากพูด “ที่สำคัญคือ นี่คือแผนการที่เจ้าบอกว่าหลอกล่อศัตรูออกจากถํ้าหรือ”

นี่มันแผนการที่ไหนกัน!

มู่ชิงเกอชักสงสัยระดับไอคิวของโห่วแล้วสิ มิน่าเล่า เขาจึงมักจะโดนคนเล่นงาน ไอคิวติดลบจริงๆ

“ข้าไม่ใช่เหยื่อล่อที่ดีที่สุดหรือ” โห่วพูดอย่างหน้าชื่นตาบาน

ตามด้วยอธิบายอีกว่า “ข้าเพียงแค่แกล้งนัดต่อสู้ ไม่ได้คิดจะต่อสู้จริง พวกเรารออยู่ที่นี่ พอพวกเขาออกมาก็ติดตามไป พอถึงสถานที่ที่เหมาะสม พวกเราก็โจมตีโดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัว เป็นอย่างไรฉลาดไหม”

พูดจบ เขายังยักคิ้วอย่างครึ้มอกครึ้มใจอีกด้วย

มู่ชิงเกอเบนสายตาไปที่หยินเฉินเงียบๆ แล้วพูดอย่างสุดสลดใจว่า “หยินเฉิน ข้าไม่อยากคุยกับเจ้านี่แล้ว”

หยินเฉินพยักหน้าอย่างเข้าใจ มองโห่วที่ทำหน้าเหลอหลา “แผนการของเจ้านี่ไม่เท่าไหร่จริงๆ นั่นล่ะ”

“ไม่เท่าไหร่อะไรกัน” โห่วถลึงตาอย่างไม่ยอมรับ

หยินเฉินถอนหายใจแล้วพูดแทนมู่ชิงเกอ “เจ้าส่งหนังสือท้าต่อสู้ หากเผ่ามังกรไม่ได้มาเพียงห้าตัว จะทำอย่างไร”

“ข้าบอกในหนังสือแล้วว่าหากเป็นลูกผู้ชายจริงก็อย่าพาใครมาด้วย” โห่วพูดอย่างจริงจัง

มู่ชิงเกอกับหยินเฉินมองเขาอย่างดูแคลน ราวกับจะบอกว่าทีเขายังพาพวกเขาสองคนมาด้วยเลย

โห่วถลึงตาด้วยหน้าตาเหี้ยมเกรียม “ข้าเป็นอสูรร้ายไม่ใช่ลูกผู้ชายอะไร”

“เอาเถอะ ท่านโห่ว เจ้าคิดจะพูดอะไรก็ตามใจก็แล้วกัน”

มู่ชิงเกอกับหยินเฉินต่างรักษาความสงบไม่พูดอะไร

ผ่านไปสักพักหยินเฉินก็พูดอีกว่า “เจ้าส่งหนังสือท้าสู้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องพูดว่าพวกมันจะมาตามนัดหรือไม่ หากมาจริงแล้วเจ้าฆ่าพวกมันไป เผ่ามังกรก็ยังต้องตามสังหารเจ้าต่ออีก”

โห่วชะงักนึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะสลับซับซ้อนอย่างนี้ สุดท้ายแล้วเขาก็บ่นพึมพำ “หากพวกมันมาตามนัดข้าก็ฆ่าทิ้งไป ถ้ามาตามสังหารข้าก็มาเลย ข้าไม่กลัว! อย่างมากก็กินเผ่ามังกรให้หมดทั้งเผ่า”

มู่ชิงเกอขำจนพูดไม่ออก จนปัญญากับความเถรตรงของโห่ว

บรรพชนของอสูรร้ายผู้นี้ ดูแล้วแค่โหดเหี้ยมรุนแรงในด้านการสังหารเท่านั้น ส่วนสติปัญญา แผนการ ความคิดนั้นราวกับลูกแกะขาวโดยแท้!

เวลานี้เองทางเข้าแดนมังกรก็ปรากฎแสงกลุ่มหนึ่งราวกับวังวนค่อยๆ เปิดออก

เงาร่างห้าร่างพุ่งออกมาจากภายในตกลงบนพื้น

มู่ชิงเกอกับหยินเฉินชะงัก โห่วเองก็ชะงักเช่นกัน จากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างเหี้ยมโหด “ฮ่าๆ ออกมาแล้ว”

หยินเฉินกับมู่ชิงเกอสบตากัน นัยน์ตาต่างผุดความคิดแบบเดียวกัน

เผ่าอสูรในป่าอสูรนั้น ระดับความฉลาดล้วนน่าซาบซึ้งใจพอกัน

ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ยังจะโดดออกมาหาที่ตายอีก

ท่าทีสมใจของโห่วนั้นมู่ชิงเกอไม่สนใจดู แต่จ้องห้าเงาร่างที่ปรากฎตัวอยู่นอกแดนมังกรอย่างละเอียด พวกเขาปรากฎตัวในร่างมนุษย์ทุกคนยังอ่อนเยาว์มากราวกับ มนุษย์ที่มีอายุยี่สิบต้นๆ เท่านั้น

หลังจากพวกเขาออกมาแล้ว ทางเข้าแดนมังกรนั้นก็ค่อยๆ ปิดลงและสูญสลายไป

“ครั้งก่อนไม่ได้จัดการเขาถึงตาย ครั้งนี้ถึงขนาดมาหาที่ตายถึงหน้าบ้าน ฮึ วันนี้พวกเราห้าคนร่วมกันสังหารเขาเสีย” มังกรตัวหนึ่งพูดอย่างดูแคลน

มังกรอีกตัวเตือน “ประมาทไม่ได้ โห่วสามารถเหิมเกริมมาได้นานปี อีกทั้งเป็นศัตรูโดยกำเนิดของเผ่ามังกร ไม่ใช่จะสังหารได้ง่ายๆ”

“ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ครั้งก่อนเขาบาดเจ็บสาหัสจนเหลือลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่รูใช้วิธีการอะไรจึงรักษาชีวิตไว้ได้ เวลานี้เพิ่งผ่านไปสิบปีก็รีบมาหาที่ตาย อาการบาดเจ็บหายแล้วหรือไม่ก็ยังไม่แน่” มังกรอีกตัวพูด

“ถูกต้อง เขาเจ็บหนักยังไม่ฟื้นก็รีบมาหาที่ตาย พวกเราก็สนองให้เขาเสียหน่อย สังหารโห่วแล้วฐานะพวกเราในเผ่าจะได้มั่นคงดังเขาไท่ซาน”

“ถูกต้อง! เคยได้ยินว่าโห่วสามารถรับมือสามมังกรพร้อมกัน ครั้งนี้เขายังไม่หายจากอาการบาดเจ็บสาหัส พวกเราทั้งห้าร่วมแรงร่วมใจกันไม่ใช่ไม่อาจชนะได้” “ถึงอย่างไรก็ยังต้องระวังให้ดี”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

มังกรห้าตัวคุยกันไม่กี่คำก็ไปจากที่เดิม มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นัดพบกับโห่วไว้

พอพวกเขาจากไปแล้ว โห่วก็บอกพวกมู่ชิงเกอทั้งสองคนอย่างดีใจว่า “พวกเราตามไป ฮึ พวกไส้เดือนยังนึกว่าข้าบาดเจ็บไม่ฟื้นก็มารนหาที่ตาย ต่อให้พวกมันคิดจนหัวแตกก็นึกไม่ถึงว่า ข้าจะรู้จักกับอาจารย์ปรุงโอสถระดับมหาเทพ บาดแผลนั้นหายสนิทนานแล้ว อย่าว่าแต่ฆ่ามังกรเล็กไม่กี่ตัวเลย ต่อให้ฆ่ามังกรแก่ก็สบายมาก”

มู่ชิงเกอกับหยินเฉินสบตากันเงียบๆ แล้วตามโห่วจากไป ครั้งนี้พวกเขามาเป็นเพียงกองหนุนโห่วต่างหากที่เป็นตัวเอก

ทั้งสามคนติดตามมังกรเล็กทั้งห้า ค่อยๆ ห่างจากทางเข้าแดนมังกรไปยังพื้นที่เปลี่ยว

“เจ้านัดไว้ที่ไหนหรือ” มู่ชิงเกอกระซิบถาม

โห่วยิ้มโหด “ข้านัดที่ไหนนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือจากแดนมังกรไปนั้นต้องผ่านหุบเขาแห่งหนึ่ง ที่นั้นจะเป็นที่สังหารมังกรของพวกเรา”

มู่ชิงเกอไม่รู้จะพูดอะไร เพียงบ่นเงียบๆ ในเมื่อเลือกที่ซุ่มโจมตีไว้แล้ว เหตุใดไม่ไปรอที่นั้นเลยเล่า จะวิ่งไปยังทางเข้าแดนมังกรทำไมอีก

แต่คำถามนี้นางไม่ได้ถาม นางรู้แล้วว่า ด้านนี้ของโห่วที่ขาดหายไปนั้นทำให้สื่อสารกันได้ยากมาก

“พวกเขาเข้าไปแล้ว” โห่วมองห้ามังกรเล็กที่เข้าไปในหุบเขาที่ว่าก็แยกเขี้ยวยิงฟันยิ้ม เขาหันไปทางมู่ชิงเกอ “นังหนู เจ้ารู้อาคมไม่ใช่หรือ ผนึกทางเข้าเสียแล้วพวกเรามาจับมังกรในข้องกัน หึๆ เจ้าได้ลิ้มรสไฟเฟิ่งหวงแล้ว วันนี้ข้าจะเชิญพวกเจ้ามาลิ้มรสเลือดมังกรแท้ดู!”

มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก ลงอาคมปิดผนึกทางเข้าทันที

เพียงแค่อาคมคงอยู่ก็จะไม่มีใครออกไปได้ทั้งยังไม่มีใครเข้ามาได้ ที่นี่ห่างจากแดนมังกรไม่ไกลนัก มู่ชิงเกอต้องระวังถึงจุดนี้ป้องกันไม่ให้ต่อสู้ไปเพียงครึ่งเดียว ทัพใหญ่ของเผ่ามังกรก็มาถึง

โห่วไม่ได้นึกถึงเรื่องเหล่านี้ นางจึงต้องจัดการระวังหลังให้

หลังจากมู่ชิงเกอจัดการแล้วเสร็จ โห่วก็เผยท่าทีน่ากลัวออกมา เขาเพียงงอตัวลงก็ปรากฎร่างเดิมออกมา ทันใดนั้นร่างใหญ่ยักษ์ราวขุนเขาก็ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้าของมู่ชิงเกอกับหยินเฉิน และนั้นย่อมทำให้ห้ามังกรเล็กข้างหน้ารู้สึกถึงตัวเขาอีกด้วย

พวกเขาหันกลับมาก็เห็นโห่วปรากฎร่างจริง ไม่เห็นมู่ชิงเกอกับหยินเฉินที่ถูกร่างยักษ์ของโห่วบดบังจนมิด

“โห่ว!”

พอเห็นโห่วปรากฎตัว ห้ามังกรเล็กก็ตกใจ

แต่พวกมันก็สงบสติลงได้ทันที หัวเราะเยาะโห่วว่า “เจ้าจะมาลอบโจมตีพวกเราที่นี่หรือ ฮ่าๆๆ…”

“โง่เง่าจนไม่มีอะไรเปรียบ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกเราก็จะจัดการเจ้าเสียที่นี่เลย”

“ฆ่าเจ้าแล้ว พวกเราก็จะได้เป็นวีรบุรุษเผ่ามังกร!”

โห่วคำรามอย่างโกรธแค้นจนพื้นดินขุนเขาสั่นสะเทือน เขาบอกห้ามังกรเล็กว่า “เจ้าเด็กไร้เดียงสา วันนี้เป็นวันตายของพวกเจ้า!” พูดจบเขาก็พุ่งตัวไปทางห้ามังกรเล็ก พอเขาขยับ ห้ามังกรเล็กก็พลันปรากฎร่างเดิมออกมา เวลานั้นเอง ห้ามังกรเทพพลันปรากฎอยู่เบื้องหน้ามู่ชิงเกอและหยินเฉิน…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!