ตอนที่ 91-2
ละครหักมุม! คืนนี้ข้าจะปักปิ่นให้แก่เจ้า
ความรู้สึกราวกับทุกอย่างอยู่เหนือการควบคุมเกิดขึ้น ป๋ายซีเยวี่ยไม่ทันได้เก็บอาการแล้วในที่สุดก็เผยความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองออกมา มู่เหลียนหรงที่สังเกตท่าทางของนางอยู่ตลอดเวลารู้สึกปวดใจ ในแววตามีความทุกข์จางๆ ประดับอยู่
“หึ! เหลวไหลทั้งเพ!” มู่ซงที่อ่านจดหมายด้วยแววตาอันเคร่งขรึมสะบัดมือ จนจดหมายในมือร่วงหล่นลงพื้นไป และทำให้ผู้คนที่เข้ามาอยู่ใกล้ๆแอบอ่านเนื้อความในจดหมาย
จดหมายเหล่านั้น เหมือนเป็นการติดต่อกันระหว่างเชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่งในแคว้นถูกับมู่ซง ภายในจดหมาย มีการสั่งให้มู่ซงยุแยงให้เกิดสงครามภายในราชวงศ์ของแคว้นฉิน และก่อความวุ่นวายระหว่างทำศึกสงคราม
ทุกอย่างที่อยู่ในจดหมาย ไม่มีบรรทัดใดเลยที่ไม่แสดงถึงการหักหลังต่อแคว้นฉินของมู่ซง
ผู้คนที่แอบอ่านเนื้อหาบนจดหมาย ต่างหน้าซีดเผือดราวกับได้ล่วงรู้ความลับบางอย่างที่ไม่ควรรู้จนหายใจผิดจังหวะ
บรรยากาศที่อึดอัดและยากจะอธิบายนี้ ค่อยๆ แผ่ขยายไปท่ามกลางผู้คนอย่างไม่ขาดสาย
“ข้ามู่ซงได้ทำความดีความชอบจนมีชื่อเสียงในแคว้นฉินมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สมคบกับแคว้นถูรึ หรือว่าแคว้นถูจะแต่งตั้งให้ข้าเป็นฮ่องเต้ได้อย่างนั้นรึ? หึ!” มู่ซงส่งเสียงอันเย็นเยียบ ทำให้ทุกคนไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจเสียงดัง
ไม่! ต้องไม่เป็นเช่นนี้!
ป๋ายซีเยวี่ยมองภาพทั้งหมด นัยน์ตาแฝงความตื่นตระหนก
ในความคิดของนาง หลังจากที่พบหลักฐานการติดต่อกับแคว้นศัตรูพวกนี้ ด้วยการใส่ไฟของฉินจิ่นห้าว ทุกคนก็จะต้องกล่าวหาตระกูลมู่ ทำให้พวกเขายากจะแก้ตัวมิใช่หรือ?
เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
มู่ซงไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ทุกคนต่างไม่กล้าส่งเสียง แม้แต่รุ่ยอ๋องที่ได้วางแผนด้วยกันกับนางก็ยืนข้างตระกูลมู่
นางมองฉินจิ่นห้าว แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะชายตาแลมองนางเลย ราวกับว่าไม่เคยรู้จักนางมาก่อน
“มีคนใส่ความท่านปู่รึ?” เสียงอันใสบริสุทธิ์แทรกเข้ามา ทุกคนหยุดสายตาที่คุณชายตระกูลมู่ ทันใดนั้นมู่ชิงเกอก็เดินออกมาท่ามกลางผู้คน ก้มลงเก็บจดหมายเหล่านั้นและอ่านผ่านๆ ยิ่งอ่านมุมปากที่แฝงรอยยิ้มของนาง ก็เผยให้เห็นถึงความเย้ยหยันขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ
พอนางอ่านจบ ก็ไม่ลืมที่จะวิจารณ์ “ปัญญาอ่อน”
ป๋ายซีเยวี่ยหน้าซีดในทันใด
ยื่นจดหมายให้แก่รุ่ยอ๋อง มู่ชิงเกอก้าวเท้าเข้าไปอยู่ข้างๆ มู่ซง พลางยิ้มจางๆ ให้กับเขาและเอ่ยว่า “ท่านปู่ ท่านอย่าได้มีโทสะไปเลย เป็นแค่การใส่ความของพวกหนูสกปรกที่ชอบลอบกัดก็เท่านั้น หากท่านโกรธจะยิ่งเป็นการทำให้พวกเขาได้ใจ’’
มู่ซงพูดด้วยนํ้าเสียงทุ้มว่า “อืม ข้าไม่โกรธ เรื่องนี้ให้เจ้าเป็นคนจัดการ หาตัวคนร้ายมาให้ได้” พูดจบ ท่านผู้เฒ่าก็สะบัดแขนเสื้อ ไม่สนใจและไม่ใส่ใจจริงๆ
มู่ชิงเกอแอบหัวเราะในความเจ้าเล่ห์ของท่านปู่
เขาพอจะเดาออกแล้วว่าใครเป็นคนสร้างเรื่อง แต่เพราะลงโทษไม่ลงจึงตัดหางปล่อยวัด เรื่องของป๋ายซีเยวี่ย หลังจากที่รุ่ยอ๋องบอกนาง นางก็บอกมู่เหลียนหรง แต่ไม่ได้บอกมู่ซง นนเป็นเพราะว่าไม่อยากให้เขาเสียใจ อย่างไรก็ตาม ป๋ายซีเยวี่ยก็เป็นเด็กที่เขารับมาเลี้ยงด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้น แม้จะรู้ว่าท่านปู่เของตนเองตั้งใจจะโยนภาระให้แก่นาง แต่นางก็พร้อมน้อมรับด้วยความยินดี
ความจริงแล้ว การตัดสินใจของมู่ซง กำลังบอกกับนางว่า เรื่องนี้ให้คุณชายตระกูลมู่เป็นคนจัดการ!
แววตาขยับไหวเล็กน้อย มู่ชิงเกอหันกลับไปพูดกับรุ่ยอ๋อง : “รุ่ยอ๋อง หากในพิธีสวมหมวกของข้าในวันนี้ มีคนใส่ความท่านปู่ของข้าว่าติดต่อส่วนตัวกับแคว้นศัตรู พระองค์คิดว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไรดีพะย่ะค่ะ”
ป๋ายซีเยวี่ยมองรุ่ยอ๋องด้วยเคร่งเครียด
แต่ทว่า ฉินจิ่นห้าวกลับพูดกับมู่ชิงเกออย่างตามใจ “ชิงเกอคิดว่าควรจะจัดการอย่างไร”
นี่มันไม่ถูกต้อง!
เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?
ป๋ายซีเยวี่ยแทบจะวิ่งออกไปจับแขนของฉินจิ่นห้าวเพื่อบอกเขาว่าทุกอย่างไม่ควรจะเป็นเช่นนี้
ตอนนี้ เหตุใดรุ่ยอ๋องจึงต้องเชื่อฟังและเอาอกเอาใจมู่ชิงเกอเช่นนี้ด้วย
นี้หมายความว่าเขาเชื่อใจตระกูลมู่อย่างเต็มร้อยเลยมิใช่หรือ?
แล้วนางเล่า?
จะแสร้งทำการแสดงเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน?
“แน่นอนว่าจะต้องหาตัวคนร้ายให้เจอ ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ต้องลงโทษอย่างสาสม” มู่ชิงเกอพูดพร้อมเสียงหัวเราะเบิกบาน แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ สัมผัสได้ถึงไอสังหารที่แฝงอยู่ในนํ้าเสียงนั้น
ป๋ายซีเยวี่ยตกใจ ราวกับว่า นางสัมผัสได้ถึงสายตาที่มู่ชิงเกอมองนางเมื่อครู่นี้ ราวกับรู้ความจริงว่านางเป็นคนสร้างเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น ‘ไม่ ไม่จริง เขาจะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าได้อย่างไร!’ ป๋ายซีเยวี่ยปฏิเสธการคาดเดานี้
“ได้ ! จัดการตามที่ชิงเกอพูด หาตัวคนร้ายให้เจอและลงโทษอย่างสาสม” ในตอนนี้ในสายตาของฉินจิ่นห้าวราวกับมีแค่มู่ชิงเกอเพียงคนเดียว ไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยทั้งหมด
นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การแสดงละครไปกับตระกูลมู่เท่านั้น แต่ในตอนที่ตระกูลมู่รับปากว่าจะอยู่ข้างเดียวกับเขานั้น เขาก็มีความรู้สึกราวกับขาข้างหนึ่งของตนเองได้ก้าวขึ้นไปบนบัลลังก์อันสูงส่งนั้นแล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะทำให้ตระกูลมู่ไม่พอใจไม่ได้!
มู่ชิงเกอยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและเสียดสี
ทำให้ทุกคนที่ดูอยู่ขนลุกและแอบคิดในใจว่า แววตาของคุณชายตระกูลมู่ช่างน่ากลัวเสียจริง ทำให้รู้สึกขนลุกอย่างห้ามไม่ได้
แต่ป๋ายซีเยวี่ยกลับสัมผัสได้ว่ารอยยิ้มนั่นของมู่ชิงเกอราวกับต้องการสื่อถึงนาง
และกำลังหัวเราะความโง่เขลาและความอวดดีของนาง
‘ทั้งๆ ที่…ทั้งๆ ที่รุ่ยอ๋องเป็นพวกเดียวกับข้าแท้ๆ แล้วเหตุใด เหตุใด’ ตอนนี้ตนเองกลับกลายเป็นผู้ที่ถูกเล่นงานไปได้?
ป๋ายซีเยวี่ยตะโกนในใจไม่หยุด เมื่อขอจดหมายจากรุ่ยอ๋องอีกหนหนึ่ง มู่ชิงเกอสะบัดมันไปมา พลางพูดด้วยสายตาอันเยาะเย้ยว่า “หากจะใส่ ความว่าตระกูลมู่มีการติดต่อกับแคว้นศัตรู ลงทุนเพียงแค่จดหมายพวกนี้ยังไม่พอ อย่างน้อยก็ควรมีการตระเตรียมหลักฐานรูปธรรมที่แสดงถึงการสมรู้ร่วมคิด หรืออาจจะเป็นคนที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อ ทั้งหลักฐานที่เป็นสิ่งของและพยานบุคคลล้วนขาดไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว เพียงกระดาษไม่กี่ใบ จะกล่าวหาว่าตระกูลมู่กระทำความผิด คิดว่าฮ่องเต้แคว้นฉินของเราและขุนนางบุ๋นบู๋ทั้งราสำนักปัญญาอ่อนรึ?”
คำพูดนี้ทำให้ขุนนางแคว้นฉินหน้าแดงกํ่าขึ้นมาอีกหน ในคำพูดนั้นแฝงการเสียดสีพวกเขาแท้ๆ แต่ก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถตอบโต้ได้
เพราะว่า เมื่อสักครู่นี้ มีความเคลือบแคลงเกิดขึ้นภายในจิตใจของพวกเขาจริงๆ
แม้จะเป็นเพียงการหลงเชื่อเพียงแค่ชั่วขณะเดียว แต่ก็หมายความว่าพวกเขาไม่ฉลาด
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำพูดอันคมเฉียบจากคุณชายตระกูลมู่ เหล่าขุนนางที่คลุกคลีอยู่ในราชสำนักมานานหลายต่อหลายปี ก็มีความรู้สึกว่าคลื่นลูกใหม่นั้นแรงกว่าคลื่นลูกเก่าจริงๆ นับประสาอะไรกับที่เขายังมีท่านปู่ผู้มีชื่อเสียงสะท้านแผ่นดินอีกคน
ทหารหลายแสนนายคอยหนุนหลังนางอยู่ ใครหน้าไหนล่ะจะกล้าลองดีกับนาง