ตอนที่ 768
ตำนานของภูติภูเขา
‘ตบะบำเพ็ญไม่เปลี่ยนแปลงแต่พละกำลังมากขึ้น ความใกล้ชิดกับกฎบัญญัติก็สูงขึ้น ยังมี…ความสามารถในการป้องกัน…” มู่ชิงเกอสูดลมหายใจเข้าลึก ถ้าหากพลังป้องกันของนางแต่ก่อนเท่ากับขั้นถํ้าวิญญาณแล้วล่ะก็ พลังป้องกันของนางเวลานี้ก็เท่ากับขั้นศักดิ์สิทธิ์ สูงขึ้นถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ
เวลากำหมัด มู่ชิงเกอรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งในร่างกายอย่างชัดเจน พลังที่แท้จริง แบบที่สามารถต่อยสัตว์อสูรตายได้ในหมัดเดียว
เหลียนเฉียวจ้องนางอย่างงุนงง แววตาสับสนพูดว่า “เจ้า…”
เพียงแต่ไม่รอจนนางพูดจบ เสียงหยินเฉินก็ดังขึ้นมาในสมองมู่ชิงเกอ ‘ชิงเกอ องค์ชายภูติภูเขาต้องการพบเจ้า’
นัยน์ตามู่ชิงเกอเกิดประกายวูบหนึ่ง มองเหลียนเฉียวแล้วเงาร่างก็หายไปจากห้องปรุงยา
‘ที่นี่ นางก็คือฟ้า’ เหลียนเฉียวมองดูจุดที่มู่ชิงเกออยู่เมื่อครู่นี้แล้วถอนหายใจพูดกับตัวเอง
เมื่อลืมตาขึ้นอีกที มู่ชิงเกอก็ได้กลับมาอยู่ในห้องของภูติภูเขาแล้ว
ในห้องนั้นหยินเฉินลุกขึ้นมาแล้วกำลังจ้องดูประตูอยู่ โห่วก็ลุกขึ้นบนเตียง ยันร่างนั่งอย่างเกียจคร้าน “องค์ชายหาเจ้าทำไม”
พอมู่ชิงเกอปรากฎตัว เขาก็เลิกคิ้วถามนาง
มู่ชิงเกอยกมือใช้นิ้วดีดเสื้อคลุมตัวเองเบาๆ แล้วโยนขวดกระเบื้องเล็กให้เขา หยินเฉินยื่นมือรับไป พลางมองขวดในมือด้วยความสงสัย
“ข้างในเป็นเลือดมังกรแท้ที่หลอมออกมา หาเวลากินลงไป” มู่ชิงเกอบอกเขา
พูดจบ นางก็เปิดประตูภายใต้สายตาคนทั้งคู่ เห็นซิ่นเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างนอก
ซิ่นเอ๋อร์เห็นนางปรากฎตัวก็ยิ้มอย่างเอียงอายแล้วผงกศีรษะนิดๆ ไม่ได้พูดอะไรแต่นำทางอยู่ข้างหน้า มู่ชิงเกอเพียงเลิกคิ้วแล้วตามนางจากไป
จนพวกนางจากไปแล้วโห่วจึงบอกหยินเฉินว่า “เจ้าเป็นสายเลือดสุนัขจิ้งจอกมังกร เมื่อหลอมรวมเลือดมังกรแท้หยดนี้แล้ว สายเลือดจะบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น พลังจะเพิ่มสูงขึ้นมากมายนัก”
นัยน์ตาหยินเฉินเปล่งประกายแวบหนึ่ง คิดจะหลอมรวมเลือดมังกรแท้ทันที
แต่โห่วกลับห้ามไว้ว่า “หลอมรวมที่นี่ไม่ได้ รอชิงเกอกลับมาแล้วเจ้าค่อยไปหลอมรวมในช่องว่าง การหลอมรวมเลือดมังกรแท้จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมของกลิ่นอาย ภูติภูเขาจะรับรู้ได้ว่าเจ้ากำลังทำอะไร”
หยินเฉินเม้มปากหลุบตา เก็บขวดจิ๋วในมือไปอย่างระมัดระวัง
ซิ่นเอ๋อร์นำมู่ชิงเกอไปยังสถานที่คล้ายสวนแต่ก็ไม่ใช่สวน
ที่บอกว่าเป็นสวนเพราะที่นี่มีต้นไม้ใบหญ้าที่แปลกประหลาดมากมาย ทั้งยังมีต้นไม้โบราณที่ไม่รู้ว่าอยู่มานานเท่าไรแล้วด้วย
ต้นไม้โบราณนั้นราวกับอยู่มาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ลำต้นคล้ายร่างมังกร กิ่งใบคล้ายหางเฟิ่ง ต้นสูงเสียดฟ้า กิ่งใบหนาแน่น สิบกว่าคนก็ยังโอบไม่รอบ
องค์ชายภูติภูเขายืนอยู่ใต้ต้นไม้นี้ หันหลังให้นาง ซิ่นเอ๋อร์นำมู่ชิงเกอมาที่นี่แล้วก็ถอยหลังออกไป ที่นี่จึงเหลือเพียงมู่ชิงเกอกับองค์ชายสองคนเท่านั้น
“พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้สามวันแล้ว เคยชินแล้วหรือยัง”
องค์ชายภูติภูเขาหันกายมองมู่ชิงเกอ
สามวัน?
มู่ชิงเกอแปลกใจเล็กน้อย นางยังเข้าใจว่าไม่เกินสองวัน ไม่นึกว่าพวกเขามาถึงถิ่นภูติภูเขาได้สามวันแล้ว นางค่อยๆ ละสายตาแล้วยิ้มน้อยๆ ว่า “ชินแล้ว ทุกอย่าง ขอบคุณองค์ชายที่เป็นห่วง”
“ข้าชื่ออินเจวี๋ย เจ้าก็เรียกข้าเช่นนี้ได้ เรียกองค์ชาย นั้น…” เขาส่ายหน้ายิ้มน้อยๆ “ออกจะอึดอัดมากไป”
‘เรียกชื่อตรงๆ สิจึงจะอึดอัด’ มู่ชิงเกอบ่นในใจ นางคาดเดาว่าที่อินเจวี๋ยเรียกนางมาที่นี้คงเพราะต้นไม้ต้นนี้
สายตานางมองไปยังต้นไม้โบราณโดยไม่รู้ตัว ต้นไม้โบราณนั้นดูเหมือนปกติไม่มีอะไรพิสดาร แต่ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด
“สามวันนี้พวกเจ้าปิดประตูไม่ไปไหนเงียบสงบมาก ทำให้ข้าชักสนใจ” อินเจวี๋ยพูด
“สนใจอะไรหรือ” มู่ชิงเกอถามอย่างงุนงง
อินเจวี๋ยเดินมาที่นางให้ระยะทั้งคู่ใกล้กันขึ้นไปอีกนิด แล้วจึงพูดต่อว่า “สนใจถึงจุดประสงค์แท้จริงที่พวกเจ้ามาที่นี่”
“พวกเรายังไม่ได้บอกชัดเจนเรื่องจุดประสงค์ที่มาหรือ” มุมปากมู่ชิงเกอเชิดขึ้นมองไปที่อินเจวี๋ย
อินเจวี๋ยส่ายหน้าช้าๆ นัยน์ตาผุดแววลึกซึ้ง “โห่วเป็นใคร พูดได้ว่าที่เผ่ามังกรอยากให้เขาตายนั้นไม่ใช่เรื่องเพียงไม่กี่หมื่นปีนี้ แต่เขาก็ยังอยู่ได้สบาย ครั้งนี้เขาพาพวกเจ้ามาถึงที่นี่เพราะว่าเขาไม่มีทางอื่นแล้วจริงหรือ”
มู่ชิงเกอไม่ได้เอ่ยปากเพียงฟังคำพูดเขานิ่งๆ
“อีกทั้งปกติโห่วไปไหนมาไหนคนเดียวโดยตลอด ทำไมอยู่ดีๆ จึงมีเพื่อนเป็นเผ่ามนุษย์ ข้าดูออกว่า โห่วเชื่อถือเจ้ามาก กระทั้งยอมเจ้าด้วยซํ้าไป” อินเจวี๋ยพูด
สองตามู่ชิงเกอหรี่ลงแต่ยังคงรักษารอยยิ้มไว้
“คนที่สามารถทำให้โห่วยอมรับได้ทั้งกายและใจ ข้ายังไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นตั้งแต่แรก ข้าจึงเชื่อว่าพวกเจ้ามาเพราะผลภูติ โห่วอาจไม่สนใจ แต่เจ้าคงอยากได้มันมาก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นตบะหมื่นปีเลยทีเดียว” อินเจวี๋ยหัวเราะ
มู่ชิงเกอยังคงนิ่งรอให้อินเจวี๋ยพูดจนจบ
“แต่รอไปสามวันข้ากลับพบว่า พวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย ทำให้ข้าชักสงสัยการคาดเดาของตัวเอง เพียงแต่พวกเราภูติภูเขาไม่ชอบใช้เล่ห์กล คิดดูแล้วไม่สู้ข้านัด เจ้าออกมาถามตรงๆ จะดีกว่า” อินเจวี๋ยพูดจบ นัยน์ตาสีหมึกเขียวก็จ้องมองมู่ชิงเกอ
รอยยิ้มของมู่ชิงเกอขยายมากขึ้นแล้วค่อยๆ พูดว่า “ท่านคิดมากไปแล้ว”
นางไม่โง่ คนอื่นพูดเพียงคำสองคำจะทำให้นางยอมเปิดโปงตัวเองได้หรือ
อินเจวี๋ยยิ้มหมุนตัวแล้วยืนเคียงข้างนาง แหงนหน้ามองต้นไม้โบราณที่ทำให้มู่ชิงเกอสนใจ พูดเรียบๆ ว่า “เจ้ารู้ความเป็นมาของภูติภูเขาไหม”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้ว คิดในใจว่า ‘กำลังจะเล่านิทานแล้วหรือ’
“ตามตำนาน ภูติภูเขาเกิดจากต้นไม้ต้นแรกในป่าอสูร รับพลังฟ้าดินจนถือกำเนิดขึ้น” มู่ชิงเกอเล่าเรื่องที่โห่วบอกนางไว้
อินเจวี๋ยพยักหน้าพูดทันทีว่า “เบื้องหน้าเจ้าก็คือต้นไม้ต้นแรกในป่าอสูรที่เหลืออยู่ พูดได้ว่าทั้งป่าอสูรเริ่มต้นจากมันทั้งสิ้น”
อะไรนะ
ตาดำมู่ชิงเกอหดลง มองต้นไม้โบราณเบื้องหน้าอย่างตกตะลึง
นางรับรู้ได้แต่แรกถึงความแตกต่างของต้นไม้นี้ แต่ยังไม่กล้านึกถึงต้นไม้ต้นนั้น ถึงอย่างไร ตามที่โห่วเล่าไว้ ต้นไม้โบราณสำคัญที่มีความหมายพิเศษเช่นนี้ เหตุใดจึงปรากฎออกมาให้เห็นอย่างเปิดเผยเช่นนี้ได้
พื้นที่ต้องห้ามเล่า
การป้องกันที่เข้มงวดเล่า
มู่ชิงเกอเวลานั้นนึกอะไรไม่ทัน เพราะตกตะลึงอย่างมาก
“ต้นไม้นี้…” มู่ชิงเกอพึมพำ
ส่วนอินเจวี๋ยพูดต่อว่า “การคงอยู่ของเผ่าภูติภูเขานั้นก็เพื่อรักษาปกป้องมัน เนื่องจากมีความเชื่อว่า ป่าอสูรกำเนิดได้เพราะมันก็สิ้นสุดได้เพราะมันเช่นกัน” นัยน์ตาใสแจ๋วของมู่ชิงเกอมองอินเจวี๋ย สะท้อนภาพใบหน้าด้านข้างที่แสนงาม สัดส่วนชัดเจนไว้ในแววตา พิจารณาอย่างละเอียดถึงความหมายของคำพูดเขา
อะไรที่ว่า…ป่าอสูรกำเนิดได้เพราะมันก็สิ้นสุดได้เพราะมัน